สวัสดีจ้า เข้าช่วงเมษาหน้าร้อน ออกแดดแต่ละทีแทบจะไหม้ เพราะอากาศร้อนมาก และเหมือนจะร้อนขึ้นแทบทุกปี แต่ที่ร้อนแรงกว่าก็คงจะเป็นตลาดการลงทุนในช่วงนี้ และวันนี้เรามาดูกันว่าค่าเงินอ่อน ค่าเงินแข็ง ส่งผลต่อกราฟราคาในตลาด Forex อย่างไร ในตลาด Forex นั้น ไม่ได้มีการซื้อขายอยู่แค่เพียงสกุลเงินเดียว ไม่ใช่ว่ามีการเกร็งผลกำไรดอลล่าร์สหรัฐสกุลเงินเดียวโดยไม่ได้เปรียบเทียบกับใครเลย การเทรดในตลาด Forex โดยทั่วไปสกุลเงินก็จะมีการเปรียบเทียบกัน เช่น ดอลล่าร์สหรัฐกับทองคำ เป็นต้น
สำหรับการเกร็งกำไรในตลาด Forex โดยพื้นฐานก็จะเปรียบเทียบกันระหว่างสองสกุลเงินจะเรียกว่า “คู่เงิน” สกุลเงินขึ้นต้นจะเรียกว่า “ค่าเงินหลัก” และสกุลเงินต่อท้ายจะเรียกว่า “ค่าเงินรอง” เช่นเดียวกับที่ได้ยกตัวอย่าง USD/THB ไปแล้ว ซึ่ง USD ก็คือค่าเงินหลัก และ THB ก็คือค่าเงินรองนั่นเอง
แล้วรู้ไหมว่าทำไม USD ถึงอยู่ข้างหน้า แล้ว THB ทำไมถึงอยู่ต่อท้าย แล้วทำไมเวลาเป็น EUR/USD สกุลเงินที่อยู่ข้างหน้าถึงเป็น EUR และสกุลเงินต่อท้ายถึงเป็น USD ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าได้มีการจัดอันดับสกุลเงินไว้ดังต่อไปนี้
1. EUR
2. GBP
3. AUD
4. NZD
5. USD
6. CAD
7. CHF
8. JPY
เมื่อ EUR จับคู่กับ USD จึงทำให้ EUR อยู่ข้างหน้าเพราะ EUR อยู่ลำดับที่ 1 และ USD อยู่ลำดับที่ 5 นั่นเอง เพราะฉะนั้นถ้าหากเอาสกุลเงินอะไรก็ตามมาจับคู่กับ EUR สกุลเงินยูโรจะอยู่หน้าเสมอเพราะจัดอยู่ในลำดับที่ 1 และหากสกุลเงินทั้ง 8 อันดับนี้ไปจับคู่กับสกุลเงินที่ไม่ได้อยู่ใน 8 อันดับนี้ ตัวอย่างเช่น สกุลเงินไทยบาท THB จะต้องอยู่ข้างหลังเสมอ ทั้งนี้เป็นการจับอันดับโดยธนาคารกลางของยุโรป
การวิเคราะห์กราฟราคาด้วยตัวเลขจากข่าวในตลาด Forex นั้น ต้องดูให้เห็นภาพเป็นสกุลเงินหลัก สกุลเงินรอง อย่างเช่นตัวอย่างต่างๆในบทความนี้จะดูที่สกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐ USD แล้วดูว่าเงินดอลล่าร์อยู่ตำแหน่งสกุลเงินหลัก (ขึ้นต้น) หรือสกุลเงินรอง (ต่อท้าย) ถ้า USD เป็นสกุลเงินรองในขณะที่กำลังอ่อนค่า กราฟราคาก็จะมีการปรับตัวขึ้น แต่หาก USD เป็นสกุลเงินหลักในขณะที่กำลังอ่อนค่า กราฟราคาก็จะปรับตัวลดลง
นี่ก็เป็นตัวอย่างให้เข้าใจว่าหากมีการประกาศตัวเลขต่างๆออกมาจากข่าว ก็จะสามารถทำให้พอวิเคราะห์กราฟราคาได้ว่าสภาวะตลาดนั้นจะเป็นแบบใดในแต่ละคู่เงิน
(https://sv1.img.in.th/aMzhiM.jpeg)