แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - นักศึกษา77

หน้า: [1] 2
1
มันคงจะดีมาก ถ้าเรามีIndicatorบอกจุดเข้า จุดออก ที่ค่อนข้างดี
สวัสดีครับ กลับมาพบกันอีกแล้วครับ   วันนี้จะมาแจกIndicatorตัวนึง ที่ผมพัฒนาขึ้นมาเอง
หลักการของอินดิเคเตอร์ตัวนี้นะครับ    คือตอนแรก ผมรู้สึกพะรุงพะรังมาก กับอินดิเคเตอร์หลายตัวที่มีอยู่ในมือ
รวมทั้งเงื่อนไขที่ผมใช้ ทั้งแบบTrend line, รูปแบบแท่งเทียน  และอินดิเคเตอร์อื่นๆ มันทำให้ผมรู้สึกรกหน้าจอมากมาย  ซึ่งถ้าเป็นคนที่เทรดฟอเร็กซ์มานานๆ จะเห็นว่ามีIndicatorอยู่เต็มหน้าจอไปหมด  ทั้งอินดิเคเตอร์สมัยแรกๆ และตัวใหม่ๆ จนหน้าจอโปรแกรมMT4 แทบจะไม่มีที่ให้กราฟจริงๆโผล่มาหายใจ  เพราะเต็มไปด้วยอินดิเคเตอร์มากกว่านั่นเอง
ผมเล็งเห็นถึงปัญหานี้  ผมจึงได้คิดค้นวิธีการอะไรก็ได้ให้ง่ายขึ้น    ผมก็เลยคิดวิธีคือ ย่ออินดิเคเตอร์เป็นลูกศร แบบเข้าง่ายๆดีกว่า   โดยทำเป็นลูกศรขึ้น  ลูกศรลง  ให้เห็นง่ายๆ    ถ้าลูกศรลง ก็แค่เปิดคำสั่งขายSell  ถ้าลูกศรขึ้น ก็แค่เปิดคำสั่งซื้อหรือBuy ง่ายไหมหล่ะครับ  และIndecatorนี้มีชื่ออินดิเคเตอร์ว่า "แม่น แม่น" 
ก่อนอื่น ต้องเข้าใจก่อนว่า อินดิเคเตอร์ ไม่ได้บอกจุดเข้า จุดออก แบบแน่นอน100%
แต่ว่ามันสามารถ บอกความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้นได้ และเอาไว้ใช้เชิงสถิติได้
จากรูป จะเห็นว่าอินดิเคเตอร์  เข้าแล้วถูกต้อง คือขึ้นไปประมาณ200จุด (นับจากจุดที่เข้า)  ดูย้อนหลังไป จะเห็นว่า มีโอกาสชนะ มากกว่าแพ้  อย่าลืมนะครับ ว่าสิ่งที่สำคัญสำหรับการเทรดคือ พยายามควบคุมจิตใจเราให้ได้  อย่าโลภกับมันมากจนเกินไป
หวังว่าเครื่องมือตัวนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ไม่มากก็น้อย 


<a href="https://www.youtube.com/watch?v=m2Y-dee1yW4" target="_blank">https://www.youtube.com/watch?v=m2Y-dee1yW4</a>

2
Commissions คืออะไร

     Commission คือ ค่าธรรมเนียมที่โบรกเกอร์เรียกเก็บจากเทรดเดอร์ในฐานะผู้ให้บริการในการเทรด ซึ่งโบรกจะได้กำไรจากค่าธรรมเนียมตรงนี้แหละครับ แม้ว่าบางโบรกเขาจะบอกว่าไม่คิดค่า Commission เพราะว่าจริงๆแล้วเค้าได้บวกกับค่า Spread (ค่าส่วนต่างของราคาซื้อและราคาขายของตลาดในขณะนั้น) ไปแล้วนั่นเอง ซึ่งอาจจะคิดเพียงแค่ $0.1 ต่อการเทรด 1 lot ($100,000) ก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพคล่องทางตลาด (liquidity) หรืออื่นๆ ตามแต่โบรกเกอร์นั้นๆจะคิดคำนวณช่องทางรายได้ของเขาครับ

     แต่ทั้งนี้ก็มีบางโบรกที่เก็บค่า Commission เพราะว่าค่า Spread ของเค้าน้อย หรือบางโบรกหรือบางระบบบัญชีก็คิดทั้งสองอย่าง….ครับพวกที่ทำงานระบบการเงิน การธนาคาร โบรกเกอร์ ฯลฯ พวกนี้เขาจะสร้างอะไรที่สลับซับซ้อนให้เราตามไม่ทันเสมอๆอยู่แล้วครับ

     แต่ Commissions อีกคำ จะหมายถึง ค่านายหน้าที่โบรกให้เราเวลาเราหาลูกค้าให้เขาได้ เป็นเงินพิเศษตอบแทนจากโบรกที่คุณนั้นทำการชักชวนคนมาสมัครสมาชิกและทำการเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์นั้นๆ เช่น ชวนคนมาสมัครเป็นสมาชิกของทางโบรกเกอร์ XM, FBS เป็นต้น โดยผู้ชักชวนจะได้รับทั้ง % จากการสมัคร และ % จากทุกๆยอดเทรดอีกด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการหาเงินเพิ่มขึ้นจากการเทรด forex ที่คุณควรรู้ แต่ในบทความนี้ผมจะข้ามไป เพราะได้กล่าวอย่างละเอียดในบทความ “affiliate, IB, partners, รีเบต คืออะไร” แล้วครับ

Spread ยิ่งกว้างค่า Commissions ยิ่งสูง

     จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นได้ว่าถ้ายิ่ง Spread กว้างมาก เราก็จะต้องจ่ายส่วนต่างนี้มากขึ้นไปด้วย ส่วนต่างตรงนี้เองที่เป็นรายได้ของโบรกเกอร์ และเราหรือผู้เทรดจำเป็นจะต้องจ่ายทุกครั้งที่เปิด Order และทำการเทรด(จริงๆ ถ้าจริงใจกันจริงๆ เขาควรจะเรียกกันไปเลยตรงๆว่า Commissions Spread ให้ชัดๆไปเลยใช่ไหมครับ นี่แหละคนหัวหมอหัวการเงินเขาคิดและทำกันแบบนี้แหละครับ หุหุ….)

     บางคนอาจจะเห็นว่า เสียแค่ 0.0003 จากราคาประมาณ 1.4 นั้นไม่เท่าไหร่เอง… ถ้าคิดเป็น % ก็แค่ประมาณ 0.03% เอง แต่อย่าลืมนะครับว่าการเทรด Forex นั้นมีระบบ Leverage ถ้า Leverage ที่ 1:100 นั้นก็เสมือนว่าเราส่งคำสั่งซื้อด้วยเงินทุน 100 เท่าจากเงินทุนจริงของเรา ดังนั้นถ้าเทียบกับเงินทุนจริงของเรา มันจะไม่ใช่แค่ 0.03% แต่มันจะเป็น 3% นั้นเอง หรือถ้าเทรดในระบบ Leverage 1:500 จำนวนเงินตรงนี้ก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีกเป็น 15% ของเงินทุนจริงของเรา คราวนี้จะเห็นชัดเจนเลยใช่ไหมครับ ว่าเขาฟันกำไรไปเหนาะๆขนาดไหน แบบนี้เรียก “เสือนอนกิน” ดีๆนี่เอง

Spread แต่ละโบรกเกอร์ แต่ละคู่เงิน แต่ละบัญชี แตกต่างกัน


     Broker แต่ละที่จะมีค่า Spread ที่แตกต่างกันไป แต่ละบัญชีก็แตกต่างกัน รวมไปถึงคู่อัตราแลกเปลี่ยนแต่ละคู่ก็อาจมี Spread ที่แตกต่างกันด้วย หรือแม้กระทั้งคู่สกุลเงินคู่เดียวกัน แต่คนละช่วงเวลา บางโบรคเกอร์ค่า Spread ก็สามารถขึ้นลง และไม่ Fix ด้วยเช่นกัน ดังนั้นก่อนเปิดใช้บริการของโบรคเกอร์ ควรตรวจสอบค่า Spread ของโบรคเกอร์นั้นๆ ให้ดีก่อนนะครับ รวมไปถึงระบบ Spread ของโบรคเกอร์นั้น ๆ ว่าเป็นแบบ Fix คงที่ หรือเปลี่ยนแปลงได้ ในกรณีที่ใช้บริการของโบรคเกอร์ที่ไม่ Fix ค่า Spread ก่อนทำการเทรดทุกครั้ง ต้องตรวจสอบค่า Spread ในขณะนั้นก่อนส่งคำสั่ง ซื้อ-ขาย เพราะถ้ารีบร้อนเกินไป กลัวไม่ได้ราคาที่ลงไว้โดยไม่ได้ตรวจสอบ Spread ให้ดีๆ เมื่อคุณเข้าเทรดไปแล้วอาจจะตกใจภายหลังได้ครับ

     จะเห็นได้ว่าการเลือกโบรกเกอร์ ค่า Spread ก็เป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งที่สามารถลดค่าใช้จ่ายของเราได้ ถึงแม้มันจะน้อยเมื่อเทียบ กับราคาที่วิ่งขึ้น วิ่งลง ของอัตราแลกเปลี่ยน แต่ถ้าเราประหยัดตรงนี้ได้ แค่ 1-2% ต่อการเทรดแต่ละครั้ง แต่รวมๆ หลายๆ ครั้งก็เป็นจำนวนเงินไม่ใช่น้อยๆ เลยนะครับ

     ดังนั้นที่ว่าโบรกเกอร์ forex หลายโบรกเกอร์ ได้โฆษณาว่าฟรีค่าคอมมิสชัน (Commission) นั้นโปรดเช็คค่าอื่นๆด้วย เช่น ค่า Spread เป็นต้นครับ


Swap : คำอีกคำที่เกี่ยวกับคอมมิสชั่น

     ค่า Swap (อ่านว่า สวอป) คือค่าผลต่างของอัตราดอกเบี้ย overnight interest บางทีก็เรียก Rollove ตามคู่เงินที่เราเทรด โดยค่า Swap มีทั้งแบบ Debit or Credit คือมีค่าทั้งบวกและลบ เช่น ถ้าเรา Buy EUR/USD เราก็จะได้ค่าดอกเบี้ยของการถือออเดอร์ข้ามคืน แต่ถ้าเรา Sell เราก็จะเสียในส่วนนี้

     ดังนั้น Swap ก็คือดอกเบี้ยที่เราจะได้หรือเสียไปให้กับโบรคเกอร์ เมื่อเราทำการเปิดออเดอร์ทิ้งไว้ข้ามคืน (ช่วงตี 4 – ตี 5 ในเวลาประเทศไทย ซึ่งก็แล้วแต่เวลาของ Server ในแต่ละโบรกเกอร์) ดังนั้น หากคุณไม่ต้องการให้มีค่า Swap ที่เป็นลบเกิดขึ้นกับคุณ ให้พึงระวังในการเปิดออเดอร์ข้ามคืน โดยเฉพาะการเปิดออเดอร์ที่มีเป็นจำนวนหลายๆสัญญา เป็นต้น

     โดย Swap จะคิดค่าที่ 5 PM ตามเวลาของ New York ตั้งแต่เวลาเปิดจนกระทั่งตลาดปิด คำนวณแบบวันต่อวัน ซึ่งเวลาช้ากว่าประเทศไทยประมาณ 12 ชั่วโมง โดยทุกจุดที่เข้าเราซื้อ-ขายภายในช่วงเวลาก่อน 5PM จะเกิดค่า overnight interest

     แต่ถ้าซื้อขายเวลา 5.01 PM จะถูกนับไปเป็นอีกวันหนึ่ง และค่า Swap +/- จะโชว์ขึ้นในบัญชีเทรดหลังจากเวลาปิดตลาดประมาณ 1 ชั่วโมง

     อัตราค่า Swap นั้นแล้วแต่ที่โบรคเกอร์ของคุณกำหนดไว้ ส่วนใหญ่คุณจะต้องเสียค่า Swap เล็กน้อยจนถึงมาก โดยคืนวันเสาร์และอาทิตย์ไม่มีการคิดค่า Swap แต่จะไปทบในคืนวันพุธแทนซึ่งค่า Swap คืนวันพุธจะมีค่าเป็น 3 เท่าของค่า Swap ปกติ(ซึ่งตรงนี้เองที่หลายคนพลาดแล้วรู้สึกไม่แฟร์) เนื่องจากเป็นการรวบยอดจากคืนวันเสาร์-อาทิตย์มารวมไว้ด้วย โดยสรุปแล้ว Swap ถือเป็นคอมมิชชั่นแบบหนึ่งที่เป็นทั้งบวกและลบคือเราได้และเราจ่าย ซึ่งผมได้กล่าวเรื่อง Swap นี้อย่างละเอียดแล้วในบทความ “Swap คืออะไร” ลองเข้าไปอ่านดูได้ครับ


ความจริงเกี่ยวกับเรื่อง Commissions

     ในการเทรด forex นั้นเราจะต้องจ่ายค่าบริการให้โบรกเกอร์ ซึ่งเขาจะยอมเรียกว่าค่า Commissions หรือไม่ก็ตาม ซึ่งโดยรวมทั้งหมดหลายชั้นหลายซ้อนถือว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับการซื้อขายหุ้น หรือกองทุนในบ้านเรา ซึ่งมีค่าคอมมิสชันจะอยู่ที่ประมาณ 0.2% ของมูลค่าที่ทำการเทรด

     ดังนั้นการที่โบรคเกอร์ forex ส่วนใหญ่ ทำการตลาดโดยอ้างว่า ฟรีค่าคอมมิสชัน (Free Commissions) ที่จริงแล้วมันไม่จริงเสียทั้งหมดครับ ซึ่งมันอาจทำให้เราเข้าใจผิดได้

     ในตลาด forex นั้น จะคล้ายๆ กับตลาดอื่นๆ นั่นคือมีการตั้งซื้อ(Bid) และตั้งขาย (Ask) ราคาตั้งซื้อคือราคาที่เราสามารถขายได้ในขณะนั้น ส่วนราคาตั้งขายก็คือราคาที่เราสามารถซื้อได้ในขณะนั้น

     ผลต่างระหว่างราคาตั้งซื้อและตั้งขายนั้นเรียกว่า Spread ยกตัวอย่าง EUR/USD ราคา Bid ที่ 1.5157 และ Ask ที่ 1.5160 ดังนั้นค่า Spread ของ EUR/USD จะเท่ากับ 0.0003 หรือ 3 PIPS ถ้าเราทำการเปิด Order ทำการซื้อขณะนั้น เราจะซื้อได้ที่ 1.5160 และ Transaction ของเราจะขึ้นเป็น -3 PIPS ทันที ถ้าเราปิดออร์เดอร์ขณะนั้นโดยอัตราแลกเปลี่ยนยังไม่เปลี่ยนแปลงเราจะขายได้ที่ 1.5157 และขาดทุนทันที 0.0003 หรือ 3 PIPS

                                                                                                                                                                                           

3

รูปภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณสัญญาที่ Commercials ถือครอง กับราคา


COT Report หรือ สถานะการถือครองสัญญา คืออะไร

     COT Report คือการรายงานสถานะการถือครองสัญญา Futures ของนักลงทุนในกลุ่มต่างๆ โดยถูกจำแนกออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน คือ

1. Commercials = ผู้ที่ใช้สินค้าจริง (เส้นสีแดง) หมายถึง นักลงทุนที่ใกล้ชิดกับการผลิตสินค้าชนิดนั้น หรือเกี่ยวข้องโดยตรงกับปริมาณสินค้าในตลาด ยกตัวอย่างเช่น สำหรับตลาดทองคำ Commercials นี้จะหมายถึงนักลงทุนที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับเหมืองทอง ผู้ค้าทองรูปพรรณ ส่วนตลาด Forex ก็จะหมายถึง ผู้นำเข้า/ส่งของสินค้า Importer/Exporter เป็นต้น

2. Large Speculators = นักลงทุนรายใหญ่ (เส้นสีเขียว) หมายถึง นักลงทุนหรือนักเก็งกำไรทั่วไป แต่จะถูกจำแนกให้เป็นนักลงทุนรายใหญ่ด้วยปริมาณเงินทุนที่มากกว่านักลงทุนรายย่อยทั่วไป

3. Small Trader = นักลงทุนรายย่อย (เส้นสีฟ้า) หมายถึง นักลงทุนหรือนักเก็งกำไรทั่วไป ที่มีปริมาณเงินทุนไม่ถึงระดับที่จะเป็นนักลงทุนรายใหญ่ได้

     รายงาน COT หรือ COT Report จัดเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีประโยชน์มากในการวิเคราะห์แนวโน้มของราคา ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ด้านพื้นฐาน (Fundamental Analysis) หรือ การวิเคราะห์ด้านเทคนิค (Technical Analysis) แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งๆที่มันมีประโยชน์อย่างมหาศาล แต่กลับไม่ค่อยได้รับความนิยมหรือถูกพูดถึงในวงกว้างนัก ด้วยระยะเวลาการออก COT Report แต่ละครั้งนั้นจะออกเพียง 1 สัปดาห์ต่อ 1 ครั้ง ทำให้นักลงทุนส่วนหนึ่งมีความรู้สึกว่ารายงานตัวนี้ค่อนข้างช้าและไม่เป็นปัจจุบัน โดยเฉพาะนักลงทุนที่เล่นใน TF ระยะสั้น และซื้อขายเร็ว จะแทบไม่เห็นประโยชน์ของรายงานฉบับนี้เลย

ความสำคัญของ COT Report

     โดยทั่วไปแล้ว COT Report จะถูกใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ด้านเทคนิค เช่นเดียวกับ ข้อมูลพื้นฐานตัวอื่นๆ แต่มันจะให้ข้อมูลที่แตกต่างจากอินดิเคเตอร์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว อินดิเคเตอร์ก็คือเครื่องมือวัดการเคลื่อนไหวของราคา คือการนำเอาตัวเลขราคาในอดีตมาหาความสัมพันธ์ หลังจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของตัวนักลงทุนว่าจะตีความหรือพยากรณ์สิ่งที่อินดิเคเตอร์แสดงผลออกมาในทิศทางใด

     จากด้านบน จะเห็นได้ว่าสิ่งที่เป็นปัจจัยให้อินดิเคเตอร์เคลื่อนไหว มีแค่ราคาเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น อินดิเคเตอร์ยอดฮิตอย่าง Moving Average ถ้าราคาปรับตัวขึ้น เส้น MA ก็จะปรับขึ้นด้วย และในทางตรงกันข้าม ถ้าราคาปรับตัวลง เส้น MA ก็จะปรับตัวลงด้วย ฉะนั้น ถ้ามองในมุมของคณิตศาสตร์ อินดิเคเตอร์ก็เป็นเพียงสมการ 1 ตัวแปร ที่แทบจะไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรกับนักลงทุนเลย

     กลับมาพูดถึงรายงาน COT อีกครั้ง รายงานตัวนี้จะบอกสถานะถือครองของนักลงทุน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถรับรู้ได้จากอินดิเคเตอร์ตัวใดๆเลย

     คำถามคือ เราจะรู้ไปทำไมว่าใครซื้อขายอะไร มันสำคัญอย่างไร คำตอบของคำถามนั้น เป็นคำตอบเดียวกับการที่นักลงทุนไม่เลือกใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค หรือพึ่งพาอินดิเคเตอร์เพียงอย่างเดียว พวกเขาจะไม่เพียงแค่ดูกราฟแล้วพยายามมองมันให้ออก แต่พวกเขาจะพยายามหา ‘ราคาที่แท้จริง’ ของสินค้าตัวนั้น

ราคาที่แท้จริง กับ COT Report

     การหาราคาที่แท้จริงของสินค้าตัวใดนั้น นักลงทุนทั่วไปคงไม่สามารถพยากรณ์ราคาเองได้ แต่กลุ่มคนที่ใกล้ชิดกับราคาที่แท้จริงมากที่สุด ก็คือกลุ่มคนที่ใช้สินค้าจริง หรือ กลุ่ม Commercials ยกตัวอย่างเช่น ราคาทองคำ ในฐานะนักลงทุนทั่วไปอย่างเรา สิ่งที่เราจะเห็นก็มีเพียงราคาที่ขึ้นลงในกราฟเท่านั้น แต่เราไม่มีทางรู้เลยว่า ราคาที่เห็นอยู่ในตลาดนั้น เป็นราคาที่สมเหตุสมผลหรือไม่ แพงไป หรือถูกเกินไป ซึ่งกลุ่มคนที่จะรู้ข้อมูลส่วนนี้ ก็คือกลุ่มคนที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องโดยตรงกับทองคำ นั่นคือ ถ้ากลุ่ม Commercials เริ่มเข้าซื้อ นั่นแปลว่าราคาเริ่มลงมากเกินไปแล้ว พยากรณ์ได้ว่าราคาจะปรับตัวกลับขึ้นไปในไม่ช้านี้ แต่ถ้า Commercials เริ่มลดปริมาณการถือครองลง นั่นแปลว่าราคาเริ่มสูงเกินไปแล้ว พยากรณ์ได้ว่าราคาจะปรับตัวลงมาในไม่ช้านี้

                                                                                                                                                                                       

4

Channels ช่วยเทรด คืออะไร

     ในการประยุกต์ใช้การตีเส้น Trend line อีกหนึ่งขั้น คือการลากเส้นคู่ขนาน (parallel line) เพื่อสร้างกรอบ Channel ในการดูทิศทางของการเคลื่อนไหวราคา สามารถช่วยการหาแนวรับ แนวต้าน และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการกำหนดกลยุทธ์ในการเทรดได้อีกเช่นกัน

การสร้าง Channel มี 3 แบบ

1. Ascending channel
2. Descending channel
3. Horizontal channel

Ascending channel

     การสร้างกรอบแนวโน้มขาขึ้น เป็นการตีเส้นคู่ขนานของเส้น Uptrend line ขึ้นมา เพื่อดูกรอบกาเคลื่อนไหวของราคาในแนวโน้มขาขึ้น โดยกรอบด้านบนก็พิจารณาการช่วงการแกว่งตัวขึ้นทำ High ของราคาให้เหมาะสมกับ Channel


Descending channel

     การสร้างกรอบแนวโน้มขาลง เป็นการตีเส้นคู่ขนานของเส้น Downtrend line ขึ้นมา เพื่อดูกรอบกาเคลื่อนไหวของราคาในแนวโน้มขาลง โดยกรอบด้านบนก็พิจารณาการช่วงการแกว่งตัวขึ้นทำ Low ของราคาให้เหมาะสมกับ Channel

 
Horizontal channel

     ก็เหมือนกับการตีกรอบ Trend line แบบ Sideway นั่นเอง


สิ่งสำคัญที่ต้องทราบในการตี Channel

- ในการสร้าง Channel เส้น Trend line ทั้ง 2 เส้นต้องขนานกัน
- กรอบล่างของ Channel คือบริเวณซื้อ (Buy zone) กรอบบนของ Channel คือบริเวณขาย (Sell zone)
- ความชันของ Channel ก็มีความหมายเช่นเดียวกัน

                                                                                                                                                                       

5

     จากกราฟด้านบน USDJPY ในช่วง CCI ลงต่ำกว่า -100 ราคาเข้าสู่ภาวะ Oversold ถ้าตามตำราจะเป็นจังหวะเข้าซื้อ ซึ่งถ้าเราไปเปิด Long ที่บริเวณนั้น จะเห็นได้ว่า ราคาลงต่ออย่างรุนแรง



     เช่นเดียวกัน ในทางตรงกันข้าม Overbought ก็เช่นกัน ในช่วงที่ CCI มากกว่า 100 ถ้าเราไปสวน Short ในช่วงนั้น ก็จะแย่ได้เช่นกัน เพราะราคาขึ้นต่ออย่างต่อเนื่อง

     วิธีการช่วยแก้ไขปัญหาพวกนี้มีอยู่ 2 อย่าง คือ

1. แนวรับ แนวต้าน
2. Divergence



     กราฟนี้ (USDJPY) เป็นตัวอย่างการใช้ CCI ประกอบกับ Divergence และ แนวรับแนวต้าน จากจุดที่ 1 เป็นตัวอย่างการเกิด Bullish divergence กับ CCI ซึ่งสามารถเป็นตัวช่วยกรองในอีกระดับหนึ่งได้ และจุดที่ 2 เป็นการใช้แนวต้าน และ Bearish divergence เข้ามาช่วยพร้อมกัน แต่หลักการยังเหมือนเดิมคือจะดูในช่วงที่ CCI เกิน 100 หรือต่ำกว่า 100 นั่นเอง

CCI คืออะไร
 
     CCI หรือ Commodity channel index โดยเป็น Indicator ที่มีส่วนผสมระหว่างค่าเฉลี่ย (ปกติ 20 วัน) กับส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเข้ามาในการคำนวณ ซึ่งในการดูสิ่งนี้โดยทั่วไปจะใช้ดู Overbought กับ Oversold คือถ้า CCI มีค่ามากกว่า 100 หมายความว่าราคาอยู่ในภาวะ Overbought แต่ถ้า CCI มีค่าน้อยกว่า 100 หมายความว่าราคาอยู่ในภาวะ Oversold

     ซึ่งถ้าราคาอยู่ในโซนดังกล่าว แปลว่าราคาฉีกออกจากเฉลี่ยมากกว่าปกติ ทำให้ระยะสั้นนั้นคาดการณ์ได้ว่าราคามีโอกาสตัวกลับหาเฉลี่ยปกติของมัน อย่างเช่นในช่วงที่ CCI อ่านค่าต่ำกว่า -100 หมายความว่า ราคาถูกขายมากเกินไป การขายตอนนั้นแรกเกินปกติ เป็นช่วงที่ราคาผิดปกติ และมีโอกาสสูงที่จะดีดกลับ เพื่อเข้าสู่ภาวะปกติ

     ซึ่งการเทรดตามตำราทั่วไป มักมีปัญหาบ่อยๆคือ ความเป็นจริงมันคนละเรื่องกับตำรา พอนำไปเทรดจริงๆ กลับใช้ไม่ค่อยได้

                                                                                                                                                                         
 

6
Bull Market คืออะไร

     ตลาดกระทิง คือความหมาของคำว่า Bull Market สภาวะตลาดที่เป็นแบบกระทิง คือ ตลาดที่มีเส้นเทรนไลน์ (Up trend) แบบชันขึ้นมากกว่า 45 องศา หากเส้นมีความชันแบบนี้ถือว่าเป็น Bull Market โดยปกติมักเอา TF แบบ 1H ขึ้นไปมาเป็นตัวกำหนด แต่หากใช้เส้นต่ำกว่านี้ จะยังไม่สามารถบอกว่าเป็น  Bull Market ได้แน่นอน 100%

Bear Market คืออะไร

     ตลาดหมี คือความหมายของคำว่า Bear Market สภาวะตลาดที่เป็นแบบกระทิง คือ ตลาดที่มีเส้นเทรนไลน์ (Down trend)  แบบชันลงมากกว่า 45 องศา หากเส้นมีความชันแบบนี้ถือว่าเป็น Bear Market โดยปกติมักเอา TF แบบ 1H ขึ้นไปมาเป็นตัวกำหนด แต่หากใช้เส้นต่ำกว่านี้ จะยังไม่สามารถบอกว่าเป็น  Bear Market ได้แน่นอน 100%

เทคนิคการเทรด forex ในตลาด Bear Market

     สำหรับกลยุทธ์ในการเทรด forex เพื่อทำกำไรในตลาดขาลง หรือ Bear Market เราจะใช้คำสั่งขาย (Sell Order) เท่านั้น โดยสำรวจค่า RSI ถ้ามากกว่า 80 และทำสัญญากลับตัวขาลง เพียงเท่านี้ก็พอครับ และเหมือนเช่นเดิมคือ อย่าเปิดแทงสวนเทรนโดยเด็ดขาด เพราะการทำแบบนี้มีความเสียงอย่างมากที่จะเกิดการล้างพอร์ตครับ ตรงนี้ความรู้เรื่องเทรนจะสามารถช่วยในการเทรดได้มากทีเดียว

เทคนิคการเทรด forex ในตลาด Bull Market

     กลยุทธ์ง่ายๆในการทำกำไรกับ ตลาดกระทิงคือ ให้เราใช้การเปิดคำสั่งซื้อ (Buy Order) เท่านั้น โดยรอดูจุดที่ค่า RSI ต่ำกว่า 30 และทำสัญญาณกลับตัวขึ้น หรืออาจเลือกดูที่ค่า MACD เพื่อดูเรื่องของการกลับตัวในทิศทางขาขึ้นของกราฟก็ได้ครับ และห้ามแทงสวน หรือเทรดสวนตลาดขาขึ้นหรือตลาดกระทิงโดยเด็ดขาด เจ็บกันมาเยอะแล้ว!

     เห็นไหมครับว่า ถ้าคุณเจอสภาวะตลาดของ 2 อย่างข้างต้นที่ได้กล่าวไปนี้ ถือว่าเป็นอะไรที่โชคดีมากๆ เพราะว่าคุณสามารถที่จะทำกำไรได้อย่างรวดเร็วและง่ายๆมากๆ โดยการใช้อินดี้แค่ 2 ตัวได้แก่ MACD กับ RSI เท่านั้น ดังนั้นถ้าเจอสภาวะตลาดแบบนี้แล้ว ก็โปรดอย่าลืมเทรดทำกำไรกันเยอะๆครับ

                                                                                                                                                           

7
ประโยชน์ของการใช้ค่า Breakout

     ประโยชน์ของการใช้ Breakout ถือว่ามีเยอะมากๆ จริงๆแล้วถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากๆเลยทีเดียวครับ โดยสามารถสรุปประโยชน์ของการใช้ค่า Breakout ได้ดังต่อไปนี้คือ

1. ช่วยให้เราใช้เป็นข้อมูลในการเปิดสัญญาได้
     ประโยชน์ข้อแรกนี้ถือเป็นประโยชน์ ที่มีความสำคัญมากๆ เพราะว่า เมื่อราคาเกิดการ Breakout แล้ว คุณสามารถเปิดสัญญาเพื่อจะทำการ follow ราคาตามได้เลย  เพราะโดยปกติแล้ว ราคาเมื่อทำการ Breakout แล้ว ราคาจะวิ่งต่อไปค่อนข้างที่จะแรงมากๆ

2. ช่วยให้เราสามารถทำกำไรก้อนใหญ่ได้
     แน่นอนว่าเมื่อเราเกิดการ Breakout แล้ว เราจะไม่รู้เลยว่าราคานั้นจะวิ่งขึ้น หรือว่าวิ่งลงไปที่ตรงไหน ในราคาเท่าไหร่ ดังนั้นถ้าคุณเปิดสัญญาได้ตามทัน เช่นคุณอาจเลือกใช้คำสั่ง Order อยู่ แบบนี้คุณก็สามารถที่จะทำการ follow ราคาตามไปได้ทันที ส่งผลให้คุณนั้นสามารถทำกำไรก้อนใหญ่ได้นั่นเอง


Breakout คืออะไร

     Breakout คืออะไร ตอบแบบง่ายๆดังนี้ครับ คือการที่กราฟ มีราคาทะลุแนวรับ แนวต้านที่เราตั้งไว้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ เทรนไลน์ การใช้ ฟิโบแนนชี่ หรืออื่นๆ คือเมื่อราคาของคู่เงินนั้นๆวิ่งมาจนสามารถทะลุแนวรับ หรือแนวต้านได้นั้น เราจะเรียกลักษณะอาการของกราฟช่วงนี้ว่าเกิดการ Breakout (อ่านว่า เบรก-เอ้า)

Breakout แล้วดีอย่างไรสำหรับการเทรด

     สรุปแล้ว Breakout ถือว่าเป็นค่าที่บ่งบอกให้รู้ว่า เป็นเรื่องที่ดีมากๆ ที่เรานั้นจะได้รับประโยชน์จากการเทรด เพราะว่าเมื่อคุณสามารถหาราคา Breakout ที่แท้จริงเจอแล้ว นั่นหมายถึงคุณสามารถทำกำไรได้ทันที และเป็นกำไรที่มาก และอาจมากเสียจนคุณนั้นไม่ต้องทำงานอีกเลยตลอดชีวิตก็ได้ จริงๆนะครับ

สิ่งที่เราควรระลึกเมื่อใช้ค่า Breakout

     การเกิด Breakout นั้นสิ่งที่เราอาจต้องดูควบคู่กันไปด้วยคือเรื่องของ Volume เพื่อดูว่าการเกิด Breakout ตัวนั้นเป็นการเกิดขึ้นอย่างแท้จริง หรือว่าเกิดจากการที่ คนทำราคาทำราคาหลอกเราเพื่อให้ไล่ราคาตามหรือไม่ เพราะว่าถ้าเป็นดังเช่นกรณีหลังนี้เท่ากับว่าหากเราไปทำการเปิดสัญญาตามไปโดยไม่รู้ตัว ผลที่ตามมาคือเราจะขาดทุนอย่างหนักเลยนั่นเอง ดังนั้นเมื่อราคาเกิด Breakout แล้ว อย่าลืมดูในเรื่องของ Volume ประกอบด้วยเสมอๆนะครับ

                                                                                                                                                                                       

8

     จากกราฟตัวอย่างข้างต้น BUND (พันธบัตรรัฐบาลของประเทศเยอรมนี) เส้นสีน้ำเงิน  และ EUR/USD เส้นสีส้ม ได้แสดงให้เห็นว่า เมื่อราคา BUND ขึ้น บ่งชี้ได้ว่า อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรจะลดลง ทำให้ความต้องการเงินในประเทศมีลดลง เป็นสัญญาณให้ค่าเงิน EUR อ่อนค่าลงในรอบถัดมา

Bonds – การดูกระแสเงิน คืออะไร

     เทรดเดอร์ในตลาด Forex ส่วนมาก มักไม่ได้ให้ความสำคัญกับราคาพันธบัตรมากซะเท่าไร่ หรือจะบอกได้ว่าแทบไม่เคยดูด้วยซ้ำ นิ่งเป็นสิ่งที่เทรดเดอร์ไม่ควรละเลยอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเทรดเดอร์ Forex คุณต้องให้ความสนใจกับราคาพันธบัตรเนื่องจากจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงกระแสเงินทุนได้อย่างดี

     เมื่อความเสี่ยงในตลาดการเงินมีสูงขึ้น (ในแง่ปัจจัยต่างๆที่ส่งผลให้มีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น เช่น เศรษฐกิจไม่ดี , การเมือง , หรือสงคราม เป็นต้น) นักลงทุนก็มักจะหลักเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง อย่างตลาดหุ้น และย้ายเงินทุนดังกล่าวไปยังสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า อย่างค่าเงินสวิสฟรังค์ , ค่าเงินเยน และ “พันธบัตรรัฐบาล” (พันธบัตรรัฐบาลใช้แทนสินทรัพย์ที่ไม่มีความเสี่ยงในทางวิชาการ)

     เรามาทำการเข้าใจก่อนว่า เมื่อราคาพันธบัตรรัฐบาล “สูงขึ้น” อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรัฐบาลก็จะ “ลดลง” โดยอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล และ ค่าเงิน มักจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน เมื่ออัตราผลตอบแทนสูงขึ้น เป็นสิ่งที่ดึงดูดนักลงทุนให้หันมาลงทุนในพันธบัตรในประเทศนั้น ทำให้ค่าเงินในประเทศนั้นแข็งค่าขึ้น ในทางกลับกัน เมื่ออัตราผลตอบแทนของพันธบัตรลดลง ความน่าดึงดูดในการลงทุนก็น้อยลง ค่าเงินในประเทศนั้นมีแนวโน้มอ่อนค่าเนื่องจากไม่มีกระแสเงินทุนไหลเข้ามา

                                                                                                                                                                             

9

     ตัวอย่าง USDJPY กับ Set up ในการเทรดรูปแบบนี้ โดยรอจังหวะที่ Bandwidth นั้นทำ Low ต่ำสุดในรอบ 120 วัน ซึ่งแสดงถึงราคาแกว่งตัวในกรอบแคบเตรียมที่ระเบิดขึ้นในอนาคตไม่ช้านี้ และเมื่อราคาขึ้นปิดเหนือกรอบ Bollinger bands ก็เป็นสัญญาณการเปิด Long ตาม เนื่องจากราคาได้เลือกทิศทางในฝั่งขึ้นแล้ว (ส่วน Short ก็ตรงกันข้าม) ซึ่ง Set up นี้มีหลักการเดียวกันกลยุทธ์ Breakout แต่จะใช้เครื่องมือ Bollinger bands เป็นตัวหาจุดเข้าออก


Bollinger bands (Squeeze) คืออะไร

     เป็น Trade setup ที่คิดค้นโดย John Bollinger ที่เป็นตัวผู้คิดเครื่องมือ Bollinger bands นี้เอง เลย Bollinger bands ประกอบด้วยเส้น 3 เส้น โดยเส้นกลางจะเป็นเส้นค่าเฉลี่ย 20 วัน ส่วนเส้นบนกับเส้นล่างหรือที่เรียกกันว่ากรอบบน และกรอบล่าง นั้นเป็นมาจากเส้นค่าเฉลี่ย 20 วัน + / – ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviations) หรือ 2 S.D. นั่นเอง ใน Set up นี้จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Bandwidth ที่ไว้วัดความกว้างของกรอบ Bollinger bands

ซึ่งถ้า

– ค่า Bandwidth อ่อนตัวลงต่ำ หมายความว่า กรอบ Bollinger bands นั้นแคบ แสดงถึงความผันผวนต่ำ
– ค่า Bandwidth ปรับตัวขึ้นสูง หมายความว่า กรอบ Bollinger bands นั้นกว้าง แสดงถึงความผันผวนสูง


เงื่อนไขการเทรด

- ฝั่ง Long

     รอช่วงที่ Bandwidth แตะจุดต่ำสุดในรอบ 120 วัน
     เปิด Long ในช่วงที่ราคาปิดเหนือกรอบบนของ Bollinger bands

- ฝั่ง Short

     รอช่วงที่ Bandwidth แตะจุดต่ำสุดในรอบ 120 วัน
     เปิด Short ในช่วงที่ราคาปิดต่ำกว่ากรอบล่างของ Bollinger bands

 
                                                                                                                                                                               

10

ประโยชน์ของการอ่านค่าเหล่านี้เป็น

     เมื่อคุณสามารถอ่านค่าและเรียกความหมายของคำข้างต้นนี้ได้ถูกต้อง ก็จะช่วยให้คุณนั้นสามารถอ่านค่าที่มีการทำนายต่างๆในอินเทอร์เน็ตของคู่เงินตามเว็บไซต์ดังๆอาทิเช่น เว็บไซต์ forexfactory.com เป็นต้น ซึ่งถ้าเรานั้นไม่เข้าใจความหมายเลยก็จะส่งผลให้เมื่อเรานั้นเจอคำเหล่านี้เราก็จะไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง อาจทำให้เราพลาดโอกาสในการทำเงินได้อย่างเหลือเชื่อเลยก็ได้นะครับ

Ask Price คืออะไร
     คำศัพท์คำแรกที่เราจะต้องศึกษาความหมายกันก่อนคือคำว่า Ask price ก็คือ ราคาที่คุณจะซื้อ(buy) ที่โบรกเกอร์เสนอให้เรา ask ใช้กับการเปิดการซื้อ-ขายแบบ long หรือ buy  ราคานี้จะมีค่าอยู่ในช่องทางขวามือของราคา เช่น EUR/USD เป็น 1.31176/1.31233 Ask Price คือ ราคา 1.31233  นั่นเอง ความหมายของตัวอย่างนี้คือ เราสามารถ buy 1 ยูโรโดยใช้เงิน 1.31233 ดอลล่าร์ บางทีเราก็เรียกราคาตรงนี้ว่า offer price ขึ้นอยู่กับว่าเรานั้นถนัดในการเรียกราคาแบบไหน

Bid Price คืออะไร
     คำที่สองที่มีความหมายที่น่าสนใจมากๆ คือคำว่า Bid price โดยคำนี้นั้นหมายความว่า เป็นราคาตลาด หรือราคาที่เราใช้ในการซื้อกันในตลาด forex ที่เป็นราคาปัจจุบัน โดยราคานี้จะอยู่ทางด้านซ้ายมือของราคาที่มีการโชว์ให้เราเห็น เช่น ถ้าเป็น EUR/USD เป็น 1.31176/1.31233 ราคา Bid price คือตัวเลข 1.31176 นั่นก็คือ ราคาที่คุณจะขาย(sell) ที่โบรกเกอร์เสนอให้เรา Bid ใช้กับการเปิดการซื้อ-ขายแบบ short หรือ sell ความหมายของตัวอย่างนี้คือ เรา sell 1 ยูโรแล้วเราจะได้เงิน 1.31176 ดอลล่าร์

bid/ask spread คืออะไร


     คำศัพท์คำที่สามนี้คือคำว่า bid/ask spread คือส่วนต่างระหว่างราคา bid และราคา ask โดยปกติแล้วเราจะเอาตัวที่อยู่หลังทศนิยมมาใช้ในการพูด เพราะว่ามันง่ายต่อการที่เราจะพูดและเขียนเพื่อใช้เป็นราคาอ้างอิง ยกตัวอย่างเช่น USD/JPY 123.2323/123.4345 ก็จะนำมาเขียนให้อยู่ในรูปแบบนี้คือ 2323/4345 เป็นต้น

     การนับ Spread จะนับค่าเป็น pip สเปรดเปรียบเหมือนค่าธรรมเนียมในการซื้อขายค่าอัตราแลกเปลี่ยนแต่ละครั้ง โบรกเกอร์จะได้เงินจากส่วนต่างระหว่าง bid และ ask เพราะเราต้องเปิดการซื้อ(แบบ long)ที่ ask แต่เมื่อจะขายปิดการซื้อจะต้องขายที่ bid ครับ ส่วนการซื้อ-ขายแบบ short ก็ตรงข้ามกัน เช่น GBP/USD เป็น1.7445/1.7448  ราคา bid ของ GBP/USD คือ 1.7445 และ ราคา ask คือ 1.7448 ถ้าเราจะซื้อต้องซื้อที่ 1.7448 และถ้าจะขายปิดออเดอร์ต้องขายที่ 1.7445 แปลว่าเราต้องจ่ายค่าธรรมเนียม 3 pips และต้องจ่ายทุกๆครั้งในการเปิดออเดอร์ครับ นี่คือสิ่งที่ทำให้โบรกเกอร์รวย ดังนั้น การเปิดการซื้อขายแต่ละครั้งต้องคิดเผื่อการจ่ายค่า สเปรด ด้วยยิ่งสเปรดต่ำจะยิ่งดี


ข้อควรระวัง

1. อย่าจำตำแหน่งของการใช้คำสับสน ผมยอมรับว่าคำว่า bid และ ask นั้นอาจทำให้คุณมีความสับสนขึ้นมาได้ว่ามันคืออะไร หรือว่ามันจะต้องดูจากทางช่องทางซ้ายหรือช่องทางขวาอย่างนี้เป็นต้น ให้จำว่า “ bid/ask ” และ “ sell/buy ”

2. จงเรียนรู้ความหมายจากประสบการณ์จริง เพื่อให้คุณสามารถเทรดและเข้าใจความหมายได้ดีขึ้น ผมแนะนำให้คุณนั้นทำการทดลองเทรดจริงและเรียนรู้จากประสบการณ์ของจริงเลยน่าจะดีที่สุด ไม่นานประเดี๋ยวก็ชำนาญเองครับ

     พอทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำศัพท์เหล่านี้ได้เพิ่มขึ้นมากขึ้นแล้วใช่ไหมครับ ผู้เขียนเชื่อว่าถ้าคุณสามารถแปลความหมายของคำเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องมันก็จะสามารถช่วยให้คุณนั้นทำความเข้าใจเรื่องต่างๆ และแนวทางในการเทรด forex ได้เพิ่มขึ้นอย่างมากครับ เป็นการเพิ่มโอกาสในการทำเงินของคุณอย่างง่ายๆเลยครับ

11
ประโยชน์ของการเรียนรู้คำศัพท์เหล่านี้
     ประโยชน์ของการเรียนรู้คำศัพท์เหล่านี้มีดังต่อไปนี้คือ

1.ช่วยให้เราสามารถเข้าใจความหมายของค่าเงิน และคู่เงินต่างๆ เวลาเราเข้าไปอ่านข้อมูลตามบอร์ดของต่างประเทศ ซึ่งถือว่าง่ายมากๆ และคุณสามารถทำได้ทันที

2.คุณอาจได้สูตร หรือได้รู้ราคาที่อาจจะเกิดขึ้นล่วงหน้า จากการประกาศแจ้งข่าวของคนวงในในต่างประเทศ ทำให้คุณสามารถทำเงินและทำกำไรได้เร็วกว่าอย่างมาก

3.ช่วยให้คุณระวังว่าค่าเงินคู่ไหนที่คุณไม่ควรเล่น เช่น คู่เงินที่ไม่มีเงิน USD อยู่อาจเป็นคู่เงินที่อันตรายและคุณอาจได้รับความเสียหายถ้าเทรดไปเป็นต้น

     ตอนนี้เราก็มีความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับคำศัพท์ทั้งสามคำเรียบร้อยแล้วนะครับ โดยการเรียกชื่อคำศัพท์เหล่านี้ถูกก็จะมีประโยชน์ในการเข้าไปอ่านค่าต่างๆแล้ว มีความเข้าใจมากขึ้น และถูกต้องมากขึ้นนั่นเอง ดังนั้นถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆของคุณในการเทรดครับ

Base currency คืออะไร

     อันดับแรกมาดูความหมายของคำว่า Base currency เสียก่อนคำว่า Base currency มีความหมายว่า ค่าเงินพื้นฐาน ซึ่งค่าเงินตัวแรกของแต่ละคู่ เช่น EUR/USD = 1.8324 ซึ่งหากแปลความหมายแล้วจะมีความหมายว่า เงิน 1 ยูโร มีค่าเท่ากับ 1.8324 ดอลล่าร์นั่นเอง

     ดอลล่าร์ส่วนใหญ่จะถูกใช้เป็นค่าเงินพื้นฐาน (base currency) ในการคำนวณ คือเราใช้เงิน 1 USD เทียบกับค่าเงินอื่นในคู่อื่นๆนั้น แต่ยกเว้นค่าเงินเหล่านี้ เงินปอนด์ เงินยูโร เงินดอลล่าร์ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์จะใช้ค่าเงินตัวเองเป็นค่าเงินพื้นฐานในการคำนวณ



Quote currency คืออะไร

     คำศัพท์คำที่สองที่คุณจะเจอคือคำว่า Quote currency หรือค่าเงินอ้างอิง เป็นค่าเงินตัวที่สองของคู่เงินที่มีในตลาด Forex ซึ่งบางครั้งอาจจะเรียกว่า pip currency และกำไรที่เรายังไม่รับรู้ (คือยังไม่ได้ปิด position) เช่น EUR/USD ตัวนี้จึงหมายถึงค่าเงินตัวที่สองคือ USD ซึ่งมันคือราคาเท่าใดเรายังไม่ทราบ แต่วิธีการเช็คคือมันจะมีราคาเท่ากับราคา pip นั่นเอง โดยเมื่อคุณเปิดสัญญาก็จะเห็นค่าของ Quote currency ทันที



Cross Currency คืออะไร

     สำหรับคำศัพท์ตัวที่สามนี้คือ Cross Currency คือ คู่เงินที่ไม่มีคู่เงินหลักอย่าง USD อยู่ภายในคู่เงินนั้นๆ ซึ่งถือว่าเป็นคู่เงินที่ค่อนข้างอันตรายในการเทรดนะครับ เพราะจากประสบการณ์ส่วนตัวแล้ว มันมักจะมีค่าสเปรดที่สูงมากๆ จนทำให้คุณนั้นแค่เปิดสัญญาก็ขาดทุน และอาจถึงขั้นล้างพอร์ตเลยก็มีนะครับ ดังนั้นคิดให้ดีทุกครั้งหากคุณต้องการจะเล่น Cross Currency ครับ

     cross currency จะเอาแน่เอานอนไม่ได้(ผันผวน) เพราะต้องใช้คู่เงินที่มีดอลล่าร์สองคู่มาเทียบข้ามคู่กัน ตัวอย่างเช่น ในการ buy EUR/GBP หมายความว่าเรากำลัง buy คู่ EUR/USD และกำลัง sell คู่ GBP/USD อยู่ การเล่นคู่ที่เป็น Cross currency จะทำให้มีค่า transaction cost สูงขึ้นด้วย



Exotic Currency คืออะไร

     หมายถึงคู่สกุลเงินที่เกี่ยวข้องกับตลาดสกุลเงินเกิดใหม่(สกุลเงินแปลกใหม่) ซึ่งไม่ได้มีสภาพคล่องสูงมากนัก (มีแนวโน้มที่สเปรดของ Bid/Offer มีความกว้างและมักจะมีขนาดเล็กกว่า

     สกุลเงินที่แปลกใหม่นี้เป็นหนึ่งสกุลเงินที่มีการซื้อขายที่บางเบา มีสภาพคล่องน้อยและ spreads กว้างมาก ตัวอย่างเช่น Swedish Krona (SEK), Norwegian Krone (NOK) Turkish Lira. เป็นต้น บนแพลตฟอร์ม forex การจับคู่ของสกุลเงินเหล่านี้มักจะมี spreads ที่กว้างมาก เช่นที่ EURSEK มีส่วนต่างถึง 50 จุดบนบางแพลตฟอร์ม

 
                                                                                                                                                                                               
                         

12
พูดคุยForexทั่วไป / forex Bandwagon effect คืออะไร
« เมื่อ: 11/มิ.ย./2017 11:06:15 »
Bandwagon effect คืออะไร
     ปรากฏการณ์ที่มนุษย์ทำตามกัน , เชื่อตามกัน , ซื้อของตามกัน เพื่อให้อยู่ในกระแสนิยมใน ณ ตอนนั้น โดยไม่ว่าสิ่งที่กำลังตามนั้น ถูก หรือ ผิด แต่เพียงขอแค่ได้ไปตามกระแสนิยม

     ในโลกของวงการเทรดเดอร์ก็เช่นกัน มีเหล่ากูรู กลุ่มต่างๆ หลายคนตั้งตัวเองเป็นอาจารย์ เป็น Freedom trader มีชื่อเสียงมากมายในวงการ บ้างก็มาเปิดคอร์สสอน จนมีหลายคนตามไปเรียน

     ในทุกวงการมีทั้ง ขาว และดำ … บางคนยอมรับว่าดีจริง แต่บางคนก็เกินไปครับ … ผมไม่ได้อคติในการเปิดคอร์สนะครับ แต่การถ่ายทอดความรู้ให้กับคนอื่น ควรจะเป็นความรู้ที่ถูกต้อง สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง ไม่ใช่ขนาดตัวเองยังเจ๊งอยู่เลย แต่เอาความรู้ ไปสอนคนอื่น เนื้อหาหลายๆ คอร์ส ในหนังสือทั่วไปก็มี หรือหาเรียนฟรีๆ ใน Internet ตาม Website ต่างๆ หรือตามพวก Youtube ที่มีการสอนการเทรดดีๆเป็นจำนวนมาก

13
+++ คำใกล้เคียงที่ควรรู้ควบคู่ไปด้วย

- Equity แสดงยอดเงินที่รวมกำไรหรือขาดทุนของออเดอร์ที่กำลังเปิดอยู่ หรืออาจจะเรียกว่า Available Margin ก็ได้ Equity จึงเป็นจำนวนเงินที่เรามีจริงๆ เมื่อเปิดออเดอร์ ยกตัวอย่างเช่น หากเรามียอดเงิน Balance = 200 $ แต่ Equity = 210 $ นั่นแสดงว่าเงินจริงๆ ของเราคือ 210 $ คือเมื่อเราปิดสถานะตอนนั้นทันที Balance ของเราก็จะมีค่าเท่ากับ 210 ทันทีเช่นกันครับ(ได้กำไรมา 10 $) มีสูตรคือ
Equity = Balance + จำนวนเงินของพอร์ตที่เป็นบวก – จำนวนเงินของพอร์ตที่ติดลบ

- Margin คือจำนวนเงินที่เราใช้ลงทุนทั้งหมด(ทางคำศัพท์เรียกว่า “เงินประกัน”) ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับ Leverage ด้วย มีสูตรคือ
Margin = ราคา ณ เวลาที่เปิด x Lot x Contract size / Leverage
     เช่น เมื่อเปิด EURUSD ที่ 1 lot ตอนราคาอยู่ที่ 1.3413 Leverage 1:500 จะต้องใช้ Margin = 1.3413 x 1 x 100,000 / 500 = 268.26

- Free Margin คือ จำนวน Margin ที่เหลือเปิดออเดอร์ได้ มีสูตรคือ
Free Margin คือ จำนวน Margin ที่เหลือเปิดออเดอร์ได้ มีสูตรคือ

- Margin Level คือ เปอร์เซ็นต์ที่บอกระดับ Margin ของเราว่าเราเหลือกี่เปอร์เซ็นต์ มีสูตรว่า
Margin Level = Equity / Margin x 100 %
     ซึ่งแต่ละโบรกเกอร์ก็จะมีเงื่อนไขไว้อยู่ว่า ถ้า Margin Level เหลือน้อยกว่าค่าใด ออเดอร์จะถูกปิดอัตโนมัติ(Stop Out) ค่านี้เรียกว่า Stop Out Level นั่นหมายความว่าออเดอร์จะมีโอกาสถูกปิดอัตโนมัติเมื่อ

1. เปิดออเดอร์โดยใส่ lot มากเกินไป ทำให้ Margin Level เหลือน้อย จากสูตร Margin Level = Equity / Margin * 100 ยิ่ง Margin มาก Margin Level ยิ่งน้อย
2. ขาดทุนมากเกินไปทำให้ Equity เหลือน้อย (ยิ่ง Equity น้อย Margin level ยิ่งน้อย)

- Laverage คือจำนวนเปอร์เซ็นต์ที่ได้ยืมเงินมาจากโบคเกอร์ เพื่อให้สามารถเปิด Order ได้มากขึ้น จุดประสงค์ของ Laverage คือต้องการให้นักเทรด หรือ Scalper ได้สนุกในการเทรดแบบสั้นๆ สามารถเปิด order ได้จำนวนมากขึ้นถึงแม้จะมีเงินทุนน้อย
ข้อดีของ Laverage  สูง เช่น 1:1000,  1:2000 คือคุณมีเงินน้อยก็สามารถเปิด Order Lot ใหญ่ๆ ได้ และเป็นผลดีกับการเทรดแบบสั้นๆ

ขอเสียของ Laverage สูง  คือ เงินทุนน้อยแล้วเปิด Lot ใหญ่ๆ ถือว่าอันตรายเป็นอย่างมากสำหรับนักเทรดที่วางแผนเรื่องเงินทุนในพอร์ทลงทุนไม่เก่ง   เนื่องจากอาจล้างพอร์ทได้ในพริบตา

Balance คืออะไร

     คำว่า Balance สำหรับการเทรด forex หมายถึงยอดเงินที่เราฝากเข้าไปในบัญชีรวมกัน Bonus ที่เรามี หรือหากเราไม่มีโบนัส ก็จะกลายเป็นยอดเงินกลางที่เรามีอยู่ในบัญชีนั่นเอง(ไม่รวมกำไรหรือขาดทุน) โดยปกติค่า Balance มักนิยมออกมาเป็นค่า เงินบาท หรือว่าเป็นค่า US ดอลล่าร์ เช่น ฝากเงินไป 200 $ Balance จะ = 200 $



ประโยชน์จากการอ่านค่า Balance

     จริงๆแล้วค่านี้ถ้าให้อธิบายความหมาย อาจดูไม่ค่อนยืดยาวเสียเท่าไหร่ ดังนั้นประโยชน์ของการอ่านค่า Balance เป็นก็ไม่มีอะไรที่น่ากังวลหรือว่ายุ่งยากแต่ประการใด ลองมาดูว่าค่า Balance นั้นให้ประโยชน์กับเราในเรื่องใดๆบ้าง

     1.ช่วยให้เรารู้ยอดเงิน
     ข้อแรกสุดคือค่า Balance ช่วยให้เรารู้ว่ายอดเงินที่เรามีของ forex นั้นมีอยู่เท่าไหร่ เพื่อที่ว่าเราจะได้สามารถวางแผนการเทรดได้ง่ายขึ้นนั่นเอง สำหรับยอด Balance นั้นโดยปกติแล้วหากมีค่าโบนัสก็มักจะมีการรวมค่าโบนัสเข้าไปด้วยเสมอๆ

     2.ช่วยให้เรารู้เมื่อมีการถอนเงินออก
     เมื่อเราถอนเงินออกจากระบบการเทรด หากค่า Balance ยังไม่หายไปแปลว่าเรานั้นยังสามารถเทรดได้อยู่ แต่ถ้าค่า Balance นั้นหายไปแล้ว อย่างนี้เราก็ไม่สามารถเทรดได้แล้วนั่นเอง และต้องระวังว่าเมื่อเราถอนเงินออก จะส่งผลให้ค่า Balance นั้นมีค่าที่ลดลงด้วยเพราะอาจจะมีการหักโบนัสทั้งหมดที่เราได้ออกไปด้วยนั่นเอง



Balance กับเงินทุนที่อยู่ภายในกระเป๋าของเรา
     ท้ายที่สุดแล้วต้องไม่ลืมที่จะรักษาเงินในกระเป๋าของเราให้มีค่า Balance ไม่น้อยกว่า 3,000 บาท เพื่อให้คุณนั้นสามารถเทรด forex ได้อย่างปลอดภัย และต่อเนื่องยาวนานนั่นเองครับ

Balance กับการเทรด forex
     สำหรับการเทรด forex ผมคิดว่าเราควรมีค่า Balance ที่เหมาะสมขั้นต่ำเริ่มต้นที่ 3,000 บาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่เราสามารถเทรดและทำกำไรจากตลาดได้อย่างไม่ยากนัก เป็นตัวเลขเริ่มต้นสำหรับผู้มีทุนน้อย หรือผู้เริ่มต้นเทรด แต่สำหรับตัวเลขที่เหมาะสมที่สุดในค่า Balance เพื่อการทำเงินในระดับหลักแสนต่อเดือนคือต้องมีเงินในบัญชีอย่างน้อย 20,000 บาทขึ้นไปครับ


14
ATR คืออะไร

     ATR Indicator เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดความผันผวนของราคา … เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับความผันผวนกันก่อนดีกว่า เนื่องจากหลายคนยังสับสนเกี่ยวกับความผันผวน โดยความผันผวนไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของแนวโน้ม และไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ถึงทิศทางราคา แต่เป็นการวัดว่าราคาแกว่งตัวไปมามากน้อยเพียงใด


ความแตกต่างของความผันผวน กับ โมเมนตัม

     ความผันผวน : วัดการแกว่งตัวของราคาว่ามีขนาดเท่าไร่เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย โดยในช่วงที่ความผันผวนมาก แท่งเทียนจะมีลักษณะไส้เทียนยาวๆ และตัวเทียนจะมีสัดส่วนที่เล็กเมื่อเทียบกับไส้เทียน
โมเมนตัม : บ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของแนวโน้ม โดยในช่วงที่โมเมนตัมของราคามีมาก แท่งเทียนมักจะมีตัวเทียนขนาดใหญ่ และไส้เทียนสั้นๆ
 
“ซึ่งในช่วงที่เป็นแนวโน้มอย่างชัดเจนนั้น จะพบว่าราคามีความผันผวนน้อย แต่มีโมเมนตัมสูง”

Calculation

Current ATR = [(Prior ATR x 13) + Current TR] / 14

 – Multiply the previous 14-day ATR by 13.
 – Add the most recent day’s TR value.
 – Divide the total by 14

     จุดที่น่าสังเกตของเครื่องมือ ATR คือ ในช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้น จะให้ค่าความผันผวนน้อยกว่า ในช่วงที่ตลาดเป็นขาลง (ขาลง ATR สูง , ส่วน ขาขึ้น ATR ต่ำ) เนื่องจากทางทฤษฎีได้อ้างอิงว่า อารมณ์กลัว (ลบ) นั้นความมีรุนแรงความ อารมณ์โลภ (บวก) จึงทำให้เวลาตลาดขาลง ความผันผวนจึงมีมากกว่า 


     หลังจากที่ได้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ ATR กันไปแล้ว เรามีดูวิธีใช้ประโยชน์จากมันกันดีกว่า โดยหลักๆ ATR จะไม่ได้เป็นตัวให้สัญญาณการ ซื้อ/ขาย แต่ส่วนมากจะนำมาใช้เป็น จุดขายทำกำไร หรือ จุดตัดขาดทุน เนื่องจากสามารถปรับ จุดขายทำกำไร หรือ จุดตัดขาดทุน ให้ยืดหยุ่นตามสภาพตลาด ณ ตอนนั้น เช่น ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนมาก การแกว่งตัวของราคาจะค่อนข้างกว้างกว่าปกติ จึงต้องปรับจุดตัดขาดทุนให้เหมาะสมกับตลาดในช่วงนั้น เป็นต้น


(ในกราฟใช้ Volatility stop indicator ซึ่งมีค่าเหมือนกับ ATR เพียงแต่นำมา Plot บนกราฟ)

     การใช้งาน ATR ยังมีอีกหลากหลาย ซึ่งเทรดเดอร์สามารถลองนำไปปรับการใช้งานกันดู สามารถมีมิติที่หลากหลายในการเทรด อีกทั้งยังสามารถเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดให้ดียิ่งขึ้น

15


     ปกติแล้วหากเราเล่นเทรด Forex ก็กำไรเยอะอยู่แล้ว โดยเฉพาะคนที่เทรดเก่ง ๆ จะได้เยอะมาก แต่ว่ามันยังมีอีกช่องทางที่จะทำให้นักเทรดเดอร์ได้เงินเพิ่มก็คือ การหาคนมาสมัครเพิ่มทาง Forex จะจ่ายค่าคอมมิชชั่นต่อหัวให้นั่นเอง โดยคนเหล่านั้นจะต้องเข้ามาร่วมเทรดด้วย โดยจะต้องเทรดผ่านลิ้งหรือรหัสของผู้ที่แนะนำนั่นเอง มองดี ๆ มันก็เหมือนกับการทำขายตรง แต่มันไม่ใช่นะเพราะว่าการเทรด Forex จริงจังและได้เงินจริงกว่าการขายตรงหลายเท่าเลย ใช้ความสามารถและเงินในการลงทุนล้วน ๆ รวมไปถึงทักษะในการวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองอีกด้วย



FOREX AFFILIATE

     Affiliate คือ การกระจายสินค้าและบริการโดยเจ้าของกิจการเอง จะใช้คนกลางหรือนักการตลาดเพื่อนเป็นสื่อกลางในการขายออนไลน์ โดยจะแบ่งผลตอบแทนให้กับนักขายเป็นเปอร์เซ็น (%) ซึ่งในแต่ละธุรกิจก็จะแบ่งส่วนราบได้ให้นักขายที่แตกต่างกันออกไป สำหรับ Affiliate นั้นก็มีอยู่ 2 แบบหลัก ๆ ด้วยกัน แน่นอนว่า Forex เองก็ทำ Affiliate ด้วยเพราะต้องการให้คนเข้ามาทำการซื้อ – ขาย ค่าเงินกันเยอะ ๆ ตลาดการค้าเงินโลกนจะได้คึกคักหน่อย เอาล่ะเรามาดูกันว่า ประเภท Affiliate 2 อย่างมีอะไรบ้างดังนี้

- CPA (Cost per action) ลักษณะ คือ เมื่อนักการตลาด ได้ทำการตลาด จนได้รายชื่อและที่อยู่ติดต่อของลูกค้าผู้สนใจมา นักการตลาดก็จะได้ส่วนแบ่งตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน
- PPC (Pay per click) ลักษณะ คือ เป็นการติดโฆษณาไว้ในเว็บไซต์โดยส่วนใหญ่ เมื่อคนมาคลิกโฆษณา เว็บมาสเตอร์ก็จะมีรายได้

     FOREX AFFILIATE คือ
     ก็ตามที่บอกตอนแรกเลยว่าเป็นการหาคนมาสมัครสมาชิกเพื่อน อาจจะเรียกว่าเป็นพันธมิตรทางการตลาดกับ Forex ก็ได้ คือ สมาชิก Forex ทุกคนนอกจากจะเป็นเทรดเดอร์ทำกำไรจากการเทรดค่าเงินในตลาดฟอเรกซ์แล้วยังเป็นตัวแทนและนายหน้าในการหาคนเข้ามาเป็นสมาชิก Forex ต่อได้อีกด้วย จากนั้นหากมีคนสมัครผ่านทางลิ้งของเรา ทางเว็บไซต์ก็จะจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้เป็น % ตามเงื่อนไขของทางเว็บนั้น ๆ กำหนดไว้นั่นเอง ในการทำ Affiliate ของแต่ละที่ก็ลองอ่านรายละเอียดให้ดีว่าการจ่ายผลตอบแทนเป็นแบบไหน



IB

     ก็คงจะเคยได้ยินกันสำหรับคำว่า IB สำหรับวงการเทรด Forex แต่ความหมายของ IB คือ Introducing Broker แปลเป็นไทยว่า ผู้แนะนำโบรกเกอร์ นั่นเอง IB ไม่ใช่คน ไม่ใช่อินดี้แต่ว่าก็เป็นโปรแกรม ใช้ในการแนะนำสมาชิกในรูปแบบหนึ่ง โดยทาง Forex จะมี eferral link ให้สมาชิกเอาไปให้คนที่สมัครต่อนั้นคลิกเข้ามา ในกรณีนี้หากมีคนสมัครผ่านลิ้งของเราและทำการเทรดแล้ว เราก็จะได้ค่าคอมมิชชั่น 1 pip/order โดยค่อนข้างจะได้อย่างต่อเนื่องเพราะทุกครั้งที่ คนที่สมัครต่อเรานั้นทำการ ซื้อ – ขาย ในแต่ละออเดอร์ เปิด – ปิด +/- ไม่ต่ำกว่า 4 จุดนั้นเอง แต่บางทีบางโบรกก็ไม่ได้กำหนด ระบบนี้ก็เหมือนกับ affiliate แต่ว่ากินคอมมิชชั่นในระยะยาวกว่า



FOREX PARTNER

     Partner คือ หุ้นส่วน แต่ว่าในความหมายของ Forex Partner นั้นเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจมันก็ไม่ต่างอะไรกับ IB และ affiliate นั่นเอง เป็นตัวแทนในการหาคนมาสมัครสมาชิกต่อตัวเอง ยิ่งหามาได้เยอะก็จะได้ค่าคอมมิชชั่นจำนวนมาก ในส่วนของการแบ่งผลกำไรเปอร์เซ็นต่าง ๆ นั้นตัวแทนจะต้องลองศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมกันเอง คำว่า Partner ดูดีมากเพราะมันเหมือนกับเราได้เป็นส่วนหนึ่งของโบรกนั้น ๆ เลย แต่จะเรียกอะไรก็ได้มันทำหน้าที่คล้ายกันเลย



FORE เบต (REBATE)

     เบต (rebate) หมายถึง การคืนส่วนลด Lot การเทรด Forex แต่ว่าก่อนจะได้ก็จะต้องเป็นสมาชิกของ Forex โบรกใดโบรกหนึ่งและอย่าลืมศึกษารายละเอียดของโบรกนั้น ๆ ด้วย แน่นอนว่าที่ทำ affiliate, เป็น IB, เป็น Partner หรือ Trader มีสิทธิ์ที่จะ rebate  กันทั้งนั้น โดยจะได้มาเป็นคอมมิชนั่น เงินส่วนนี้ที่จะได้มานั้นจะเป็นเงินที่เก็บมาจากนักลงทุนต่าง ๆ จากค่าสเปรตและคอมมิชชั่นนั่นเอง จะได้มามากน้อยแค่ไหนมันก็ได้่างกันไปตามการแปรผันของค่าสเปรตนั้น ๆ ด้วย โบรกเกอร์จะไม่คืนเงินเหล่านั้นให้ Trader เอง ต้องทำผ่าน IB (Introducing broker) หรืออื่นๆ



     ประมาณนี้สำหรับความหมายของ Forex affiliate, IB, partners, รีเบต  ที่เหลือคุณก็จะต้องเข้าไปศึกษารายละเอียดการทำงานประเภทนี้เอาเอง เพราะว่าทางเราจะมานั่งอธิบายไปทีโบรกก็คงจะไม่ไหวอย่างแน่นอน ฉะนั้นแล้วให้เข้าใจหลักเบื้องต้นว่าเป็นการหาคนมาสมัครสมาชิกแล้วเราก็ได้ค่าคอมมิชชั่นนั่นเอง เป็นตัวแทนของโบรกไหนก็เลือกกันเองได้ตามใจชอบเลย


ประโยชน์ที่เราจะได้รับในฐานะ affiliate, IB หรือ partners

1. สามารถได้รับ Commissions เป็นผลตอบแทนในรูปของ % จากการเทรดของคนที่เราชักชวนให้สมัครเทรดกับโบรกเกอร์ forex ผ่านเรา โดยผู้ชักชวนจะได้รับทั้ง % จากการสมัคร และ % จากทุกๆยอดเทรดอีกด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการได้เงินเพิ่มจากการเทรด forex ที่คุณควรทราบครับ

2. ได้รับส่วนลดด้านค่าธรรมเนียมต่างๆ เช่น ค่าฝากถอน หรืออาจเป็นการลดค่าสเปรดในการเทรดก็ได้ หรืออื่นๆตามแต่เงื่อนไขแต่ละโบรกเกอร์ครับ



การได้มาซึ่ง Commissions นี้
1. ได้มาจากการชักชวน
     วิธีการได้มาซึ่งค่า Commissions แบบแรกจะได้มาจากการชักชวนคนให้มาสมัครเป็นสมาชิกกับทางโบรกเกอร์ต่างๆ ผ่านลิงค์ของเรา ซึ่งจำนวน % หรือว่าผลตอบแทนที่เราจะได้รับนั้นก็มีความแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละโบรกเกอร์ โดยปกติหากเป็นโบรกเกอร์ชั้นนำ มักมีการจ่าย Commissions ค่อนข้างสูงซึ่งจะจูงใจ IB ได้มากทีเดียว

2. ได้มาจากการเทรด forex ในแต่ละครั้งของสมาชิก
     อีกแบบหนึ่งที่เราจะได้ค่า Commissions เป็นจำนวนมาก คือการเทรดของเพื่อนสมาชิกที่สมัครโบรกเกอร์นั้นต่อจากเรา ยิ่งมีจำนวนตาที่เทรดมากเท่าไหร่ เราก็จะได้ค่า Commissions ในส่วนนี้เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น นั่นหมายความว่าหาก IB สร้างให้ลูกทีมเก่งได้มากขนาดไหน ก็จะทำให้ IB มีส่วนในค่าตอบแทนที่สูงขึ้นด้วย



วิธีการหา Commissions
1. ทำคลิปการสอน
     แบบแรกที่ผมอยากจะแนะนำคุณคือ ให้ทำคลิปการสอนออกมาเลยครับ คลิปการสอนที่ดีจะสามารถช่วยให้คุณนั้นทำเงินได้อย่างไม่ยากนัก เพราะว่าเมื่อผู้ชมนั้นเข้าชมคลิปของคุณ เขาก็อยากจะทำกิจกรรมต่างๆผ่านทางเว็บไซต์หรือทางลิ้งค์สมัครสมาชิกของคุณเป็นการตอบแทนนั่นเอ

2. ทำเว็บ หนังสือ E-Book สอนการเทรด
     ผมว่าอีกแนวทางหนึ่งที่สามารถช่วยให้เราหาค่า Commissions  ได้คือ การทำเว็บไซต์, E-book หรือสื่อการสอน Forex เพื่อดึงดูดให้มีคนมาสมัครผ่านลิงค์ของเราการทำแบบนี้ถือเป็นแนวทางประการสำคัญประการหนึ่งที่ช่วยให้คุณสามารถหาค่า Commissions ได้อย่างง่ายๆเลยครับ

3. จัดอบรมสัมมนา Forex
     พบว่าจำนวนไม่น้อยทีเดียวที่บรรดาเซียน Forex ใช้วิธีนี้ เหมือนน้ำพึงเรือเสือพึ่งป่า คุณสอนให้เขาเทรดเป็น เขาก็ตอบแทนคุณโดยการสมัครผ่านลิ้ง IB ของคุณครับ


บทสรุป
     สรุปแล้ว คำศัพท์ทั้งหมดที่นำมาเสนอในบทความนี้นั้นจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของการเป็นตัวแทน นายหน้า ชักชวนคนอื่นๆเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกกับทางโบรกเกอร์ ซึ่งสามารถช่วยให้คุณมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการเทรด forex โดยทุกครั้งที่มีการสมัครสมาชิก และทุกๆยอดเทรดของสมาชิก คุณก็จะได้รับส่วนแบ่งจากการเทรดนั้นด้วย นั่นหมายความว่า แม้คุณอาจจะไม่เทรด forex เองแต่อย่างใด คุณก็สามารถทำเงินได้ด้วยโปรแกรมนายหน้า ตามชื่อเรียกที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นนี้ครับ

หน้า: [1] 2
SMF 2.0.15 | SMF © 2011, Simple Machines
SMFAds for Free Forums