แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - นักศึกษา22

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 14
46
บทต่อมาเรามาลองดูเรื่อง การลงทุนในตลาด Forex ดียังไง   

นอกจากนี้การเทรดในตลาด Forex ยังมีข้อดีตรงที่มีบริการฟรีพอร์ทจำลองเสมือนจริง (DEMO) จากบริษัทโบรกเกอร์ให้นักลงทุนได้ทดลองเทรดก่อนการเทรดในตลาดจริง เพียงแค่คุณกรอกข้อมูลและรายละเอียดส่วนตัวในเว็บไซต์ของบริษัทโบรกเกอร์ Forex คุณก็สามารถดาวน์โหลดพอร์ท Demo มาทดลองฝึกเทรดได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ซึ่งการเปิดพอร์ท Demo จะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจระบบการเทรดในตลาด Forex มากขึ้น เมื่อฝึกฝนจนชำนาญและมีความมั่นใจแล้วจึงค่อยเปิดบัญชีเทรดจริง ซึ่งการเทรดในตลาด Forex สามารถเริ่มต้นด้วยเงินทุนเพียง 1 - 10$ เท่านั้น ตลาด Forex จึงกลายเป็นตลาดที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนที่แม้จะมีเงินทุนเพียงน้อยนิดก็สามารถเข้าเทรดเพื่อทำกำไรได้

                        ด้วยคุณลักษณะเด่นและข้อดีของตลาด Forex ที่กล่าวมาข้างต้นจึงทำให้ตลาด Forex กลายเป็นแหล่งลงทุนยอดนิยมของนักลงทุนในปัจจุบัน หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังมองหาแหล่งลงทุนแห่งใหม่ ตลาด Forex ก็เป็นอีกหนึ่งแหล่งลงทุนที่คุณไม่ควรพลาด หากคุณยังไม่มั่นใจและอยากศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ Forex เพิ่มเติมมากขึ้นเรายินดีให้คำปรึกษาและช่วยเหลือด้านข้อมูลอย่างเต็มที่ เพราะเราเป็นมืออาชีพด้าน Forex อยู่แล้วครับ

ปัจจุบันมีนักลงทุนรายย่อยทั่วโลกจำนวนมากที่ต้องการแสวงหาความมั่งคั่งจากตลาด Forex ในบ้านเราก็เช่นกันที่พบว่ามีนักลงทุนสนใจเทรดในตลาด Forex มากขึ้นเรื่อยๆ ตลาด Forex (Foreign exchange market) เป็นตลาดกลางสำหรับการซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งตลาด Forex มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีมูลค่าการซื้อขายต่อวันสูงถึงประมาณ 7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐซึ่งมากกว่าทุกตลาดทางการเงินในโลกนี้รวมกัน โดยมีตลาดใหญ่อยู่ที่ นิวยอร์ค ญี่ปุ่น ยุโรป และ ออสเตรเลีย เป็นต้น

                        สาเหตุที่ทำให้ตลาด Forex กลายเป็นแหล่งทำเงินแห่งใหม่ให้กับนักลงทุนทั่วโลกก็เพราะว่าเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ตลาด Forex ได้เปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยสามารถทำการเทรดในตลาดได้ เนื่องจากในอดีตตลาด Forex จะให้สิทธิจำกัดเฉพาะสำหรับการซื้อขายในกลุ่ม ธนาคาร สถาบันทางการเงินขนาดใหญ่ หรือหน่วยงานของรัฐเท่านั้น เมื่อตลาดเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยสามารถเข้ามาเทรดในตลาด Forex ได้ เอกลักษณ์ของตลาด Forex จึงกลายเป็นข้อดีที่ทำให้นักลงทุนทั้งรายใหม่และรายเก่าหลั่งไหลเข้ามาเก็งกำไรในตลาดเงินตราแห่งนี้มากขึ้น

                        หากพูดถึงข้อดีของการลงทุนในตลาด Forex ประการแรกที่เห็นได้ชัดเลย คือ ตลาด Forex เปิดทำการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมงยกเว้นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ นักลงทุนจึงสามารถเทรดได้ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน และสามารถทำเป็นอาชีพหลักหรืออาชีพเสริมได้ อีกทั้งปริมาณการซื้อขายที่มีจำนวนมากส่งผลให้ตลาด Forex เป็นประเภทสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีสภาพคล่องในระดับสูง

                         ประการถัดมาการลงทุนในตลาด Forex เป็นการเก็งกำไรคล้ายกับการลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ในบ้านเรากล่าวคือ เป็นการซื้อมาขายไปแต่เปลี่ยนจากการซื้อหุ้นเป็นการซื้อเงินตราสกุลต่าง ๆ ผลต่างของราคาซื้อและราคาขายจึงเป็นที่มาของกำไร แต่ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาด Forex นั้นสูงกว่ามากเมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาดหุ้น หรือการลงทุนในกองทุน เพราะการเทรด Forex มีระบบ Leverage ซึ่งเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถลงทุนเพื่อทำกำไรได้มากกว่าเงินลงทุนที่มีอยู่จริง ซึ่งระบบ Leverage ของการเทรดในตลาด Forex จะมากกว่า Leverage ของการลงทุนในรูปแบบอื่น เช่น Gold Future, SET50 Future เป็นต้น แต่ประเด็นนี้การลงทุนมีความเสี่ยงนักลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนการตัดสินใจใช้ Leverage

47
วันนี้ admin จะมาแนะนำเรื่อง วิเคราะห์หลักการการทำกำไรในตลาด Forex

ในตลาด Forex เราสามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง





Buy หรือ Long คือการทำกำไรขาขึ้น



ตัวอย่าง USD/THB = 30.0000

USD คือสกุลเงินดอลลาร์, THB คือสกุลเงินบาทไทย

สมมุติว่าผมมีเงิน 30 บาท ผมนำเป็นไปแลกเป็นเงินดอลลาร์ ผมได้มา 1 ดอลลาร์ เวลาผ่านไปผมอยากได้เงิน 30 บาทคืนผมจึงนำเงิน 1 ดอลลาร์ไปแลกและตอนนั้นอัตราการแลกเปลี่ยนอยู่ที่ USD/THB = 60.0000

เมื่อผมนำเงินจำนวน 1 ดอลลาร์ไปแลก ปรากฎว่าผมได้กลับมา 60 บาท

แสดงว่าผมได้กำไร 30 บาท นี่คือการทำกำไรขาขึ้น





Sell หรือ Short คือการทำกำไรขาลง



ตัวอย่าง USD/THB = 30.0000

USD คือสกุลเงินดอลลาร์, THB คือสกุลเงินบาทไทย

สมมุติว่าผมมีเงิน 1 ดอลลาร์ ผมนำเป็นไปแลกเป็นเงินบาท ผมได้มา 30 บาท เวลาผ่านไปผมอยากได้เงิน 1 ดอลลาร์คืน ผมจึงนำเงิน 30 บาทไปแลกและตอนนั้นอัตราการแลกเปลี่ยนอยู่ที่ USD/THB = 15.0000

เมื่อผมนำเงินจำนวน 1 ดอลลาร์ไปแลก ปรากฎว่าผมได้กลับมา 2 ดอลลาร์

แสดงว่าผมได้กำไร 1 ดอลลาร์ นี่คือการทำกำไรขาขึ้น

หลักการทำกำไรในตลาด Forex



ในบทความนี้มาพูดถึงเรื่องหลักการทำกำไรในตลาด Forex พูดถึงหลักการทำกำไรในตลาด Forex นะครับ ไม่ใช่ กลยุทธ์การทำกำไรหรือวิธีการทำกำไรในตลาด Forex

ในตลาด Forex นั้นมีค่าค่าเงินเป็นคู่ให้เทรด เช่น EUR/USD, USD/JPY, AUD/USD เป็นต้น

ตลาด Forex เป็นตลาดการซื้อขายสกุลเงินระหว่างประเทศจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเป็นคู่เงิน จะเป็นสกุลเงินตัวเดียวไม่ได้ เพราะจะต้องเกิดการจับคู่ เพื่อให้เกิดการเปรียบเทียบ



ตัวอย่างเช่น USD/THB = 30.0000

หมายความว่า เงิน 1 USD เปลี่ยนเงินบาทไทยได้ 30.0000 THB



THB คือสกุลเงินบาทไทย แต่ไม่สามารถซื้อขายในตลาด Forex ผ่านโบรกเกอร์หรือโปรแกรม MT4 ได้เนื่องจากหลายๆปัจจัย

48
อารมณ์กับความรู้สึกมีผลต่อการเทรด Forex จริงหรือไม่

อารมณ์มีผลต่อการตัดสินใจ

คุณ อาจคิดว่าอารมณ์ดีหรืออารมณ์เสีย ไม่มีผลต่อการตัดสินใจ แต่จริงๆไม่ใช่แม้คนที่มีเหตผลที่สุดหากขาดซึ่งอารมณ์ ก็จะไม่สามารถตัดสินใจใดๆได้ โดยเคยมีการศึกษาเรื่องนี้โดยนักประสาทวิทยา ชื่อ แอนโทนิโอ ดามาชิโอ ได้รายงานว่ามีคนไข้ที่สมองส่วน Ventromedical Frontal Crotices ถูกทำลายซึ่งเป็นสมองส่วนที่ทำให้เกิดอารมณ์ แต่สมองส่วนความจำความฉลาดและความสามารถในการใช้เหตผลยังเป็นปกติอยู่ แต่จากการทดลองหลายครั้งพบว่า การปราศจากอารมณ์ในกระบวนการตัดสินใจได้ทำลายความสามารถในการตัดสินใจอย่าง สมเหตสมผล หมดไปด้วย
ดังนั้นหากสถานการณ์ไม่ดี ทิศทางที่สมองที่คิดได้ จากข่าวสารและความรู้สึกคือ สิ่งที่ดำเนินต่อไป ของความไม่ดี จะให้สมองสั่งการว่า "ดี" จะเป็นการยากสมองจะสั่งการขัดแย้งออกมาทันทีว่า "ดีจริงหรือ" ใช้เหตผลอะไรที่คิดว่ามันจะดี ? ดังนั้นการซื้อหุ้นตอนที่บรรยากาศร้ายสุด แม้แต่คุณเองยังกลัว คงทำได้ยาก เพราะสมองจะคิดขัดแย้งออกมาว่า "จริงหรือ คราวนี้อาจลงยาวนะ"

เครื่องมือเทคนิคกับอารมณ์

บางคนบอกว่าหากเราไม่ใช้อารมณ์เข้ามาในการลงทุนหุ้นแต่เชื่อเฉพาะเครื่องมือ ทางเทคนิคซึ่งเป็นเครื่องมือที่ไม่ได้อ้างอิงใดๆเกี่ยวกับอารมณ์ของตลาดล่ะ จะได้ผลหรือไม่?

คำตอบแรก็ต้องบอกว่าท่านที่คิดแบบนี้ไงไม่เข้าใจเครื่องเทคนิคที่ดีพอเพราะจริงๆแล้วเครื่องมือทางเทคนิคคือการใช้หลักสถิติศาสตร์ถอดแบบสภาพความ เป็นจริงในตลาดหุ้นแล้วนำมาพยากรณ์ความเป็นไปได้ต่อไป ซึ่งความเป็นจริงในตลาดหุ้นที่ถูกนำมาถอดแบบนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ "ความกลัว" และ "ความโลภ" ดังนั้นการใช้เครื่องมือก็ยังอิงกับอารมณ์ของตลาดอยู่ดี

คำตอบที่สอง ขออ้างถึงคุณ J. Wells wilder เจ้าของเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคยอดนิยม เช่น RSI (Relative Strength Index) PAR(Parabolic Sar) MOM ( Momentum) Volatility( แรงกระเพื่อมของระดับราคา) ซึ่งเครื่องมือทางเทคนิคเหล่านี้ สร้างชื่อเสียงให้กับ Wilder เป็นอย่างมาก แต่ในภายหลัง เขาได้ออกบทความใหม่ ที่ชื่อว่า Adam's Theory เป็นการปฏิเสธเครื่องมือทางเทคนิคของเขาที่คิดค้นมาก่อนหน้า โดยเขาบอกว่า ทฤษฎีใหม่นี้เป็นการตกผลึกในความคิด ความเข้าใจ ในเรื่องการลงทุน หลายสิบปีที่เขามีทฤษฎี Adam ตั้งอยู่บนข้อสรุปที่ว่า "ไม่มีเครื่องมือวิเคราะห์อันไหนที่สมบูรณ์ในตัว ที่สามารถชี้นำการตัดสินใจ ลงทุนได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง 100% แต่เครื่องมือแต่ละชิ้นที่มีอยู่ในวงการ ต่างมีข้อบกพร่องในตัวเองไม่อาจ"จับตลาด"จนอยู่หมัดได้ ด้วยเหตุว่าตลาดว่า ตลาดนั้นไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่มีลักษณะตายตัว แต่เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่นได้ตลอดเวลา เขาตั้งคำถามว่า "หากเครื่องมือเหล่านั้นแม่นยำจริง ทำไมนักลงทุน ที่ใช้เครื่องมือเหล่านั้น จึงยังประสบความขาดทุนอยู่ เครื่องมือเหล่านั้นจะวิเคราะห์เฉพาะจุด ไม่ผิดกับตาดบอด คลำช้าง ไม่เห็นภาพรวมของตลาดหรือของตัวหุ้นนั้นๆ มันไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ผันแปรอยู่เสมอของตลาดหุ้นได้ " ดังนั้นแม้เครื่องมือต่างอาจจะไม่มีความสมบูรณ์ในตัวมัน แต่หากเราเข้าใช้อารมณ์ตลาด มาผสมผสานการ การวางแผน การลงทุนที่เข้าใจหลักจิตวิทยามวลชน การเล่นหุ้นจะทำได้ดียิ่งขึ้น โดยวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องอารมณ์นั้น จากหนังสือหลายๆเล่ม พอสรุปเหมือนกันได้ดังนี้

อารมณ์และความรู้สึกเป็นปัจจัยในการเทรดจริงหรือ ?

นักลงทุนหลายคนซื้อหุ้นขาขึ้นอยู่แล้วรอนานจึงตัดสินใจขายทิ้ง แต่พอขายแล้วหุ้นกลับขึ้นจึงรู้สึกเสียดายผมเองก็เป็นหลายครั้งเกิดจากความเครียดที่เรานั่งรอนานรู้สึกสับสนหลายคนที่เล่นหุ้นในปัจจุบันจะรู้สึกเหมือนโชคไม่เข้าข้าง จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องของดวงหรืออะไรกันแน่ ทฤษฎีการลงทุนต่างๆ ควรจะใช้ได้ดี เพราะหลักการลงทุนผู้ลงทุนควรจะเลือกลงทุนสิ่่งที่ดีและอยากได้กำไรไม่อยาก ขาดทุน แต่จริงๆกลยุทธิ์ต่างๆกลับใช้ไม่ได้ผลเพราะนักลงทุนแต่ละคนเองมี"อคติ"ยอม ขาดทุน หากคิดว่าหุ้นจะลงต่อ หรือยอมซื้อของที่แพงมากหากคิดว่ามันจะขึ้นไปต่อ สิ่งที่นักลงทุนทุกคนใช้ จริงๆจึงเป็นการ"คาดคะเน" ใช้ "สมอง"ประมวลสิ่งต่างๆจากข่าวสารและปัจจัยโดยรอบแต่หารู้ไม่ว่า สมองมีกระบวนการตัดสินใจลึกๆภายในที่ขึ้นอยู่กับ"อารมณ์"มากกว่า "เหตผล"ยกตัวอย่างการเลือกคู่ครอง ที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตผลแม้คนที่เรียน เก่ง มีสมองดีที่สุดก็มักใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิต มากกว่าเหตผล นาย เวอร์นอน สมิธ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี 2002 ผู้ที่ศึกษาการเงินเชิงพฤติกรรมเคยกล่าวไว้ว่า "นักลงทุนทุกคนมีกล่องดำที่เป็นส่วนประมวลผลการตัดสินใจอยู่ในสมองโดยไม่มี ใครรู้ว่ากล่องดำอันนี้มีวิธีในการตัดสินใจอย่างไร แต่กระบวนการตัดสินใจนี้ไม่มีเหตผล เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะของจิตใจเป็นหลัก" เมื่อคนแต่ละคนไม่ได้ใช้ความมีเหตุ มีผลในการคิดแล้วการลงทุนที่เป็นสิ่งสะท้อนความคิดของนักลงทุนแต่ละคน ย่อมไม่มีเหตุผล ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เลย มีคนเคยตั้งคำถามว่า ทำไมคนที่เรียนด้านการลงทุน เก่งที่ 1-10 อันดับของระดับมหาวิทยาลัย Wharton กับไม่เคยมีชื่อเสียงในวงการลงทุนเลย ทำไมคนที่ IQ สูงขนาดนั้นถึงได้ไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นกัน ย้อนกลับมาที่ตลาดหุ้นไทยจะเห็นว่า คนที่ยิ่งฉลาด ยิ่งขาดทุนมากในตลาดหุ้น แต่คนที่ฉลาดปานกลางแต่หากมี EQ สูงแล้ว ลับสามารถประสบความสำเร็จได้มากกว่าเหตผลทั้งหมดจะค่อยๆถูกเฉลยในบทต่อๆไป ลองดูเหตการเหล่านี้

Ex1. คุณคิดว่าบริษัท A ผลประกอบการณ์ออกมาดีแน่ เลยซื้อหุ้นที่ราคาสิบบาท ตั้งใจจะขายในระยะสั้น ที่ 12 บาท เมื่อผลประกอบการณ์ออก แต่พอผลประกอบการณ์ออกมาดีดังคาดไว้ แต่ราคาหุ้นตกลงไป 8 บาท คุณทำใจขายทิ้งไม่ได้ (Avoid Regret) และคิดว่าหากราคาหุ้นกลับมาแค่เพียง10 บาท เท่าทุนก็จะขายไป ( Referance Point)
EX2. คุณซื้อหุ้นที่บริษัท B ที่ราคา 10 บาทจำนวน หมื่น หุ้น พอราคาหุ้นวิ่งไป 12 บาท คุณขายทำกำไรไป 20000 บาท พอราคาหุ้นวิ่งขึ้นไป 15 บาท คุณรู้สึกเสียดายอย่างมาก(เจ็บใจที่ขายเร็ว ขายหมู) พอราคาหุ้นเริ่มปรับตัวลงมาที่ 13 บาท คุณซื้อหุ้นกลับมาแต่คราวนี้ซื้อไป 20000 หุ้นเลย เพื่อเอากำไรเยอะๆ (โลภ เพราะพึ่งได้กำไรมา) ซื้อแล้วหุ้นวิ่งกลับไป 10 บาท เหมือนเดิม ปรากฏว่าเบ็ดเสร็จแล้วคุณขาดทุน 40000 บาท (งง?)
แม้ว่าสิ่งเหล่านี้ท่านเคยประสบมาหรือเคยได้รับคำเตือนครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าโปรดอย่าตามหลัง "มวลชน" แบบหลับหูหลับตา อันที่จริงคำว่า"มวลชน"นั้นไม่ใช่อื่นใด หากแต่เป็น"เรา "และ "ท่าน" นั้นเอง พฤติกรรมของ "มวลชน" ก็คือพฤติกรรมของคนทั่วไปหากมวลชนตัดสินใจผิดพลาดหรือเกิดปฏิกริยาทางอารมณ์ อย่างรุนแรงเพราะความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เราและท่าน ก็ตกออยู่ในสภาพเช่นนั้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นลำพังการคิดว่าเราต้องปฏิบัติให้แตกต่างจากคนอื่นไม่เกิดประโยชน์ อะไร เพราะเรื่องเหล่านี้คนส่วนใหญ่ต่างทราบดีว่าควรทำอะไร ยกตัวอย่าง การสูบบุหรี่ ทุกคนทราบดีกว่า การเลิกบุหรี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่หากไม่ "ปฏิบัติ"ก็ไม่มีทางก้าวพ้นจาก อุปสรรคทางความคิดและอารมณ์ที่ส่งผลให้เราไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นได้ ใน "วิกฤติ มีโอกาส" แต่จะมีซักกี่คน ที่มองข้ามผ่านเมฆหมอกแห่งความกังวลเห็นถึงวันข้างหน้าที่สดใสได้ ในเมื่อบรรยากาศทั้งหมด มันไม่เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างดูจะแย่ลง แย่ลง คนเรามองเห็นสิ่งที่ใจรู้สึกหากบรรยากาศรอบตัวร้อนเราก็จะเห็นแค่ความร้อน เราจะนึกถึงเวลาอากาศเย็นไม่ถูกเลย สิ่งเหล่านี้เป็นวิทยาสาสตร์ที่พิสูจน์แล้วว่า คนเราใช้ความรู้สึก ณ ขณะนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการตัดสินใจเรื่องใดๆ เช่น เวลาคนหิวจะชอปปิ้งมากกว่าเวลาอิ่มเป็นต้น

49
บทนี้มาเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่อง วิธีวิเคราะห์ ปัจจัยสำคัญ 5 ประการ กับการเคลื่อนไหวในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน

ปัจจัยที่ 1 ภูมิศาสตร์การเมือง ความเสี่ยงทางเสถียรภาพทางการเมืองเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่นักลงทุนต่างกังวล เนื่องจากกลัวว่าจะก่อให้เกิดอุปสรรค และความเสี่ยงต่อเงินทุน จึงมักจะโยกเงินลงทุนออกไปก่อนจนกว่าจะเห็นความชัดเจน และมีเสถียรภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ปัญหาทางการเมืองยังเป็นปัญหาที่จะฉุดรั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลต่อมายังค่าเงินตามปัจจัยข้างต้นที่ได้กล่าวถึงอีกด้วย


ปัจจัยที่ 2 การค้าและกระแสเงินทุน ในส่วนนี้ ควรแยกพิจารณา ว่าระหว่างรายได้จากการค้าระหว่างประเทศ กับกระแสเงินทุนจากต่างชาติที่เข้ามาลงทุน มีผลต่อมีปริมาณกระแสเงินทุนไหลเข้าออกของประเทศมากน้อยแค่ไหน และอะไรมีผลมากกว่า เพราะทิศทางของอัตราแลกเปลี่ยนจะการเคลื่อนไหวไปตามผลกระทบนั้นมากกว่า


ปัจจัย 3 การควบรวมกิจการของธุรกิจขนาดใหญ่ เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญน้อยที่สุดในการตัดสินใจทิศทางค่าเงินในระยะยาว แต่มีประสิทธิภาพมากสำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินในระยะสั้น เนื่องจากเมื่อมีบริษัทในประเทศหนึ่ง จะซื้อสินทรัพย์ของบริษัทในอีกประเทศหนึ่ง ก็จะมีความจำเป็นที่ต้องแลกเงินเป็นสกุลเงินนั้นเพื่อใช้ในการชำระสินทรัพย์ดังกล่าว จากเหตุการณ์นี้จะทำให้ตลาดคาดการณ์ความผันผวนในระยะสั้นได้ว่า ค่าเงินสกุลที่เป็นที่ต้องการจะปรับตัวแข็งค่า

ปัจจัยที่ 4 อัตราดอกเบี้ย โดยจะมีสองส่วนด้วยกันที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ รายได้จากดอกเบี้ย และการเพิ่มขึ้นของเงินทุน จากปัจจัยนี้ จะเห็นว่า ทุกๆ สกุลเงินในโลก มีอัตราดอกเบี้ยเป็นสิ่งจูงใจในการเคลื่อนไหว ซึ่งอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวกำหนดโดยธนาคารกลางของประเทศนั้นๆ ถ้าหากให้ปัจจัยอื่นๆ คงที่ โดยปกตินักลงทุนจะกู้ยืมเงินจากประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อไปลงทุนในประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อธุรกรรมว่า The Carry trade ซึ่งผลที่ได้คือ กำไรจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย และได้กำไรจากส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยน จากการที่สกุลเงินของประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า มักมีแนวโน้มที่จะแข็งค่า


ปัจจัยสุดท้าย การเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งจากปัจจัยนี้จะสะท้อนได้ว่า ประเทศที่มีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่า หรือมีอัตราการขยายตัวที่ดีกว่ามีแนวโน้มที่ธนาคารกลางจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อช่วยยับยั้งการขยายตัวของอัตราเงินเฟ้อ และจากปัจจัยข้างต้นที่กล่าวมาว่า อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะเป็นตัวดึงดูดกระแสเงินลงทุนจากต่างชาติเข้ามา และอุปสงค์ของเงินที่ค่อนข้างมากจะทำให้มูลค่าของเงินมากขึ้นด้วยนั่นเอง


ตัวเลขเศรษฐกิจ ที่มีอิทธิพลต่อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างๆ มีดังนี้

1. Non-Farm Employment Change (ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร)
2. Consumer Price (อัตราเงินเฟ้อผู้บริโภค)
3. Retail Sales (ตัวเลขค้าปลีก)
4. Consumer Confidence (ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค)
5. ISM Manufacturing (ดัชนีวัดการผลิตภาคอุตสาหกรรม)

ผลสรุป ตัวเลขเศรษฐกิจที่ตลาดได้ให้ น้ำหนัก และ มีผลต่อความผันผวนมากที่สุด คือตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการ เกษตร (Non-Farm Employment Change) และ อัตราว่าง งาน (Unemployment rate) โดยพิจารณาจากทั้งความผันผวน ของ VIX Index และ ดัชนีดาวโจนส์

จากปัจจัยทั้ง 5 ประการที่กล่าวมาข้างต้น ผู้เขียนหวังว่าผู้อ่านคงได้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นของการเคลื่อนไหวในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน สามารถเชื่อมโยงกับความเป็นไปที่เกิดขึ้นกับตลาดการเงินต่างๆ ได้ และสนุกกับการเคลื่อนไหวของค่าเงินอยู่ตลอดเวลา

50
General Trading Guidelines - ไกด์ไลน์สำหรับแนวทางในการเทรด Forex

Know when to cut loss - รู้ว่าเมื่อไหร่ต้องตัดขาดทุน:

ถ้าราคาวิ่งตรงข้ามกับที่เทรดไว้ ควรปิดทิ้งแล้ว รอสัญญาณ หรือโอกาสในการเข้าใหม่ อย่าถือไว้โดย หวังว่าราคาจะวิ่งกลับมา ให้เราปิดทำกำไร การถือติดลบไว้ ทำให้คุณเสียโอกาส ในสัญญาณดีๆ และจะต้องมานั่งเครียด กลัว margin จะหมด ดังคำ "เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย" ถ้าเลวร้ายจริงๆ อาจถึง โดนสั่งปิดไปเลย ดังนั้น ก่อนทำการเทรด จึงควรหาจุด Stop-Loss จุดที่คุณต้องปิดทิ้ง เมื่อราคาวิ่งตรงข้าม จากที่คาดหมายไว้ โดยอาจกำหนดไว้ เลย เช่น -20 จุด หรือ -30 จุด หรืออาจดูจาก แนวรับ-แนวต้าน นำมาตั้งเป็นจุด Stop-Loss

Take profit when the trade is good - ปิดทำกำไรเมื่อได้โอกาส:

ก่อนทำการเทรด ตั้งเป้าหมายไว้ ว่าต้องการกำไรเท่าไหร่ เมื่อได้โอกาส ก็ควรปิดเพื่อทำกำไร เป้าหมาย หรือ Target อาจกำหนดตายตัว ขึ้นอยู่กับความพอใจของเรา เช่น กำไร 20 จุด, กำไร 30 จุด, 50 จุด หรือกำหนดจาก แนวรับ-แนวต้าน หรืออาจใช้เครื่องมือช่วย เช่น Fibonacci หรือ Pivot Point เป็นตัวกำหนด

Be emotionless - ตัดอารมณ์ออกไป:

2 อารมณ์ ที่มีผลมากในการเทรด คือ ความโลภ และความกลัว อย่าให้ความโลภ และความกลัว เข้ามามีผลต่อการเทรดของคุณ หมั่นฝึกฝน เทรดให้เป็นระบบ เทรดตามแผน หรือระบบเทรด ที่วางไว้ ตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop-Loss), เป้าหมาย (Target) , บริหารเงินให้ดี คุณก็จะมีโอกาส ประสบความสำเร็จ ใน Forex ได้ครับ

Do not trade based on tips from other people - อย่าเทรดตามคนอื่น:

เทรดตามระบบ ตามสัญญาณ หรือ ตามแผนที่วางไว้ อย่าเทรดตามคนอื่นโดยเด็ดขาด วิเคราะห์ให้ดีทุกครั้ง ก่อนการเข้าเทรด

Keep a trading journal - จดบันทึกการเทรด:

เมื่อคุณเปิดคำสั่ง ซื้อ (Buy/Long) ให้จด เหตุผลว่าเข้าเพราะอะไร และจดความรู้สึกตอนนั้นไว้ และเมื่อเปิดคำสั่ง ขาย (Sell/Short) ก็ทำเช่นเดียวกัน แล้วนำมาวิเคราะห์ บันทึก ข้อดี/ข้อผิดพลาด ในการเทรด นำข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น มาเป็นบทเรียน อย่าทำตามนั้นอีก

When in doubt, stay out - เมื่อไม่แน่ใจ ไม่ต้องเทรด:

เมื่อคุณมั่นใจ หรือกำลังสับสน กับสภาวะของตลาด ไม่แน่ใจว่าราคา จะวิ่งไปทางไหน ใหัอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร บางครั้งการไม่ทำอะไร ก็อาจดีที่สุด

Do not overtrade - อย่าเทรดมากจนเกินไป:

คุณไม่ควรเปิดเทรด มากจนเกินไป ปกติในเวลาหนึ่ง ควรมี Position ที่เทรดค้างไว้ ไม่เกิน 3-5 Position ถ้ามีมากเกินไป คุณอาจควบคุมไม่ได้ หรืออาจใช้ อารมณ์ในการ ตัดสินใจ เมื่อตลาดเกิดการเเปลี่ยนแปลง ดังนั้นอย่าเปิดเทรด มากจนเกินไป

ในการเทรด ไม่ควรตัดสินตามอารมณ์ ความรู้สึกของคุณ ว่า ราคาน่าจะขึ้น ราคาน่าจะลง แล้วเปิดคำสั่งเทรด คุณจำเป็นต้องมีแผนในการเทรดเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ แผนการเทรดที่ดี ควรประกอบด้วย 1.การกำหนดจุดเข้า หรือสัญญาณในการเข้าเทรด, 2.การกำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop-Loss), 3.การกำหนดเป้าหมายกำไร (Target), 4.การวางแผนการเงิน (Money Management) จัดสรรเงินเทรด ให้เหมาะสม แผนการเทรดที่ดี จะช่วยให้คุณตัดอารมณ์ ออกจากการเทรด ช่วยให้คุณไม่ต้องมานั่งเครียด เวลาติดลบเยอะๆ ไม่ต้องถูกบังคับปิด เมื่อ Margin ของคุณหมด ตัวอย่างแผนการเทรด หรือระบบเทรด สามารถหาดูได้จาก เว็บ ForexFactory <-- คลิกที่นี่ ลองหาแผน หรือระบบเทรด ที่เหมาะสมกับคุณ ลองทดสอบระบบ เทรดตามระบบ ด้วยเงินปลอม อาจปรับปรุงให้เหมาะสม แล้วนำมาใช้ใน การเทรดของคุณ ไม่มีระบบไหนที่สมบูรณ์ 100% ไม่มีใครไม่เคยติดลบ ในตลาดนี้ครับ

The trend is your friend - เทรนคือเพื่อนของคุณ:

อย่าคิดสวนเทรน หาจังหวะหรือสัญญาณ เพื่อ Buy/Long เมื่อตลาดอยู่ในภาวะ Bullish (เทรนขึ้น-กระทิงขวิดขึ้น) และ หาจังหวะ หรือสัญญาณ เพื่อเข้า Sell/Short เมื่อตลาดอยู่ในภาวะ Bearish (เทรนลง-หมีตะปบลง)

Focus on capital preservation - การรักษาเงินลงทุน :

สิ่งที่สำคัญอีกอย่าง เมื่อทำการเทรด ต้องรักษาเงินในบัญชีของคุณให้ดีู่ การเปิดคำสั่งเทรด แต่ละคำสั่ง ไม่ควรเกิน 10% ของเงินลงทุนที่มีอยู่ ตัวอย่างเช่น ถ้ามีเงินอยู่ในบัญชี $100 ในการเทรดแต่ละครั้ง ไม่เกิน $10 ถ้าไม่มีการรักษาเงินลงทุน เงินทุนอาจลดลงอย่างรวดเร็ว จนหมดและคุณอาจท้อ จนต้องเลิกไปเลย
Plan your trade and trade your plan - วางแผนการเทรด และเทรดตามแผนของคุณ:

51
เรื่องต่อไปที่ Exness-free ต้องการนำเสนอคือการวิเคราะห์ทางเทคนิคด้วยกฎ 10 ข้อ เพื่อการอยู่รอดและการลงทุนกับ Forex



1. ติดตามค่าเฉลี่ย
หมาย ถึงการเคลื่อนไหวของเส้นค่าเฉลี่ย ซึ่งจะบอกถึงราคาเป้าหมายที่จะซื้อและขาย เส้นค่าเฉลี่ยเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าราคาอยู่ในแนวโน้มเช่นใดและช่วยยืนยัน สัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม อย่างไรก็ตาม เส้นค่าเฉลี่ยไม่ใช่เครื่องมือที่จะบอกล่วงหน้าว่าแนวโน้มกำลังจะเปลี่ยน รูปแบบของการใช้เส้นค่าเฉลี่ยที่เป็นที่นิยมคือการใช้เส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้นเพื่อหาจุดซื้อ-ขาย ค่าที่นิยมใช้สำหรับค่าเฉลี่ยที่ใช้คู่กันคือ 5 วันและ10 วัน, 10 วันและ25วัน, 25 วันและ 50 วัน สัญญาณซื้อ-ขายเกิดขึ้นเมื่อเส้นที่มีค่าเฉลี่ยสั้นกว่าตัดกับเส้นที่ ยาวกว่า หรือ เมื่อราคาเคลื่อนผ่านเส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน เนื่องจากเส้นค่าเฉลี่ยต่างๆเป็นดัชนีที่เคลื่อนไปตามแนวโน้ม การใช้เส้นค่าเฉลี่ยจึงเหมาะสำหรับตลาดที่ในช่วงที่มีแนวโน้มที่ชัดเจน

2. รู้ถึงจุดที่ตลาดกลับตัว
Oscillators (เครื่องมือที่มีตัวเลข ตั้งแต่ 0 ถึง 100) เป็นดัชนีที่ช่วยชี้บอกจุดที่มีการซื้อหรือขายมากเกินไป ในขณะที่เส้นค่าเฉลี่ยจะช่วยยืนยันว่าตลาดการเปลี่ยนแนวโน้ม Oscillators จะช่วยเตือนล่วงหน้าว่าตลาดเคลื่อนไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งมากเกินไป และทำให้เกิดการกลับตัว Oscillators ที่เป็นที่นิยม ได้แก่ Relative Strength Index (RSI) และ Stochastics ทั้งสองตัวนี้จัดเป็นเครื่องมือที่เรียกว่า Oscillators เพราะให้ค่าที่อยู่ในช่วง 0 ถึง 100 เมื่อ RSI มีค่าเกิน 70 จะแสดงถึงการซื้อที่มีมากเกินไป (Overbought) และ ต่ำกว่า 30 แสดงถึงการขายมากเกินไป (Oversold) ค่า Overbought และ Oversold สำหรับ Stochastics คือ 80 และ 20 นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้ค่า 14 วันหรือสัปดาห์สำหรับการคำนวณ Stochastics และ 9 หรือ 14 วันหรือสัปดาห์สำหรับ RSI สัญญาณกลับตัวที่เกิดใน Oscillators จะเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดกำลังจะกลับตัว เครื่องมือเหล่านี้ใช้ได้ดีเมื่อตลาดอยู่ในช่วงที่เหมาะกับการเล่นเก็งกำไร และไม่แสดงแนวโน้มที่ชัดเจน สัญญาณในระดับสัปดาห์สามารถนำมาใช้ช่วยในการขจัดสัญญาณหลอกและยืนยันสัญญาณ ในระดับวัน และใช้สัญญาณระดับวันสำหรับยืนยันสัญญาณในรายนาที

3. มองเห็นสัญญาณเตือน
Moving Average Convergence Divergence (MACD) เป็นดัชนีวัด (พัฒนาโดย Gerald Appel) ที่รวมเอาระบบการตัดผ่านของเส้นค่าเฉลี่ยและการชี้จุด Overbought/Oversold ของ Oscillators ไว้ด้วยกัน สัญญาณซื้อจะเกิดเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดขึ้นเหนือเส้นที่ช้ากว่า โดยที่ทั้ง 2 เส้นอยู่ต่ำกว่าศูนย์ สัญญาณขายเกิดเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดลงต่ำกว่าเส้นที่ช้ากว่าที่เหนือ ศูนย์ สัญญาณในระดับสัปดาห์จะมีน้ำหนักและความสำคัญมากกว่าสัญญาณในระดับวัน MACD histogram ซึ่งมีลักษณะเป็นแท่ง แสดงถึงส่วนต่างระหว่าง MACD ทั้งสองเส้น สามารถส่งสัญญาณเตือนว่าจะมีการเปลี่ยนแนวโน้มได้เร็วกว่าอีกด้วย

4. เป็นแนวโน้มหรือไม่เป็นแนวโน้ม
Average Directional Index (ADX) เป็นดัชนีที่จะบอกว่าตลาดอยู่ในช่วงที่มีแนวโน้มหรือไม่ และเป็นตัวช่วยวัดว่าแนวโน้มนั้นอยู่ในระดับใด เส้น ADX ที่ชี้ขี้นแสดงถึงแนวโน้มที่มีความชัดเจนมาก ควรใช้เส้นค่าเฉลี่ยในการวิเคราะห์ หากเส้น ADX ปรับตัวต่ำลง แสดงถึงตลาดที่ไม่มีแนวโน้มและเหมาะสำหรับเก็งกำไรระยะสั้น ควรใช้ Oscillators ในการวิเคราะห์ การใช้ ADX ช่วยนักลงทุนในการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนและในการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม กับสภาวะตลาด

5. รู้จักการดูสัญญาณเพื่อยืนยันแนวโน้ม
สัญญาณ ที่ให้การยืนยันรวมถึงปริมาณการซื้อขายและจำนวนการซื้อขายที่มีการลงทุนจาก ผู้ที่เข้ามาซื้อขายใหม่ (open interest) ทั้ง 2 ตัวนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการยืนยันแนวโน้มสำหรับตลาดล่วงหน้า ปริมาณการซื้อขายมักจะส่งสัญญาณกลับตัวก่อนที่ราคาจะกลับตัว สิ่งสำคัญคือจะต้องมั่นใจว่ามีปริมาณการซื้อขายอย่างหนาแน่นในทิศทางเดียว กับแนวโน้มปัจจุบัน ในแนวโน้มขาขึ้น ควรมีปริมาณการซื้อขายที่มากขึ้นเพื่อยืนยันว่าแนวโน้มนั้นยังแข็งแรงอยู่ ส่วน open interest ที่เพิ่มขึ้นนั้นจะช่วยยืนยันว่ามีเงินไหลเข้ามาต่อเนื่องและช่วยหนุนให้แนว โน้มปัจจุบันคงอยู่ หาก open interest ลดลง ย่อมเป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มนั้นใกล้สิ้นสุดลง ดังนั้นราคาที่มีแนวโน้มสูงขึ้นควรจะมีปริมาณซื้อขายและ open interest หนุนอยู่ด้วย

6. ใช้เส้นแนวโน้ม
เส้น แนวโน้มเป็นหนึ่งในเครื่องมือการวิเคราะห์ที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุด สิ่งที่ต้องคำนึงถึงมีเพียงขอบเขตที่เส้นแนวโน้มแสดงและจุด 2 ตำแหน่งบนชาร์ต เส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดต่ำสุด 2 จุด ที่อยู่ใกล้กัน และเส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดสูงสุด 2 จุดใกล้กัน ราคาของหุ้นมักจะเคลื่อนเข้าใกล้เส้นแนวโน้มก่อนที่จะเคลื่อนกลับเข้าสู่แนว โน้มของมัน หากราคาทะลุผ่านเส้นแนวโน้ม จะแสดงถึงสัญญาณของการเปลี่ยนแนวโน้ม เส้นแนวโน้มจะมีผลเมื่อราคาเคลื่อนแตะที่เส้น 3 ครั้งเป็นอย่างน้อย เส้นแนวโน้มที่ลากได้ยิ่งยาว หมายถึง จำนวนครั้งมากขึ้นของการทดสอบเส้นแนวโน้ม และยิ่งทำให้เส้นแนวโน้มมีความสำคัญมากขึ้น

7. ดูแนวโน้ม
เรียน รู้ชาร์ตในระยะยาว โดยเริ่มการวิเคราะห์ชาร์ตในระดับเดือนและสัปดาห์ ของช่วงเวลาหลายๆปี การดูชาร์ตในระดับของช่วงเวลาที่กว้างขึ้นจะทำให้สามารถมองเป็นแนวโน้มของ ตลาดในระยะยาวได้ชัดเจนขึ้น เมื่อทราบถึงแนวโน้มระยะยาวแล้ว จึงจะดูชาร์ตในระดับวันและนาที การดูแนวโน้มในช่วงสั้นเพียงอย่างเดียวจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ถึงแม้ว่าคุณจะลงทุนในระยะสั้น คุณจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหากคุณลงทุนในทิศทางเดียวกับแนวโน้มในระยะกลางและ ยาว

8. วิเคราะห์และไปตามแนวโน้ม
แนว โน้มของตลาดมีหลายช่วงเวลา ระยะยาว ระยะกลาง และระยะสั้น สิ่งแรกคือ คุณต้องรู้ว่าคุณจะลงทุนในระยะเวลาเท่าใด และวิเคราะห์ชาร์ตของช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยที่คุณต้องแน่ใจว่าคุณลงทุนไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มในระยะเวลานั้นๆ ซื้อเมื่อแนวโน้มอยู่ในขาขึ้น และขายเมื่อแนวโน้มอยู่ในขาลง หากคุณลงทุนในระยะกลาง ให้ใช้ชาร์ตในระดับวันและสัปดาห์ ถ้าคุณลงทุนระยะสั้น ให้ใช้ชาร์ตระดับวันและรายนาที อย่างไรก็ตาม ในแต่ละกรณี ให้ดูแนวโน้มของช่วงเวลาที่ยาวขึ้น และใช้ชาร์ตของช่วงเวลาที่สั้นลงในการหาจุดที่จะเข้าซื้อ-ขาย

9. หาจุดสูงสุดและต่ำสุด
วิเคราะห์ แนวรับและแนวต้าน จุดที่ดีที่สุดในการเข้าซื้อก็คือจุดใกล้แนวรับซึ่งมักจะเป็นจุดต่ำสุดของ รอบการซื้อขายที่แล้ว จุดที่ดีที่สุดสำหรับการขายก็คือจุดที่ใกล้แนวต้าน ซึ่งมักจะเป็นจุดสูงสุดของรอบการซื้อขายที่แล้ว หากมีการเคลื่อนผ่านแนวต้าน แนวต้านนั้นจะกลายเป็นแนวรับสำหรับการปรับตัวลดลง อีกนัยหนึ่ง จุดสูงสุดเดิมกลายเป็นจุดสูงสุดใหม่ และเช่นเดียวกัน ในกรณีที่ราคาทะลุผ่านแนวรับ มักจะมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้จุดต่ำสุดเดิมกลายเป็นจุดต่ำสุดใหม่

10. รู้ว่าจะไปไกลแค่ไหนจึงจะกลับตัว
เทียบ อัตราส่วนการขึ้น-ลง เป็นเปอร์เซนต์ โดยทั่วไปตลาดจะมีการกลับตัวทั้งขึ้นและลงตามสัดส่วนเปอร์เซนต์ของแนวโน้ม ของช่วงก่อน คุณสามารถวัดอัตราส่วนของการปรับตัวขึ้นหรือลงของแนวโน้มปัจจุบันได้โดยใช้ อัตราส่วนชุดหนึ่งที่มีการกำหนดค่าไว้แล้ว เช่น การกลับตัวขึ้นหรือลง 50%ของแนวโน้มก่อน เป็นอัตราพื้นฐานที่ใช้กันบ่อย อัตราส่วนต่ำสุดของการวัดการดีดกลับ คือ 1/3 ของแนวโน้มก่อน และอัตราส่วนสูงสุดคือ 2/3 อัตราส่วนที่สำคัญและควรให้ความสนในก็คือ อัตราส่วน Fibonacci 36% และ 62% ดังนั้น เมื่อตลาดมีการพักในช่วงแนวโน้มขาขึ้น จะมีจุดซื้อคืนจุดแรกเมื่อตลาดปรับตัวลง 33-38% ของจุดสูงสุด


กฎ ทั้ง10 ข้อนี้ เป็นหลักการสำคัญสำหรับผู้ที่ใช้วิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับการลงทุน เพราะหากไม่มีหลักการดังกล่าวแล้ว เราก็จะไม่สามารถกำหนดการซื้อขายที่เป็นรูปแบบได้ ซึ่งในกฎเหล่านี้จะพูดถึงการวิเคราะห์แนวโน้ม , หาจุดกลับตัว, ติดตามค่าเฉลี่ย, มองหาสัญญาณเตือน และอื่นๆ หากท่านสามารถเข้าใจและ ปฎิบัติตามหลักการเหล่านี้ได้ผมเชื่อว่าท่าน ก็สามารถเอาตัวรอด ด้วยการลงทุนโดยใช้หลักการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้ครับ

52
5 ขั้นตอนของการเป็นนักเทรดเดอร์มืออาชีพ

ว่าตลาดค่าเงินเป็นตลาดที่โหดที่สุด แม้มันจะสามารถสร้างความร่ำรวยให้คุณได้ในช่วงเวลาไม่นานนัก แต่มันก็ทำให้คุณหมดตัวในช่วงข้ามคืนได้เช่นกัน และต่อไปนี้คือ 5 ขั้น ของการเป็นเทรดเดอร์ค่าเงิน ที่คุณจะต้องผ่านไปให้ได้

ขั้นเเรก - ไร้สติเเละไร้คุณสมบัติ
ขั้นเเรกของทุกคนเมื่อคิดที่จะเริ่มเทรดค่าเงิน คุณเชื่อและรู้ว่าการเทรดเป็นวิธีทำเงินที่ดีเพราะคุณได้ยินใครๆ ก็พูดถึงเรื่องราวของเทรดเดอร์ที่เทรดจนร่ำรวยกลายเป็นเศรษฐีหน้าใหม่ ขั้นนี้มันจะเหมือนกับช่วงเวลาที่คุณเริ่มคิดที่จะขับรถทุกอย่างดูเหมือนง่ายไปหมด สำหรับการเทรดก็เช่นกัน ราคามันก็มีเเค่ขึ้นกับลง คุณเลยคิดว่าลองเทรดเลยดีกว่าไม่น่าจะยากอะไร เเต่แล้วก็เช่นเดียวกับการขับรถเมื่อคุณจับพวงมาลัยครั้งเเรก คุณถึงได้รู้ว่าคุณไม่ได้รู้อะไรเลย คุณเปิดออเดอร์มากมาย เเละรับความเสี่ยงที่สูงมาก พอคุณซื้อกราฟก็ตก พอคุณสั่งขายกราฟก็ขึ้น เป็นอยู่อย่างนี้อยู่ร่ำไป แม้บางครั้งคุณจะได้กำไร แต่นั่นกลับเป็นหายนะสำหรับผู้เริ่มต้นเทรด เพราะในสมองของคุณจะเริ่มคิดว่าการเทรดเป็นเรื่องง่าย เเล้วคุณก็จะเพิ่มความเสี่ยงขึ้น ลงเงินมากขึ้น คุณพยายามที่จะเอาคืนการขาดทุนด้วยการดับเบิ้ลเงินลงไปทุกครั้งในการเทรด บางครั้งคุณก็รอดมาได้เเต่ไม่บ่อยครั้งที่จะไม่ขาดทุน คุณยังไม่คิดว่าคุณไม่มีความสามารถในการเทรด ขั้นตอนนี้กินเวลาหลายอาทิตย์ ก่อนที่คุณจะย้ายไปอีกขั้นนึง

ขั้นสอง - มีสติเเต่ขาดคุณสมบัติ
ขั้นสองนี้คือคุณทราบว่าการเทรดนั้นต้องมีการวางเเผนเเละลงมือลงเเรง จิตใต้สำนึกของคุณทราบว่าคุณเป็นเทรดเดอร์ที่ขาดคุณสมบัติ คุณตระหนักว่าคุณไม่มีทักษะหรือความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในการทำกำไรในตลาดค่าเงิน คุณเริ่มที่จะหาซื้อระบบการเทรดและอ่านบทความตามเว็บไซต์ทุกแห่ง ช่วงนี้คุณเริ่มต้นค้นหาอินดี้หรือระบบศักดิ์สิทธิ์ แล้วคุณก็จะค่อยๆเปลี่ยนระบบการเทรดจากระบบหนึ่งไปอีกระบบหนึ่ง อินดี้หนึ่งไปอีกอินดี้หนึ่ง เวลาที่คุณเจออินดี้ตัวใหม่ คุณจะมีความตื้นเต้น เเละคิดว่าอินดี้นี้ละสุดยอดเเล้ว คุณจะทดสอบระบบอัตโนมัติใน Metatrader คุณจะเล่นกับ moving average, Fibonacci, support และ resistant, Pivots, MACD, RSI, Stocastic และอื่นๆ อีกร้อยเเปดด้วยความหวังว่ามันจะเป็นระบบมหัศจรรย์ของคุณ คุณจะไปอยู่ในเเชทลูมและเห็นว่าคนอื่นๆทำกำไรเเต่ทำไมไม่ใช่กับคุณ คุณมีปัญหาที่ต้องการคำตอบล้านเเปด ......แล้วคุณก็จะถึงจุดที่คุณคิดว่าคนที่ออกมาบอกว่าได้กำไรทั้งหมดนั้นโกหก!!! พวกเขาไม่น่าจะทำกำไรได้เพราะคุณก็ได้ศึกษาการเทรดมามากมาย เเต่ก็ยังขาดทุน คุณก็รู้เท่าเท่ากับที่พวกเขารู้ พวกเขาต้องโกหกเเน่ๆ!!!! เเต่ทว่าพวกเขาก็ยังคงอยู่ในตลาดทุกวัน และบัญชีของพวกเขาก็ค่อยๆเพิ่มมากขึ้นในขณะที่ของคุณลดลงเรื่อยๆ

เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์เเละประสบความสำเร็จพยายามอธิบายหลักการ บอกวิธีการเทรดเเบบให้คุณเเต่คุณก็ยังดื้อรั้นคิดว่าตัวเองถูก คุณยังดิ้นรนเทรดทั้งที่ทุกคนรอบข้างบอกว่าคุณบ้าไปเเล้ว ในที่สุดเมื่อคุณเริ่มคิดได้เเล้วพยายามเทรดตามคนอื่นเเต่ก็ไม่สำเร็จ คุณพยายามซื้อ signal และจ่ายเงินให้กูรูคอยบอกเเละสอนคุณ แต่ไม่ว่ากูรูจะดีหรือไม่ดียังไงคุณก็ยังไม่สำเร็จเพราะคุณยังคิดว่าคุณต่างหากที่รู้ดีที่สุด ขั้นนี้อาจจะนานเป็นปีถึงสามปี หรืออาจนานตราบนานเท่านานถ้าคุณยังไม่สามารถชนะตัวเองได้ และขั้นนี้เองที่เทรดเดอร์หลายคนถอดใจหันหลังให้กับการเทรด โดยประมาณ 60% ของเทรดเดอร์มือใหม่ถอดใจใน 3 เดือนเเรก

ถ้าคุณอดทนมากพอ ในที่สุดคุณจะค่อยๆ ออกจากขั้นนี้ คุณลงทุนลงเเรงกับมันไปมากกว่าที่คุณคาดคิด คุณหมดเงินไปจากบัญชีเป็นสิบครั้งเเละคิดจะเลิกตั้งหลายครั้งเเต่คุณก็ไม่เลิกเพราะการเทรดมันอยู่ในสายเลือดของคุณไปเเล้ว วันนึงในเสี้ยววินาทีโดยที่คุณก็ไม่รู้ตัว คุณก็จะก้าวเข้าสู่ขั้นที่สาม

ขั้นที่สาม– ช่วงตรัสรู้ความจริง
คุณเริ่มคิดได้ว่า ปัญหาของคุณมันไม่ใช่ที่ระบบ คุณเริ่มที่จะคิดได้ว่าคุณสามารถทำเงินได้โดยใช้เเค่ simple moving average ขอแค่คุณต้องมี mindset หรือระบบความคิด รวมถึงการจัดการเงิน money management ที่ถูกต้อง คุณเริ่มอ่านหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาในการเทรด เเละตระหนักได้ว่าแท้จริงแล้วไม่มีใครสามารถคาดเดาตลาดได้อย่างเเม่นยำ ไม่ว่าจะสิบนาทีหรือสิบวัน คุณจะเลิกสนใจความคิดของคนอื่น คุณเริ่มที่จะสร้างระบบของคุณเองเพียงระบบเดียว เเละมีความสุขกับระบบของคุณ คุณจะเริ่มกำหนดความเสี่ยงของตัวเอง และจะเทรดก็ต่อเมื่อคุณเห็นว่ามีโอกาสที่จะทำกำไร เเละเมื่อขาดทุน คุณก็ไม่โกรธตัวคุณเอง เพราะคุณรู้ดีว่าคุณไม่อาจคาดเดาตลาดได้เเละมันไม่ใช่ความผิดของคุณ เมื่อคุณเทรดเเล้วขาดทุน คุณจะรีบปิดออเดอร์ และมองหาโอกาสในการทำกำไรครั้งใหม่ เพราะคุณรู้ว่าระบบของคุณสามารถทำกำไรได้ คุณจะคิดว่าการเทรดขาดทุนเพียงครั้งเดียวไม่ได้หมายความว่าระบบของคุณใช่ไม่ได้ คุณจับได้ว่าการเทรดขึ้นอยู่กับสิ่งเดียวคือความสม่ำเสมอเเละการมีวินัย คุณเรียนรู้เรื่องการจัดการเงิน เเละการบริหารความเสี่ยง ในขั้นนี้คุณยังไม่สามารถทำกำไรได้ แต่คุณเริ่มเรียนรู้หนทางที่จะมีกำไร

ขั้นสี่ - มีสติเเละความสามารถ
คุณทำการเทรดเมื่อระบบของคุณบอก คุณทำใจยอมรับการขาดทุนได้เหมือนกับการได้กำไร ตอนนี้คุณสามารถ let profit run โดยรับรู้ถึงความเสี่ยง เเละรู้ว่าระบบของคุณทำกำไรได้มากกว่าที่เสียไป เเละเมื่อคุณขาดทุน คุณจะรีบ cut loss อย่างรวดเร็ว ตอนนี้คุณจะถึงจุดที่คุณเสมอตัวซะส่วนมาก จะมีบางอาทิตย์ที่ท่านได้100 pips เเละสัปดาห์ที่เสีย 100 pips เเต่คุณก็ไม่ขาดทุน คุณพยายามขัดเกลาเเละเช็คผลการเทรดของคุณอย่างสมำเสมอ กระบวนการนี้จะดำเนินไปเรื่อยๆ คุณจะพัฒนาความสามารถในการคุมอารมณ์ และรักษาวินัยในการทำตามระบบ จนในที่สุด คุณจึงเริ่มที่จะทำเงินได้มากกว่าขาดทุน คุณเริ่มทำกำไรได้ 20 pips ในสัปดาห์นี้ และ 50 pips ในสัปดาห์หน้า ขั้นนี้ใช้เวลาประมาณ หกเดือนถึงหนึ่งปี ขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมวินัยของแต่ละคน

ขั้นห้า-ไร้สติเเต่มีความสามารถ
ขั้นนี้เหมือนการขับรถ เมื่อเราขึ้นรถ เราสามารถขับรถออกไปโดยสัณชาตญาณ เช่นเดียวกับการเทรด คุณจะเทรดโดยสัญชาตญาณ เทรดเเบบ autopilot คุณไม่ตื่นเต้นไม่ว่าจะทำได้ 200 pips หรือ 1 pip นี่คือสวรรคของการเทรด–คุณได้บรรลุการเทรดเเบบไม่ใช่อารมณ์ความรู้สึกแล้ว บัญชีของคุณจะค่อยๆเติบโตขึ้น คุณเริ่มเป็นที่รู้จักของเทรดเดอร์ การเทรดเริ่มน่าเบื่อเพราะพอคุณทำอะไรได้ดี คุณก็จะเริ่มเบื่อไม่มีอะไรมาทำให้คุณได้รู้สึกเเข่งขัน คุณเริ่มหายจากห้องสนทนา คุณจะไม่พยายามเปลี่ยนเเปลงระบบเทรด เเต่จะพัฒนาระบบให้ดีขึ้น ตอนนี้คุณมีสัญชาตญาณในการเทรด คุณสามารถเรียกตัวเองได้เต็มปากว่า “forex trader” เเต่คุณไม่รู้สึกอะไร จะคิดแค่ว่าเป็นอาชีพอาชีพหนึ่งเท่านั้น คุณสามารถหาเลี้ยงครอบครัวด้วยเงินจากการเทรดเพียวอย่างเดียว

โปรดจำไว้ว่าเเค่ 5% ของเทรดเดอร์ที่สามารถถึงจุดนี้ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความฉลาด เเต่ขึ้นอยู่กับความสามารถที่จะเปลี่ยนความคิดและความหัวเเข็งของตัวเอง ความสามารถในการควบคุมอารมณ์และวินัย แน่นอนว่ามันต้องใช้เวลา แต่ก่อนที่คุณจะถอดใจ ขอให้คุณลองคิดดูว่าคุณจะยอมใช้เวลาไปโรงเรียนแห่งนี้สักกี่ปี ถ้าคุณรู้ว่าตอนเรียนจบวิชาเทรดจากโรงเรียนแห่งนี้ มีรายได้มากกว่าหนึ่งล้านต่อปีรอคุณอยู่ !!!!!

5 Level ในการเป็นเทรดเดอร์ค่าเงิน
ท่ามกลางโลกการเงินที่ไร้พรมแดน แม้ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายรองรับการเทรดค่าเงินเฉกเช่นเดียวกับในต่างประเทศ แต่กลับพบว่าประชากรของเทรดเดอร์ค่าเงินในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตอบสนองต่อแนวคิดเรื่อง freedom life freedom trader ที่เริ่มเป็นที่สนใจในประเทศไทยอย่างกว้างขวาง การเทรดเพื่อหาเลี้ยงชีพ หรือ trading for a living เริ่มซึมเข้าสู่กระแสเลือดของคนรุ่นใหม่ เนื่องด้วยข้อจำกัดของตลาดหุ้นในเมืองไทย ทั้งในแง่สภาพคล่อง platform หรือเครื่องมือที่ใช้ดูกราฟ รวมถึงการเล่นหุ้นในขาลงที่ไม่ยืดหยุ่นเนื่องจากมีต้นทุนในการ short sell ตลอดจนเงินทุนของมือใหม่ ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้เทรดเดอร์รุ่นใหม่เริ่มหันเข้าสู่ตลาดค่าเงินหรือ forex market ตลาดที่เซียนหลายคนต่างยอมรับว่าเป็นตลาดที่โหดที่สุด แต่ด้วยข้อดีในแง่ความยืดหยุ่นในการเทรด ความสามารถในการ leverage และ platform ที่พร้อมด้วยเครื่องมือที่สุดยอด รวมถึงช่วงเวลาในการเทรดที่ไม่เคยหมดเพราะเทรดได้ 24 ชั่วโมงทำให้เทรดเดอร์หน้าใหม่หลายต่อหลายคนก้าวเท้าเข้าสู่วงการ forex ด้วยความหวังที่จะร่ำรวยเหมือนเทรดเดอร์รุ่นพี่!!!!!

53
แรงบันดาลใจจากนักเทรดเดอร์ค่าเงิน "Effi Lang"

Effi Lang ได้พูดถึงเรื่องของ "เวลา" ว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่เราจะต้องคำนึงถึงตลอดการใช้ชีวิตของเรา เพราะเวลานั้นสามารถสร้างสรรค์ หรือ ทำลายเราได้ ( break or make you)


และสำหรับเขา เขาขอใช้เวลาเเห่งการเดินทางของชีวิตที่เหลือ ไปกับโลกเเห่งการเก็งกำไรที่เเสนจะซับซ้อน ซึ่งเขาพร้อมที่จะอุทิศเวลาในชีวิตทั้งหมดต่อไปจากนี้ เพื่อที่จะเข้าใจตนเอง เเละเข้าใจถึงธรรมชาติของตลาดการเงินอย่างเเท้จริง....

"ถึงแม้ว่าในโลกนี้อาจจะมีหลายๆ อาชีพ หลายๆงานที่น่าสนใจ เเต่มีงานจำนวนไม่มากนัก ที่จะสามารถสร้างความท้าทายให้กับชีวิตได้เท่ากับงานของเทรดเดอร์ เพราะการเทรดนั้นไม่ได้มีความหมายเพียงเเค่การหาเงินเท่านั้น เเต่มันคือศิลปะที่ต้องใช้ระเบียบวินัยอย่างถึงที่สุด ซึ่งคำว่า วินัยนั้นจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยทั้ง ความอดทน ทัศนคติบวก เเละเป้าหมายที่ชัดเจน !!!"

เขาเปรียบเปรยว่า "การที่เราจะเรียนรู้ของโลกการเทรดค่าเงิน มันก็เหมือนกับการที่เราเป็นนักเรียนที่ต้องศึกษาเรื่องราวในชีวิตของตัวเราเอง คุณต้องเข้าใจตัวเอง และที่สำคัญคุณต้องควบคุมตัวเองได้ มันเป็นบทเรียนด้านจิตวิทยาขั้นสูง ซึ่งจะทำให้เราสามารถหยั่งลึกเข้าไปในจิตใจของตัวเอง ซึ่งถ้าใครไม่ได้มีการเตรียมตัวให้พร้อม ก็จงอย่าเข้ามา เพราะตลาดแห่งนี้มันพร้อมจะสังเวยคุณอย่างเลือดเย็น"

เขายังกล่าวอีกว่า "จริงๆ แล้วศักยภาพของมนุษย์นั้นมีไม่จำกัด เเละศิลปะของการเทรดก็จะเป็นตัวช่วยพัฒนาจิตวิญญาณ ความคิด เเละเป็นหนทางที่จะดึงศักยภาพภายในของเราออกมาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะบทเรียนจากการเทรดจะสอนให้เราเรียนรู้ที่จะเอาชนะตนเอง ใครก็ตามในโลกนี้ที่สามารถชนะตนเองได้ ก็สามารถที่จะชนะในเรื่องอื่นๆได้ทุกอย่าง เเละทั้งหมดนี้ก็คือบทเรียนที่เราจะได้จากการเทรด"

โดย Effi Lang แนะนำว่าหนทางที่เร็วที่สุดที่จะทำให้เทรดเดอร์มือใหม่ประสบความสำเร็จในการเทรดนั้น คือเเผนการที่เป็นระบบ เราอาจจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาเป็นเดือน เป็นปี หรือเเม้เเต่เป็นเวลาหลายๆปี เเต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ให้เราเขียนเเผนการเทรด เเละจดบันทึกเป็นไดอารี่การเทรดทุกๆวัน เพราะมันเป็นหนทางที่เร็วที่สุด ที่เราจะเป็นเทรดเดอร์ที่เติบโตขึ้น

นอกจากนี้ Effi Lang ยังเขียนข้อความสำหรับผู้ที่เพิ่งจะก้าวเข้ามาในวงการเทรดเดอร์ ให้เป็นทั้งข้อเตือนใจและกำลังใจดีๆ ไว้ดังนี้

1.เราอาจจะต้องเสียเงิน
2.เราอาจจะต้องร้องไห้ในบางครั้ง
3.เราอาจจะรู้สึกถึงจุดวิกฤตที่สุดในชีวิต
4. ผู้คนรอบข้างอาจจะทำให้เรารู้สึกไม่ดีกับการเทรด
5. ความกดดัน เป็นสิ่งที่ต้องเจอเเน่นอน
6. บางครั้งเรารู้สึกอยากจะยอมเเพ้
7. อาจจะมีหลายครั้งที่เราอยากจะยอมเเพ้
8. เเละก็อีกหลายๆ ครั้ง
9. เเต่เราจะไม่มีวันยอมเเพ้ถ้าเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน เเละเหตุผลที่เราจะต้องสู้ต่อ
10.เราจะมีทั้งวันเทรดที่ดี
11.เราจะมีวันที่เทรดที่ไม่ดี
12.เมื่อเราสามารถเทรดจนกำไรเป็น 2 เท่าของรายจ่าย >>> เป็นสัดส่วนขั้นต่ำที่ดี เราไม่ควรจะจ่ายมากกว่า 50% ของเงินที่เทรดได้ ในกรณีที่รายได้เรามาจากการเทรดเป็นหลัก
13.เราจะทดลองหลายๆ ระบบเทรด
14.เราจะพยายามจะพัฒนาหาผลลัพธ์
15.เราจะพยายามทดสอบเป็น 100 indicators เพื่อว่าจะได้ผลการเทรดที่ดีขึ้น
16. เรื่องของการบันทึกการเทรดเป็นเรื่องสำคัญมากๆ มันคล้ายๆกับว่าเวลาที่เเม่ของเราบอกให้เรานอน- ถ้าเราทำตามเราก็จะมีสุขภาพที่ดี-เเต่ถ้าเราไม่ทำตาม เราก็จะมีสุขภาพที่ไม่ดี
17. อย่าโลภ
18. เทรดที่ Pips (หน่วยของ Forex) อย่าเทรดที่ตัวเงิน
19. ได้ 10 Pips ต่อวันถือว่าดี
20. ได้ 20 Pips ต่อวันถือว่ายอดเยี่ยม
21. ได้ 30 Pips ต่อวันถือว่า วิเศษมากๆ
22. เราต้องยอมรับ ขาดทุน - กำไร 50% 50% ให้ได้
23. มีความสุขกับชีวิต ออกกำลังกายบ้าง กิน นอนอย่างปกติ ยิ่งเรามีสุขภาพที่ดี เรายิ่งมีการเทรดที่ดีขึ้น
24. ทำตัวเป็นมืออาชีพ มีการพักเบรกบ้าง ให้เรามองการเทรดว่าเป็นธุรกิจหนึ่งของเราโดยที่เราเป็นทั้งพนักงาน เเละก็ลูกจ้าง
25. อย่าถอนเงินทั้งหมดจากบัญชีการเทรดของเรา ให้เราพยายามทบต้นขึ้นไป
26. ความอดทนเเละความเข้าใจคือหัวใจ ซึ่งมันเเตกต่างระหว่างการเทรดที่เราขาดทุน เเละการเทรดที่กำไร
27.เราต้องพยายามเรียนรู้ คนโง่มักจะเสียเงิน ในขณะเดียวกันคนฉลาดมักจะเป็นผู้ได้เงินในสนามการเทรด
28. เราต้องเตือนตัวเอง เเละรู้ตัวเสมอ ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
29. เวลาที่เราเทรดพลาด ให้ถามตัวเองว่าทำไม พยายามที่จะเรียนรู้เข้าใจจากการขาดทุนที่เกิดขึ้น
30. อย่าพยายามที่จะเทรดตามข่าว
31. ให้หยุดชั่วคราว ถ้ามีบางอย่างที่เราไม่สามารถอธิบายได้ด้วย Technical Analysis
32. ให้เรามี internet สำรองไว้ด้วย
33. อย่าเทรดเวลาที่เราเหนื่อย ดื่มมา ง่วง หรือว่าตอนที่อารมณ์ไม่ปกติ

แรงบันดาลใจจากเทรดเดอร์ค่าเงิน "Effi Lang"
วันนี้จะขอพูดถึงอาชีพเทรดเดอร์อิสระต่อจากบทความก่อนหน้า("เทรดเดอร์อิสระกับชีวิตที่ไม่ง่าย") แต่คราวนี้ขอพูดถึงเทรดเดอร์ค่าเงินโดยเฉพาะ (Forex Trader) เพราะปัจจุบัน กระแสการทำเงินผ่านอินเตอร์เน็ต การเทรดผ่านออนไลน์ โดยเฉพาะข้อดีของตลาดนี้ที่สามารถซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง เล่นได้ทั้งขาขึ้นและขาลงโดยไม่มีข้อจำกัด ใช้เงินลงทุนน้อย leverage ได้มาก ทำให้นักลงทุนรายย่อยเริ่มหันมาให้ความนิยมมากขึ้น ประกอบกับในบางจังหวะตลาดหุ้นมีอาการหมีตะครุบ รายย่อยจึงหันไปเทรดค่าเงินกันแทน

สำหรับในเมืองไทย การเทรดค่าเงินเริ่มเป็นที่สนใจอย่างแพร่หลาย แม้ว่ากฎหมายบ้านเรายังไม่ได้ให้การรับรองก็ตาม แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับรายย่อย เพราะโลกปัจจุบันเป็นโลกไร้พรมแดนที่เชื่อมต่อกันด้วยอินเตอร์เน็ต ดังนั้น การเปิดบัญชี รวมถึงการโอนเงินต่างๆ จึงดูสะดวกสบายไปหมด (ไม่เชื่อลอง search ใน google ดู แล้วคุณจะรู้ว่ามันง่ายจริงๆ) ทำให้การเทรดค่าเงินกลายเป็นทางเลือกใหม่ของผู้ที่ต้องการเรียนรู้โลกของการเทรด (แต่มากกว่าร้อยละ 90 หมดตัว เพราะตลาดค่าเงินได้ชื่อว่าใหญ่และโหดที่สุด!!!!!)


อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ว่าจะไม่มีคนประสบความสำเร็จในตลาดนี้ Effi Lang เทรดเดอร์ชาวบัลแกเรีย เป็นเทรดเดอร์ค่าเงินคนนึงที่สามารถหาที่ยืนอยู่ได้ในตลาดแห่งนี้ เขาเป็นเทรดเดอร์อิสระ และมีรายได้หลักมาจากการเทรดค่าเงินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น วันนี้ เราจึงขอพูดถึงEffi Lang เทรดเดอร์ที่ไม่น่าจะมีใครรู้จัก เพราะเขาไม่ได้เป็นเทรดเดอร์ชื่อดังอย่าง จอร์จ โซรอส หรือว่า จิม โรเจอร์ส แต่เขาก็ได้ให้มุมมองและแนวคิดสำหรับเทรดเดอร์ไว้อย่างน่าสนใจ

54
วันนี้มาขอนำเสนอเทคนิคการเทรดแบบมีปืนจ่อหัว



แน่นอนว่า เทรดเดอร์ forex อย่างเราๆ ย่อมชอบเทรดแบบง่ายๆ สบายๆ ไม่ชอบอ่านข่าว ไม่ชอบทำการบ้าน สนใจแค่กราฟรายนาที จนบางครั้งพวกเราลืมไปว่า ถ้าพวกเราไม่มีวินัย ไม่มีความระมัดระวังที่มากพอ พวกเราอาจที่จะเสียเงินทั้งหมดในบัญชีไปก็ได้  ดังนั้น ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป เราต้องหยุดพฤติกรรมแย่ๆ แบบนี้ให้ได้  เทรดเดอร์ส่วนใหญ่มักจะเข้าเทรดเพราะรอคอยรูปแบบที่พวกเขากำหนดไว้ไม่ไหว เพราะว่าพวกเขาอยากเทรด ซึ่งเป็นความผิดพลาดที่คุณจะต้องไม่ทำอย่างนั้น

บทความนี้ จึงต้องการบอกคุณถึงวิธีการที่จะทำให้คุณรอบคอบต่อการเทรดมากขึ้น เพื่อให้คุณสามารถรักษาชีวิตในการเป็นเทรดเดอร์ได้ตลอดรอดฝั่ง นั่นก็คือ คุณต้องตระหนักและคิดอยู่เสมอว่าคุณมี "ปืน" จ่อหัวคุณอยู่  ซึ่งมันจะทำให้คุณมีแรงผลักดันที่จะเอาใจใส่ต่อการเทรดมากขึ้นอย่างแน่นอน

นัยของการเทรดที่มีปืนจ่อหัวอยู่ มันจะปลูกฝังแนวคิดที่ว่า ถ้าการมีชีวิตรอดของคุณนั้นขึ้นอยู่กับการเข้าเทรดครั้งนี้ คุณจำเป็นที่จะต้องวิเคราะห์อย่างรอบคอบ คุณจะพยายามให้เกิดความผิดพลาดที่น้อยที่สุด คุณจะก้าวเดินในจุดที่มั่นใจที่สุดเท่านั้น

ถ้าคุณต้องการที่จะเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพ คุณจำเป็นต้องรัดกุมในการเทรด คุณต้องเทรดเหมือนกับว่า ชีวิตของคุณทั้งชีวิตขึ้นอยู่กับการเทรดครั้งนี้ คุณต้องจำให้ขึ้นใจว่า คุณพลาดไม่ได้ !!!! แต่ถ้าคุณยังอยากจะเทรดแบบเหมือนการพนัน เข้าๆออกๆ โดยไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยงแล้วก็ปล่อยให้ตลาดดูดเงินของคุณไปอีก อันนี้ก็ไม่รู้จะช่วยคุณได้ยังไงแล้ว

เทรดเดอร์มืออาชีพจะไม่ให้ความสำคัญกับการเทรดที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์ของพวกเขา มืออาชีพชอบที่จะรอให้มันเกิดรูปแบบอย่างสมบูรณ์จริงๆ ที่สำคัญต้องมีความน่าจะเป็นที่สูง พวกเขาไม่สนใจว่าวันนี้เขาจะทำเงินได้หรือไม่ เขาสนใจแค่ว่าสิ้นเดือนนี้ หรือสิ้นปีนี้ เขาต้องได้กำไร สิ่งนี้ทำให้มืออาชีพแตกต่างจากพวกมือใหม่ที่คอยแต่จะทำกำไรให้ได้ทุกๆ วัน มือใหม่พยายามหาโอกาสในวันที่แทบไม่มีโอกาสเลย ด้วยแนวคิดแบบนี้ทำให้มืออาชีพสามารถรักษาวินัย และ อดทนต่อการรอคอยโอกาส พวกเขาเทรดเหมือนกับว่ากำลังมีใครซักคนหนึ่งเอาปืนมาจ่อหัวเขา และ ตะคอกใส่พวกเขาว่า "ถ้าแกเทรดแล้วแกขาดทุน ชั้นจะเหนี่ยวไกทันที!!!!!! "

แต่อย่าเข้าใจผิด ว่าการเทรดแบบมีปืนจ่อหัว คือการทำให้ตัวคุณกดดันเวลาเข้าเทรด จริงๆ แล้ว แนวคิดนี้คือการจินตนาการว่า มีใครบางคนกาลังเอาปืนจ่อหัวคุณอยู่ และพวกเขาจะเหนี่ยวไกปืน ถ้าคุณขาดทุนในการเทรดนั้น ซึ่งหมายความว่า ถ้าคุณไม่เทรดคุณก็จะไม่เสียเงิน และถึงแม้ว่าคุณจะขาดทุนจริงๆ คุณก็ต้องรู้ว่ามันก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของเกมส์เท่านั้น เพียงแต่ก่อนที่คุณจะเทรด คุณต้องตระหนักถึงความเสี่ยงอย่างถึงที่สุดด้วยการจินตนาการถึงพี่เบึ้ม ร่างยักษ์ ในมาดนักเลงกำลังถือปืนจ่อหัวคุณอยู่นั่นเอง

ผู้เขียนหวังว่าหลังจากอ่านบทความนี้จบแล้ว ก่อนการเทรดครั้งต่อไป คุณจะเริ่มจินตนาการว่ามีใครซักคนกำลังเอาปืนจ่อหัวคุณอยู่ ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าวิธีนี้จะทำให้คุณ"ไม่" ติดบ่วงอารมณ์ของตัวเองอีกต่อไป......

ถ้ามีใครบางคนเอา"ปืน"จ่อหัวคุณ และบอกกับคุณว่า การเข้า order ครั้งต่อไปของคุณนั้น มันจะหมายถึงชีวิตของคุณว่าจะอยู่หรือตาย ถ้าคุณขาดทุนเขาจะเหนี่ยวไกทันที!!!! คุณจะทำอย่างไร ????? ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคำถามนี้จะทำให้คุณตระหนักอะไรบางอย่างได้.....ก่อนที่คุณจะตัดสินใจเปิด order

เทรดเดอร์มือใหม่หลายๆคน มักจะมีอกาารขี้เกียจทำการบ้านก่อนตัดสินใจเทรด พวกเขาจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับความเสี่ยง( Risk) ของแต่ละไม้ พวกเขามักจะลืมตัวว่า จริงๆแล้ว ทุกๆการเทรดแต่ละครั้ง มันจะส่งผลกระทบต่อยอดเงินในบัญชี และ ความสำเร็จของการเป็นเทรดเดอร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันไม่ใช่แค่การเทรดเพียง 1 ครั้ง แต่มันคือการเทรดตั้ง 1 ครั้ง ประเด็นสำคัญที่ต้องการจะสื่อ มันก็คือว่า ถ้าคุณขี้เกียจและขาดความระมัดระวังในการเทรดแม้เพียงไม้เดียว มันจะกระทบกับผลการเทรดรวม ความฝัน และชีวิตเทรดเดอร์ของคุณ !!!!!!

55
“Lack of Knowledge” ความผิดพลาดของเทรดเดอร์

ความผิดพลาดอันดับ 1 ของเทรดเดอร์ คือ
 คิดว่าตัวเองสามารถคาดเดาราคาได้เสมอ..... ส่งผลให้   “ไม่มีแผนตั้งรับที่มากพอ เมื่อถึงวันที่ราคามันคาดเดาไม่ได้ ต่อให้คุณจะเก่งซักแค่ไหน คุณก็ต้องเจ๊ง”

 ความผิดพลาดอันดับ 2 ของเทรดเดอร์ คือ
ไม่รู้จักประมาณตนเอง ว่าความสามารถของตนเองนั้น สามารถสร้างผลตอบแทนได้แค่ไหน... ส่งผลให้ “ไม่รู้ว่าตนเองสมควรใช้ Lot size ขนาดเท่าใดจึงเหมาะสมกับ ความสามารถ และขนาดของเงินทุนที่ตนเองมีอยู่จริง จึงทำให้โอเวอร์เทรดแบบไม่รู้ตัว” 


ความผิดพลาดอันดับ 3 ของเทรดเดอร์ คือ
การละเลยถึงความสำคัญในการจำกัดการขาดทุน หรือ Stop Loss ... ส่งผลให้ “ไม่รู้จักยอมแพ้ และพยายามต่อสู้กับสิ่งที่เราจะไม่มีวันชนะ(ตลาด) จึงทำให้ล้างพอร์ต”

ความผิดพลาดอันดับ 4 ของเทรดเดอร์ คือ
ไม่รู้จักอดทนในผลตอบแทน ที่กำลังงอกเงย คือไม่สามารถ Let Profit Run......ส่งผลให้ “ไม่สามารถทำกำไรได้คราวละมากๆ ทำได้เพียงแค่ทำกำไรได้ทีละนิด จึงไม่สามาร Cover ไม้ที่ขาดทุน สุดท้ายต้องท้อใจ และเงินหมดพอร์ตไปในที่สุด” 

ปัญหานี้จะเกิดขึ้นกับกลุ่มเทรดเดอร์ ในระยะเริ่มต้น จนถึงระยะกลาง เราเรียกปัญหานี้ว่า “Lack of Knowledge”

“Lack of Knowledge” มหันตภัยร้าย ของเทรดเดอร์
สำหรับคนที่กำลังท้อแท้ในเส้นทางเทรดเดอร์ คงกำลังสงสัยในความผิดพลาดของตัวเองที่เกิดขึ้น วันนี้ ผู้เขียนจึงอยากนำเสนอรูปแบบของความผิดพลาดที่มักเกิดขึ้นกับ เทรดเดอร์ฝึกหัด ที่กำลังพยายามจะเลื่อนขั้นให้ตัวเองอยู่ ลองอ่านกันดูว่ามีข้อไหนที่เกิดขึ้นกับตัวเองบ้าง

สุดท้ายขอฝากไว้สักนิด “ความพยายาม ความอดทน ความไม่ล้มเลิก ความรักในสิ่งที่ตนเองทำ ความศรัทธาในเป้าหมายของตนเอง”

56
forex สำหรับมือใหม่

ข้อมูลสำหรับผู้เริ่มต้นเทรด forex

หลังจากได้เริ่มเขียนบทความเกี่ยวกับเทรดเดอร์ค่าเงินมาไม่นาน ปรากฎว่ามีนักลงทุนหน้าเก่าในตลาดหุ้นไทย รวมถึงฟิวเจอร์ แต่เป็นหน้าใหม่ในตลาด forex ให้ความสนใจที่จะศึกษาการเก็งกำไรในตลาด forex รวมถึงผู้ที่ต้องการจะเป็น freedom trader กันหลายท่าน โดยได้ส่งเมล์เข้ามาถามถึงข้อมูลเกี่ยวกับตลาดที่กว้างใหญ่แห่งนี้ วันนี้เลยถือโอกาส สรุปข้อมูลเบื้องต้นให้เทรดเดอร์ค่าเงินมือใหม่ได้เข้าใจภาพรวมกันสักเล็กน้อย ^^


ฟอเร็กซ์ (Forex) คืออะไร
Forex (Foreign Exchange Market) หรือเรียกสั้นๆว่า FX เป็นตลาดในการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินต่างๆ ซึ่ง Forex เป็นตลาดที่มีการซื้อขายมากที่สุดในโลกกว่า 4 แสนล้านเหรียญสหรัฐต่อวันซึ่งมากกว่าตลาดหุ้นทั้งโลกมารวมกัน ตลาด Forex เปิดทำการตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ตลอด 24 ชั่วโมงและหยุดการซื้อขายในวันเสาร์อาทิตย์ ตลาดใหญ่ๆของโลกจะมีอยู่ 3 แห่งก็คือ ตลาดโตเกียว ตลาดลอนดอน และตลาดนิวยอร์ค ซึ่งเวลาทำการเมื่อเทียบกับเวลาประเทศไทยก็จะเป็นดังนี้ (ถ้าอยู่ในช่วงฤดูหนาวก็ให้เพิ่มอีก 1 ชั่วโมง)


ตลาดออสเตรเลีย (AUD) เวลา 5:00 – 13:00
ตลาดญี่ปุ่น (JPY) เวลา 7:00 – 14:00
ตลาดยุโรป (EUR) เวลา 13:00 – 21:00
ตลาดสวิส (CHF) เวลา 13:00 – 21:00
ตลาดอังกฤษ (GBP) เวลา 14:00 – 22:00
ตลาดอเมริกา (USD) เวลา 19.00 - 3:00

Leverage
Leverage จะเป็นตัวกำหนด Margin ที่เราใช้ในการเปิดออเดอร์แต่ละครั้ง Leverage โดยปกติจะมีให้เลือกตั้งแต่ 1:100 จนถึง 1:500 ยิ่ง Leverage มาก จำนวน Margin ที่ใช้ก็จะน้อยลง สำหรับจำนวน Margin ที่ต้องใช้ก็คิดง่ายๆก็คือที่ Leverage 1:500 ถ้าเราเทรดที่ 0.1 lot (1 pip เท่ากับ $1) จะใช้ Margin ประมาณ $20-$30 ถ้าเป็น Leverage 1:100 ก็จะใช้ Margin เท่ากับ $100 - $150 ซึ่งค่า Margin ที่ใช้ก็จะเปลี่ยนแปลงไปได้ตามราคาของสกุลเงิน สามารถคำนวณ Margin ที่ใช้ของคู่สกุลเงินต่างๆได้ที่ https://http://www.forexrazor.com/Tools/Resources/Forex-Margin-Calculator.aspx

Swap
Swap คือดอกเบี้ยที่เราจะได้หรือเสียไปเมื่อเราทำการเปิดออเดอร์ทิ้งไว้ข้ามคืน (ข้ามช่วงเวลาเที่ยงคืนตามเวลา Server ในโปรแกรม MT4) ค่า Swap ของแต่ละสกุลเงินสามารถเข้าไปดูได้ที่ MT 4 -> หน้าต่าง Market Watch -> คลิกขวา เลือก Symbols -> เลือกสกุลเงินที่ต้องการ -> กดปุ่ม Properties จะแสดงค่า Swap Long (ค่า Swap สำหรับออเดอร์ซื้อ) และ Swap Short (ค่า Swap สำหรับออเดอร์ขาย) มีหน่วยเป็น pip คืนวันเสาร์และอาทิตย์ไม่มีการคิดค่า Swap แต่จะไปทบในคืนวันพุธแทนซึ่งค่า Swap คืนวันพุธจะมีค่าเป็น 3 เท่าของค่า Swap ปกติ

สกุลเงิน
สกุลเงินหลักๆที่ทำการซื้อขายนั้นก็จะมีอยู่ 7 สกุลเงินด้วยกันก็คือ ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา (USD) ยูโร (EUR) ปอนด์ (GBP) เยน (JPY) ดอลลาร์แคนาดา (CAD) สวิสฟรังค์ (CHF) และดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD)

การซื้อขายสกุลเงินในตลาด Forex นั้นจะทำกันเป็นคู่ๆ (Currency Pair) ซึ่งคู่ของสกุลเงินหลักหรือที่เรียกว่า Major นั้น จะมีอยู่ 4 สกุลด้วยกันคือ GBP/USD, EUR/USD, USD/CHF, USD/JPY ซึ่งสกุลเงินที่อยู่ข้างหน้าจะเรียกว่า Base Currency และตัวหลังเรียกว่า Counter Currency เช่นคู่ GBP/USD ก็จะมี GBP เป็น Base Currency และ USD เป็น Counter Currency ส่วนความหมายนั้นก็ให้จำง่ายๆว่าตัว Base Currency จะมีค่าเป็น 1 เสมอ สมมติว่าราคาของคู่ GBP/USD เป็น 1.5000 ก็จะหมายความว่า 1 ปอนด์มีค่าเท่ากับ 1.5 ดอลลาร์

Pip
Pip คือจำนวนจุดที่น้อยที่สุดของคู่เงินนั้นๆ ตัวอย่างเช่นราคาของคู่ EUR/USD จะมีทศนิยม 4 จุด เช่น 1.3000 เพราะฉะนั้น 1 pip ก็จะมีค่าเท่ากับ 0.0001 ส่วนราคาของคู่ที่มีสกุลเงินเยนอยู่จะมีทศนิยม 2 จุด เช่นราคาของคู่ USD/JPY เป็น 110.00 ดังนั้น 1 pip ของคู่นี้ก็จะมีค่าเท่ากับ 0.01

Lot
ขนาดของสัญญาที่จะทำการซื้อขายกันนั้นเรียกว่า lot ซึ่งเป็นตัวกำหนดว่าแต่ละ pip ที่เราเปิดออเดอร์นั้นจะมีค่าเป็นกี่ดอลลาร์ โดยที่ 1 standard lot ทุกๆ 1 pip จะมีค่าเท่ากับ $10

Spread
Spread คือผลต่างของราคา Bid และ ราคา Ask หน่วยเป็นจำนวนจุด ซึ่งราคา Ask ก็คือราคาที่เราจะทำการซื้อและราคา Bid ก็คือราคาที่เราจะทำการขาย ซึ่งราคา Bid จะน้อยกว่าราคา Ask เสมอ ตัวอย่างเช่นคู่ EUR/USD มีราคา Bid เป็น 1.2540 ราคา Ask เป็น 1.2541 ดังนั้น Spread จะมีค่าเท่ากับ 1 จุด ซึ่ง Spread ก็เปรียบเสมือนกับค่าธรรมเนียมของโบรกเกอร์ที่คิดกับเรานั่นเอง ยิ่งมีค่าน้อยยิ่งดี

Margin
Margin เปรียบเสมือนกับค่ามัดจำที่เราต้องใช้ในการเปิด Order แต่ละครั้ง และก็จะเพิ่มกลับเข้าไปในบัญชีเหมือนเดิมเมื่อทำการปิดออเดอร์ ยิ่งใส่จำนวน Lot ในการเปิดออเดอร์มากเท่าไหร่ จำนวน Margin ที่ใช้ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น

57
forex ต่างกับ หุ้น อย่างไร

Forex คือ ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราสากล Foreign Exchange Market เรียกโดยย่อว่า “FOREX” เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่สุดในโลก ด้วยปริมาณการซื้อขาย 4-7 ล้านล้านเหรียญต่อวันตลาดForex ถูกจัดอยู่ในประเภท Over the Counter (OTC) คือ มีศูนย์กลางของตลาดมากกว่า 1 แห่ง โดย ตลาดทั้งหมดสื่อสารด้วยระบบอีเลคทรอนิค ภายใต้เครือข่ายของธนาคาร ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งแตกต่างกับตลาดหุ้นที่อยู่ภายใต้ตลาดหลักทรัพย์ของประเทศนั้นๆ
ตลาด Forex เปิดทำการตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ตลอด 24 ชั่วโมงและหยุดการซื้อขายในวันเสาร์อาทิตย์ ตลาดใหญ่ๆของโลกจะมีอยู่ 3 แห่งก็คือ ตลาดโตเกียว ตลาดลอนดอน และตลาดนิวยอร์ค

คราวนี้เรามาดูกันว่ามันแตกต่างจากหุ้นอย่างไร

ในตลาด Forex สินค้าคือ สกุลเงิน
ในตลาดหุ้น สินค้าคือ หุ้น

ยกตัวอย่างการเช่น
เรามีหุ้น CP ในมือก็หมายถึง เราเป็นเจ้าของบริษัท CP ด้วยในสัดส่วนตามจำนวนหุ้นที่ถือ

เปรียบเทียบกับการเงินเอา 100,000 บาท ไปซื้อเงินยูโร เราก็ได้แค่เงินยูโร แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของอะไรเลย

ในตลาด Forex ไม่มี “มูลค่าที่แท้จริง” ที่เหมาะจะเป็นการลงทุนให้ได้ผลงอกเงยเหมือนกับหุ้นที่เมื่อเวลาผ่านไป บริษัทเติบโตขึ้น ขยายงานมากขึ้น มียอดขาย มีกำไร ก็มีการปันผลออกมาให้ผู้ถือหุ้น ถึงแม้ว่าราคาจะไม่ได้วิ่งไปไหนเลยก็ตาม… แต่ใน Forex คุณจะได้ผลตอบแทนก็ต่อเมื่อ ราคาวิ่งไปในทางที่คุณเปิดไว้ ( ถ้า Buy ก็ต้องให้ราคาวิ่งขึ้น ในทางกลับกัน ถ้า sell ก็ต้องให้ราคาวิ่งลง จึงจะได้กำไร) ไม่มีเงินปันผลใดๆ ทั้งสิ้น

ดังนั้น ตลาด Forex จึงเป็นตลาดสำหรับเกร็งกำไรซะเป็นส่วนใหญ่
เทรดเดอร์ Forex ทำเงินได้จากการเกร็งทิศทางตลาด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าในตลาดหุ้นไม่มีการเกร็งกำไรเลย เพียงแต่ผู้เล่นหลักในตลาดหุ้น จะเป็นกลุ่มนักลงทุนที่มองหาการลงทุนระยะยาว และเงินทุนเติบโตงอกเงยไปกับการเติบโตของบริษัทมากกว่า

เนื่องด้วยตลาด Forex ได้เป็นที่สนใจของเหล่านักลงทุนจำนวนมาก จึงมีการศึกษาเกี่ยวกับการเทรด Forex  เผยแพร่ทั้งบนหนังสือ อีบุ๊ค และอินเทอร์เน็ต แต่ทั้งนี้ก็ยังมีข้อสงสัยเกี่ยวก็ Forex อีกมากมาย เนื่องจาก Forex นั้นมีวิธีการเทรด และหน้าตาคล้ายกับหุ้นบุริมสิทธิ์มากเหลือเกิน จึงมีคำถามว่า Forex ต่างกับหุ่นอย่างไร และ Forex ดีกว่าหุ้นยังไง วันนี้เราได้ค้นคว้าข้อมูลมาให้นักลงทุนที่สนใจจะหากำไรจาก Forex มาเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งข้อแตกต่างระหว่างหุ้นกับ Forex ก็คือ หุ้นนั้นจะต้องมีการลงทุนที่สูง แต่มีสภาพคล่องที่ต่ำกว่า Forex อีกทั้งยังต้องวิเคราะห์สถานการณ์หลายๆอย่างที่เป็นปัจจัยในการขึ้นลงของหุ้น ซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับนักลงทุนมือใหม่ซักเท่าไหร่นัก และมีความเสี่ยงที่สูงตามไปด้วย แต่ในส่วนของ Forex นั้น นักลงทุนสามารถเริ่มลงทุนได้ตั้งแต่  10$ ขึ้นไป ซึ่งเป็นต้นทุนที่ต่ำกว่าหุ้นมาก และมีสภาพคล่องที่สูงกว่าหุ้น อีกทั้งมือใหม่ทั้งหลายยังสามารถเปิดพอร์ทเงินปลอม เพื่อเป็นการหัดเทรดเพื่อสร้างความมั่นใจในการลงทุนได้ก่อนอีกด้วย และด้วยเงินลงทุนที่ต่ำกว่าของ Forex จึงทำให้มีความเสี่ยงต่ำ และสามารถเป็นที่เข้าถึงของบุคคลทั่วไปได้ง่ายกว่าหุ้นบุริมสิทธิ์

แล้ว Forex ดีกว่าหุ้นยังไง?  ด้วยเหตุผลนานัปการที่ทำให้นักลงทุนต่างหันมาสนใจในการลงทุนเทรด Forex นั้น หลักๆก็คือผลประโยชน์ที่จะได้รับ และที่สำคัญในการเทรด Forex นั้น ไม่มีค่าคอมมิชชั่น ไม่มีค่าแลกเปลี่ยน ไม่มีค่าเคลียริ่ง ไม่มีค่าโบรกเกอร์ ไม่มีค่าธรรมเนียมใดๆ เหตุที่การเทรด Forex ไม่มีค่าโบรกเกอร์นั้น เป็นเพราะ โบรกเกอร์จะได้รับค่าตอบแทนจากอัตราค่าต่างของราคาเสนอขายและราคาเสนอซื้อ หรือเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่า bid-ask spread นั่นเอง ต่อด้วยที่ในตลาด Forex นั้น ไม่มีพ่อค้าคนกลาง นักลงทุนสามารถเทรดได้โดยตรงในตลาดสปอต ที่รับผิดชอบตามราคาที่กำหนดในชาร์ตอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินนั่นเอง อีกทั้งการเทรด Forex นั้น ไม่จำกัดขนาดของ lot ในตลาดเทรด และค่าเสปรดต่ำสามารถทำการเทรดได้ตลอด 24 ชม. อีกทั้งยังไม่สามารถปั่นตลาดได้เหมือนกับหุ้นบุริมสิทธิ์ และที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้ Forex ดีกว่าหุ้นคือ เป็นแหล่งเงินที่คล่องตัวที่สุด มีการหมุนเวียนเงินตลอดเวลานั่นเอง

Forex  ตลาดการเทรดค่าเงินที่ป็อบปูล่าที่สุด และใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีการซื้อขายสกุลเงินในตลาด Forex อยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่จันทร์-ศุกร์ ซึ่งเทรดโดยบุคคลทั่วไปที่สนใจอยากเป็นนักลงทุน หรือองค์กรต่างๆทั่วโลก โดยหน้าเคาน์เตอร์ หรือ OTC สมาชิกผู้เทรดจะต้องตัดสินใจว่าจะเลือกเทรดสกุลเงินของประเทศใด ซึ่งปัจจัยในการตัดสินใจก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ความมั่นคง ความน่าเชื่อถือของราคารวมทั้งประวัติของสกุลเงินนั้นต่ออีกสกุลเงินหนึ่ง โดยสกุลเงินที่ได้ความนิยมจากนักลงทุนมากที่สุดคือ ดอลลาร์สหรัฐ (USD) ,ยูโร(EUR) และเยน (JPY) ตามลำดับ

*หุ้นเทรดเฉพาะตอนตลาดหุ้นเปิด บ่อนฟอเรคแทงเสียกัน 24 ชั่วโมงในวันทำการ
*ฟอเรคเทรดกันไวกว่าหุ้นมาก ไวกว่าฟิวเจอร์ด้วย
*ฟอเรคมี leverage แต่หุ้นไม่มี
*liquidity ของฟอเรคสูงมาก
*สินค้าฟอเรคน้อยกว่าหุ้น
*ฟอเรคเล่นได้ทั้งขึ้นและลง หุ้นทำไม่ได้
*ฟอเรเร็วกว่า แต่ก็หมดตัวเร็วกว่า
*ข่าวบริษัทจะมีผลต่อราคาหุ้น ข่าวเศรษฐกิจจะมีผลต่อฟอเรค (GDP retail-sales industrial-production CPI)

Forex - รวยไวเจ๊งไว เพราะไม่สนมูลค่าอะไรทั้งนั้น เป็นการเกร็งกำไรเน้นๆ หลายคนเจ๊ง หลายคนรวย จากตลาดนี้มากมาย
หุ้น - เต่า แต่มั่นคง เป็นการลงทุนแท้จริง เมื่อคุณซื้อหุ้นคุณได้เป็นเจ้าของกิจการจริงๆ สามารถถือยาวๆจนลืมไปเลยก็ได้ แต่ทำกำไรช้า
สิ่งที่ตลาด Forex โดดเด่นก็คือ คุณไม่จำเป็นต้องมีเงินทุนมากมายก็สามารถทำกำไรมากมายได้ด้วยระบบ Leverage กลับกันตลาดหุ้นหากคุณไม่มีเงินทุนถึงหลักแสนคุณเล่นไปแทบจะไม่เห็นเม็ดเงินเลย เพราะไม่มีระบบ leverage ให้คุณทำกำไรมากโขได้นั่นเองครับ

หุ้นเนี่ย เมื่อเราถือส่วนแบ่งแล้ว มันอาจจะราคาตกได้ แต่ตกแค่ไหนมันก็ยังมีมูลค่าอยู่ ขายแล้วก็ยังได้อะไรคืนมาบ้าง

FOREX เวลาวิ่งสวนทางกับ order ของเราจะไม่มีข้อจำกัดแบบนั้น... มันวิ่งไปได้เรื่อยๆ จนเงินเราเป็น 0 ไปแล้วมันก็ยังวิ่งต่อได้

แม้ FOREX จะเร็วกว่า แต่หุ้นเวลามีดาวเด่นขึ้นมา มูลค่าเพิ่มแบบ FOREX ไม่ติดฝุ่นก็มี
เหมือนหุ้น CZI ของออสเตรเลียที่เพิ่งพุ่ง 300% ในชั่วข้ามคืนมาหยกๆ

58
วันนี้ทีม admin ขอเสนอโปรแกรมเทรด MetaTrader 4 (MT4)

โปรแกรมเทรดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

MetaTrader 4 ให้อิสระในการใช้กลยุทธ์ในการซื้อขายได้มากที่สุด เทรดเดอร์จากทั่วโลกสร้างที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ (EA) จำนวนมากสำหรับเครื่องมือการซื้อขายนี้ ลูกค้าที่ชอบการซื้อขายฟอเร็กซ์แบบใช้อัลกอริทึมสามารถนำที่ปรึกษาไปปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยซื้อขายบนเซิร์ฟเวอร์ Exness Exness ขอเสนอ MetaTrader 4 สำหรับคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปแบบดั้งเดิมเช่นเดียวกับแพลตฟอร์มทางอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่เป็นที่นิยมที่สุด

MetaTrader4 (MT4) ที่ FXCL Markets ท่านจะได้เทรดกับโปรแกรมเทรด MetaTrader 4 (MT4) ซึ่งเป็นโปรแกรมเทรด Forex ที่มีคนใช้มากที่สุดในโลก ซึ่งโปรแกรมเทรดนี้มีฟีเจอร์ต่างๆมากมากที่จะช่วยให้ท่านตัดสินใจในการเทรด Forex ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้การเทรดยังทำได้ง่ายไม่ซับซ้อน กรุณาอ่านรายละเอียดโปรแกรมเทรด MT4 โปรแกรมเทรด MetaTrader4 จะช่วยให้ท่าน: สามารถทดสอบกลยุทธ์การเทรด Forex ต่างๆได้ สามารถใช้ Expert Advisor (EA) และอินดิเคเตอร์ (Indicator) ต่างๆได้ สามารถเลือกประเภทของกราฟตามที่ท่านถนัดได้ สามารถทดลองเทรดบนบัญชีเดโมซึ่งเหมือนกับบัญชีจริงได้ สามารถเทรดสกุลเงินและโลหะมีค่า (แร่เงิน, ทองคำ) ได้

การดำเนินการซื้อขาย
เครื่องมือการซื้อขายช่วยให้ส่งคำสั่งซื้อขายฟอเร็กซ์ได้มากประเภทที่สุด และมีการดำเนินการคำสั่งซื้อขาย 2 แบบ การดำเนินการในทันทีและการดำเนินการตลาด

การวิเคราะห์
เทรดเดอร์สามารถวิเคราะห์เชิงเทคนิคได้โดยใช้เครื่องมือมากมาย รวมถึงเครื่องบ่งชี้และสคริปต์ ลูกค้า Exness ทุกคนจะได้รับข่าวการเงินจากผู้ให้บริการข่าวสารชั้นนำของโลก รวมถึงเครื่องบ่งชี้การวิเคราะห์ทางเทคนิค TC จาก Trading Central สำนักวิเคราะห์ระดับนานาชาติ

ความปลอดภัย
การป้องกันข้อมูลลูกค้าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับ Exness การสื่อสารทั้งหมดระหว่างเซิร์ฟเวอร์และเครื่องมือการซื้อขายผ่านทางอินเทอร์เน็ตจะเข้ารหัสลับโดยใช้คีย์ 128 บิต

การซื้อขายอัตโนมัติ
ต้องขอบคุณโปรแกรมพิเศษที่ชื่อที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ (EA) ที่ทำให้การดำเนินการวิเคราะห์และซื้อขายในตลาดฟอเร็กซ์ทำได้โดยอัตโนมัติอย่างสมบูรณ์ คุณสามารถใช้ MetaQuotes Language 4 สร้างหุ่นยนต์ซื้อขายและสคริปต์ของตัวเองได้ การนำเข้าที่ปรึกษาใหม่ก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที

https://www.youtube.com/watch?v=CP06ddQ1hNs

59
วันนี้ทางแอดมินมี ข้อแนะนำในการเริ่มต้นเล่นหุ้น Forex

การจะเริ่มต้นเทรดนั้นก็คงมาจาก
คุณหาพอร์ทจำลองของโบรกใหนก็ได้ มาทดสอบ ไปเรือย ๆ อย่าใจร้อน ผมให้คุณทดลองเทรดควรใช้เวลา 3 เดือน ถึง 1 ปีหรืออาจมากกว่านี้
เมื่อคุณเริ่มชำนาญแล้วให้คุณเปิดพอร์ทจริง เป็นบัญชี MINI หรือบัญชีเซนต์การลงทุนไม่ควรเกิน 10 $ หากพอร์ทเกิดความเสียหาย ให้คุณเริ่มต้นใหม่ในบัญชีเดิม จนกว่าพอร์ทคุณจะคงที่ ผลงานการเทรดเริ่มทรงตัว ไม่ได้แต่ก็ไม่เสีย มันเป็นสัญญาณที่ดี คุณอาจใช้เวลาเป็นปีกว่าจะถึงขั้นนี้
เมื่อคุณมั่นใจมากขึ้นคุณก็ลงทุนมากขึ้น แต่ก็ต้องระวังมากขึ้น
อย่ากลัว อย่าใจร้อน "เย็นสุขุมและรอบครอบมันเป็นหัวใจของการเทรด"
รู้จักตัดขาดทุนเมื่อคุณซื้อผิดทางอย่าเสียดายไม่ยอมปล่อยขายทิ้งมันทำให้คุณหมดได้สู้ตัดขาดทุนเหลือทุนไว้แก้คืนจะดีกว่าครับ
คุณรักษาทุนในพอร์ทไว้ได้นานที่สุดนั่นแหละคนเก่ง ส่วนกำไรนะคิดทีหลังทุนในพอร์ทคุณเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด
อย่าท้อห้ามถอยขอให้คุณสู้ต่อไปเลื่อย ๆ ก็ลงทุนให้น้อยลงหรือกลับไปเล่นบัญชีเซนต์ใหม่เพื่อเรียกความมั่นใจของคุณหากเกิดความเสียหายครับ
ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถของคุณหรอกครับผมเชื่ออย่างนั้น
กลยุทธและการลงทุน


1.ยอมรับความจริงให้ได้หากเกิดการสูญเสียเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในการเริ่มต้นเทรดควรจะตระหนักว่าไม่มีใครไม่เคยมีการสูญเสียในตลาดสกุลเงินกฎพื้นฐานก็คือการรักษากำไรให้ได้ และขาดทุนน้อยที่สุด นักเทรดที่เก่งไม่ได้หมายความว่าคุณเทรดได้มากได้เงินจำนวนมาก แต่นักเทรดที่คือคุณสามารถรักษาเงินทุนของคุณได้ยาวนานที่สุดไม่ใช่เมื่อลงทุนไปแล้วท้อถอยไม่สู้ทำใจไม่ได้เมื่อเกิดการสูญเสียแล้วเลิกเทรดไปเลยเสียดายความรู้และประสบการณ์ที่คนอื่นไม่มีโอกาส

2.การเข้าซื้อนั้นต้องมีความคิดอย่างรอบคอบทุกครั้งอย่าใจเร็วก่อนที่คุณจะเริ่มต้น การซื้อขาย,คุณควรจะกำหนดปริมาณเงินของคุณเองที่จะสูญเสียเท่าไร (stoploss)และสิ่งที่คุณคาดหวังกำไร(take profit)เท่าไร และควรมีเป้าหมายอย่างชัดเจน

3.อย่ากลัวความไม่แน่นอนของตลาดเงินตรานักเทรดจำนวนมากกลัวความไม่แน่นอนและความเสี่ยงของตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ผู้ที่สามารถเอาชนะใจตัวเองได้ รางวัลคือเงินเพิ่มขึ้นในพอร์ทของคุณ

4.ความรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของคุณเชื่อมั่นตัวคุณเองอย่าเชื่อคนอื่น เมื่อคุณกำหนดแผนของการลงทุนไว้แล้ว ควรปฏิบัติตามแผนนั้นอย่าเคร่งครัด เมื่อกำไรหรือขาดทุน คุณก็ควรทำใจให้เป็นกลางอย่าดีใจหรืออย่าเสียใจ ถ้าอารมณ์คุณผิดปกติเมื่อคุณจะตัดสินใจซื้อครั้ง ต่อไปและจะเกิดการผิดพลาดได้ควรหยุดเล่นไปก่อน

5.อย่าให้ความโลภใช้เวลามากกว่าเมื่อเริ่มซื้อประสบความสำเร็จมีกำไรคุณตามเป้าหมายแล้ว อย่าเด็ดขาดอย่าคิดว่ามันน่าจะไปอีกให้รีบขายเอากำไรทันที

6. อย่าคิดว่าขออีกหน่อย นั่นเป็นหายนะของคุณ เพราะคุณไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเอง ไม่มีวินัยต่อตนเอง จริงแล้วผมเองก็เป็นประจำขออีกนิดนะ ในที่สุดติดลบจนได้ นั่งเสียดายทีหลัง“รู้อย่านี้ขายเอากำไรไปก่อนสะก็ดี555!เจ็บตัวอีกแล้ว”

7.หากวันนั้นเริ่มต้นไม่ดีให้ถอยออกมาทันทีหรือไม่ก็หยุดเล่นวันนั้นไปเลยไม่ควรคิดเอาคืนทันทีไม่เช่นนั้นอารมณ์ขาดการควบคุม พาลจะเสียต่อได้

8.อารมณ์สาเหตุของการสูญเสียมักจะตั้งอยู่ใน ประมาทมากเกินไปปิดอารมณ์ ในระหว่างการ ซื้อขายในการแผนของคุณและอย่าลืมที่จะกำหนดคำสั่งstoplossเพื่อหยุดการสูญเสียและต้องทำใจให้ได้อย่าปล่อยไปโดยไม่รู้ทิศทางว่าจะกลับมาที่เดิมเมื่อไหร่มันน่ากลัวตัดขาดทุนแล้วเริ่มต้นใหม่โอกาสเอาคืนนั้นมีทั้งวัน

9.แนวโน้มเพื่อนของคุณอย่าเชื่อเพื่อน เอาตัวคุณเป็นที่ตั้งได้ก็ตัวเราเสียก็ตัวเรา

10.เทรดหลายครั้งชนะติดต่อกันเกิดความมั่นใจมาขึ้น ก็เลยเพิ่ม เงิน มากขึ้นตามลำดับแต่พอตลาดเปลี่ยนทิศทางกลับกลายเป็นกำไรที่ได้มาหมดไปในพริบตาแถมยังขาดทุนเข้ามาแทน ที่ก็เลยลดเงินทุนน้อยลงเพราะขาดความมั่นใจและเกิดความกลัวเมื่อตลาดถูกทิศทางก็เลยได้คืนน้อยได้ไม่คุ้มเสียทำให้พอร์ทเสียหายเหตุเกิดจากไม่มีวินัยในตัวเองและไม่ควบคุมอารมณ์ตัวเราเอง

ข้อแนะนำในการเริ่มต้นเล่นหุ้น Forex

คำถามมาอันดับแรกคือ เราจะเล่นอย่างไร จะเริ่มต้นอย่างไร แล้วต้องลงทุนมากขนาดใหน แล้วผลกำไรเป็นอย่างไร ไม่มีพื้นฐานเลยจะเล่นได้ไหม หากคุณสงสัยไม่ลงมือทำคุณอีกนานกว่าคุณจะรู้ หรือไม่มีมีโอกาสได้รู้เลย


ข้อดีของการเล่น FOREX
มีพอร์ทจำลอง DEMO ให้คุณทดลองเทรด มีเงินทุนให้นักลงทุนซ้อมเทรด 100,000 $ Leverage 1:2000 โดยแค่กรอกชื่อ-นามสกุล และ email เท่านั้นคุณก็สามารถ Downlond พอร์ท Demo มาซ้อมได้แล้ว เปิดพอร์ท Demo ใช้เงินปลอมคุณจะใช้เวลาทดลองเทรด กี่เดือน กี่ปี ก็ย่อมได้จนกว่าคุณจะเข้าใจ forex หมั่นฝกฝน หาความรู้ตามเว็บต่าง ๆ หาเทคนิคที่คุณชอบเทรดทีไรก็ได้ไว้เป็นอาวุธของคุณ หรือถามคนที่รู้ ที่มีประสบการณ์ในการเทรด forex
เงินทุนในการเริ่มต้น 1 - 10 $ และคุณไม่เคยเทรดเงินจริง ห้ามลงทุนเกิน 10 $ ถึงแม้ว่าคุณจะเทรด DEMO ชำนาญแล้ว ที่บอกแบบนี้เพราะเป็นห่วง
อารมณ์และความรู้สึกในการเทรดเงินจริงแตกต่างกับเงินปลอมโดยสิ้นเชิง คุณยังควบคุมอารณ์ไม่ได้ห้ามยังไม่สมควรลงทุนมากเพราะจะทำให้เงินในพอร์ทคุณเสียหายได้
การโอนเงินเข้าพอร์ทง่ายและเร็ว โดยฝากเงิน ถอนเงิน ผ่าน E-currency , Internet Banking, 7-11 และอื่น ๆ อีกมากมาย หรือช่องทางอื่นก็ได้
การโอนเงินกลับก็ง่ายและรวดเร็วเช่นกันบางโบรกเกอร์ใช้เวลาไม่ถึงนาทีเงินก็กลับมาเข้าบัญชีคุณแล้ว หากให้แนะนำก็มี EXNESS ที่โอนเงินได้ทันใจ คุณโอนกลับมาใช้ทุกวันก็ได้ ส่วนโบรกอื่นก็อาจภายใน 24 -48 ช.ม. แต่อย่างไงก็ได้เงินหากคุณต้องการถอน
ข้อเสีย ส่วนใหญ่เกิดจากตัวคุณเอง
การควบคุมอารมณ์ในการเทรดไม่ได้ เช่นเห็นมันไม่ไปทิศทางที่เราต้องการเกิดความกลัว รีบตัดขาย สรุปมันมาที่เดิม และให้กำไรคุณด้วยเกิดความเสียดาย
เห็นมันกำลังฝันผวน กลัวไม่ได้เงินรีบเข้าซื้อโดยลืมไปว่ามันผันผวนอยู่นะต้องดูทิศทางให้ดีก่อน ไม่งั้นก็โดนอีกรอบสอง
มีวินัยต่อตนเอง ตั้งกฏของตัวเองจากประสบการณ์ที่เราเคยเทรด เรามีข้อบกพร่องตรงไหน เราเคยเสียอย่างไร เขียนไว้เป็นกฏของตนเอง แล้วปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

60
วันนี้ admin ขอนำเสนอเรื่อง forex โบรกเกอร์ ECN/STP คืออะไร ใช้อย่างไร



ข้อดีของการเปิดโบรกเกอร์ ECN/STP

1.ข้อดีประการแรกคือ การสั่งคำสั่งซื้อหรือขาย สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว และเร็วกกว่าโบรกเกอร์ในรูปแบบอื่นๆ โดยสามารถที่เร็วก็มาจากความเร็วในการส่งคำสั่งที่ไม่ต้องผ่านตัวกลางคือโบรกเกอร์นั่นเอง

2.สามารถได้ราคาตรงกับราคาตลาดจริง เรื่องนี้ถ้าใครเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ประเภท DD แล้วจะสามารถเทียบความแตกต่างได้ทันทีครับ กล่าวคือหากเราเปิดบัญชีโบรกเกอร์ ECN/STP เราสามารถได้ราคาตามที่กดคำสั่งซื้อได้ตามราคาตลาดเลย

3.ไม่มีอาการรีโควท อาการนี้ผู้เขียนถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายมากที่สุด เพราะว่ามันทำให้เรานั้นไม่สามารถเทรดได้ตามราคาที่ตนเองต้องการ แต่ภายหลังจากที่ทำการเทรดเรียบร้อยแล้ว

ใครควรใช้โบรกเกอร์ ECN/STP

1.คนที่มีประสบการณ์ในการเทรดมากๆ หรือเป็นมืออาชีพแล้ว เพราะว่าการเทรดแบบนี้นั้นจะมีผลมากหากเป็นการเทรดด้วยมืออาชีพ และมีความเชี่ยวชาญในการอ่านและการใช้เครื่องมือหมดแล้ว

2.คนที่มีทุนค่อนข้างสูง อย่างน้อยก็ควรมีอยู่ที่ประมาณ 500 เหรียญขึ้นไป (ซึ่งปกติแล้วโบรกเกอร์ ECN/STP มักจะมีการบังคับที่ยอดจำนวนเท่านี้อยู่แล้ว)

บทสรุป

ในมุมมองของผู้เขียนมองเห็นว่า การที่คุณจะเปิดบัญชีแบบใดหรือว่าเป็นประเภทใดก็ตาม ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการและความเหมาะสมเป็นสำคัญนะครับ เช่นถ้าเรามีเงินทุนในบัญชีไม่มากนัก อาจไม่ถึง 100 เหรียญอย่างนี้การเลือกโบรกเกอร์ ECN/STP อาจไม่ใช่คำตอบสำหรับการเทรดของคุณ ดังนั้นจงเลือกบัญชีที่เหมาะสมกับความเป็นตัวของเราจะดีที่สุดครับ

โบรกเกอร์ ECN/STP คืออะไร

ประเภทของโบรกเกอร์แบบต่อมาที่เราจะมาศึกษากันคือโบรกเกอร์ ECN/STP ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าคุณจะต้องพบเจอโบรกเกอร์ ECN/STP คำนี้อยู่พอสมควรทั้งจากโบรกเกอร์ที่คนไทยนิยมมากอย่าง Exness หรือโบรกเกอร์อย่าง FBS เป็นต้น ทำให้สงสัยว่าโบรกเกอร์ ECN/STP เป็นอย่างไรและมีประโยชน์กับนักเทรดอย่างไร ดังนั้นบทความนี้เรามาศึกษาถึงโบรกเกอร์ ECN/STP กันครับ

โบรกเกอร์ ECN/STP คืออะไร

ความหมายของ โบรกเกอร์ ECN/STP คือ โบรกเกอร์ที่เมื่อคุณเปิดบัญชีและทำคำสั่งซื้อ หรือขายแล้ว ระบบจะไม่มีการเก็บข้อมูลเข้ามาที่โบรกเกอร์ก่อนส่งคำสั่งออกไปยังส่วนกลาง คือระบบของโปรแกรมเทรด ทำให้คำสั่งซื้อสามารถแมต์กับราคาในตลาดได้อย่างรวดเร็ว ไม่เกิดอาการรีโควต โดยโบรกเกอร์ ECN/STP มักจะถูกเปิดโดยนักเทรด forex แบบมืออาชีพแล้ว

โบรกเกอร์ forex ประเภท ECN/STP  คือโบรกเกอร์ที่ใช้ระบบการส่งคำสั่งตรงเข้าตลาดโดยยึดเอาราคาจาก MT4 เป็นหลัก การซื้อขายจะซื้อที่ละเป็นล็อตใหญ่ๆ ทำให้ได้ราคาที่ดี ไม่รีโควต หรือมีรีโควตที่น้อยมากๆ ค่าคอมมิชชั่นจะคิดเป็น …$ / 100,000$

โบรกเกอร์ประเภท ECN หรือบัญชีประเภท ECN มีข้อดีคือ  เร็ว  ซื้อขายได้อย่างรวดเร็ว   ได้ราคาจริงตามตลาดหรือราคาที่ใกล้เคียงที่สุด   แต่ข้อเสียก็คล้ายๆกับโบรกเกอร์ประเภท DMA คือ ต้องใช้เงินเปิดบัญชีสูงส่วนใหญ่ 500$ ขึ้นไป  exness 300$   ข้อเสียอีกอย่างคือ โบรกเกอร์มักจะให้เลเวอร์เลจต่ำ ไมเกิน 1:200 สำหรับบัญชีประเภทนี้

โบรกเกอร์ หรือบัญชี ECN เหมาะกับมืออาชีพครับ ตอนนี้น่าจะเป็นที่นิยมที่สุดสำหรับเทรดเดอร์ประเภทเดย์เทรด

แนะนำโบรกเกอร์ที่มีบัญชี ECN บางส่วนเพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจครับ

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 14
SMF 2.0.15 | SMF © 2011, Simple Machines
SMFAds for Free Forums