แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - นักศึกษา22

หน้า: 1 ... 10 11 [12] 13 14
166
ตกรถ คงเป็นคำที่น่ากลัวสำหรับนักเทรดอย่างเรา เอาเป็นว่าใครไม่อยากตกรถ ลองมาอ่านบทความนี้ดูกันนะครับ

วิธีแก้การ ตกรถ,ตกขบวน
สำหรับวิธีการแก้ปัญหาเมื่อคุณตกรกหรือตกขบวนคือ



1.ใช้ EA เข้ามาช่วยในการเทรด

การเลือกใช้ EA เข้ามาช่วยในการเทรด สามารถช่วยลดปัญหาของการเกิดอาการตกรถ,ตกขบวน ได้อย่างมาก เพราะเป็นการเทรดตามสัญญาณ ซึ่งเมื่อสัญญาณเปิด คุณก็สามารถเข้าไปทำกำไรได้ทันที

2.เฝ้ากราฟในช่วงที่มีข่าว

สำหรับช่วงใดก็ตามที่มีข่าว คุณสามารถเลือกที่จะเฝ้ากราฟได้ เพื่อที่ว่าอย่างน้อย คุณจะได้สามารถเลือกตัดสินใจได้ทันทีในยามที่มีข่าวเกิดขึ้นมา จะได้ไม่ตกรถ,ตกขบวนอีก

เป็นไงบ้างครับ พอเข้าใจความหมายของคำว่า ตกรถ,ตกขบวน กันมากขึ้นแล้วใช่ไหม? การนำมาประยุกต์ใช้กับเรื่องของ forex หลักๆก็เป็นเรื่องของการศึกษา และสติครับ ถ้าคุณศึกษามาก ทดลองมาก ลองเทรดเงินปลอมจนชำนาญก่อนเทรดจริง มีสติไม่โลภไม่กลัว มองการเทรดเป็นเรื่องสนุกๆ ไม่ใช้เรื่องการพนันกินตังกัน การเทรดจะมีประสิทธิภาพมากครับ

สาเหตุของการ ตกรถ,ตกขบวน(เชิงเทคนิค)
 1.ไม่เฝ้ากราฟ

เรื่องจริงที่สุดที่ทำให้คุณตกขบวนคือ การไม่เฝ้ากราฟในช่วงเวลาที่มีความสำคัญ เช่นช่วงข่าวเป็นต้น หากคุณรู้จักเฝ้ากราฟในช่วงข่าว คุณก็จะสามารถเปิดสัญญาได้ทันเมื่อสัญญาณเกิดขึ้น แต่หากคุณไม่เฝ้ากราฟ กว่าจะรู้ตัวคือตกรถ,ตกขบวน ของคู่เงินที่คุณนั้นควรจะทำกำไรได้ไปเสียแล้ว

2.ไม่ตั้งค่าอินดี้แบบ Auto ไว้

หากคุณมีระบบ EA แต่ไม่ตั้งระบบ EA ไว้ในช่วงที่คุณไม่สามารถเฝ้าหน้าจอได้ ก็จะเป็นแบบเดียวกันคือ คุณก็จะไม่สามารถตั้งค่าเพื่อการทำกำไรได้ และแล้วคุณก็จะตกรถ,ตกขบวน เช่นเดียวกัน ดังนั้นก่อนจะลุกออกไปจากที่นั่ง อย่าลืมทำการตั้งค่า EA ไว้เพื่อการเทรดของคุณด้วย

3.เน็ตไม่แรงพอ

อีกหนึ่งปัญหาที่ประสบพบเจอได้อย่าง่ายดายคือ ความเร็วของเน็ตของคุณนั้นไม่แรงพอทำให้เกิดอาการที่เรียกว่าการรีโควทบ่อยๆในการเทรด ซึ่งส่งผลให้คุณพลาดโอกาสหรือช่วงสำคัญของการทำเงินได้เช่นเดียวกัน

 ตกรถ ตกขบวน คืออะไร (3)

ปัญหาหลัก/ปัญหาร่วมของการ ติดดอย และ ตกรถ(เชิงจิตวิทยา)
ปัญหาหลักสำหรับคำว่า ติดดอย หรือ ตกรถ(เชิงจิตวิทยา) นั้นเกิดมาจากคำว่า “ไม่อดทน” ทั้งคู่ ที่คุณติดดอยเพราะคุณไม่อดทนพอที่ยอมรับตัวเองว่าราคามันขึ้นมามากเกินไปแล้วนะ คุณถูกความโลภเข้ามาบดบังเหตุผล คุณคิดอยู่อย่างเดียวว่า เสียดาย เสียดาย และ เสียดาย…จนสุดท้ายก็ต้องมานั่งน้ำตาตกเพราะความโลภของตนเอง

ส่วนการตกรถนั้น ก็เกิดมาจากการที่คุณไม่อดทนหรือทำใจไม่ได้ หรือกลัวที่จะเข้าไปตั้งแต่ในช่วงที่ตลาดยังไม่สวย น้อยคนมากที่จะกล้าเข้าตอนที่ราคายังปรับฐานอยู่หรือไม่มีทีท่าว่าจะขึ้นเลย เพราะธรรมชาติของคนส่วนใหญ่แล้วจะต้องมั่นใจเสียก่อนจึงจะลงมือทำ กว่าคุณจะมั่นใจว่ามันขึ้นแล้วราคาก็วิ่งไปถึงไหนต่อไหนแล้ว บ่อยครั้งที่การขยับตัวขึ้นของราคาอย่างต่อเนื่องทั้งที่กราฟนั้นสูงมากอยู่แล้วทำให้เราหวั่นไหว ในที่สุดเราก็ตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่ควรทำจนได้เพราะกลัวจะไม่มีโอกาสได้เทรดอีก สุดท้ายเมื่อ Market Correction มาถึงโดยไม่คาดฝัน เราก็ต้องมานั่งลุ้นให้เหนื่อย ปล่อยออเดอร์ค้างวันค้างคืนเอาไว้ ยิ่งบางคนใช้ margin ซะจนไม่มีที่ให้วิ่งแล้วยิ่งนอนไม่หลับเพราะต้องคอยลุ้นมันตลอดเวลาว่าจะบวกให้เราไหมหรือมันจะล้างพอร์ตเราเมื่อไหร่

แต่อย่างไรเสียผมอยากจะให้กำลังใจนักเทรดทุกท่านครับ ว่าเกมนี้มันหนักหน่วง มีพลาดบ้าง ก็ไว้เป็นบทเรียนให้เราเร่งศึกษามากๆขึ้นไปอีก ถ้า Forex มันง่าย คนทั้งโลกก็คงหันมาทำอาชีพเทรด Forex กันหมดแล้ว จริงไหมครับ…

ตกรถ,ตกขบวน คืออะไร
คำสำคัญที่คุณนั้นต้องพบเจอตลาดการเทรด forex คือคำว่า ตกรถ,ตกขบวน สำหรับใครที่ยังไม่เข้าใจความหมายว่าคำสองคำนี้ว่ามีความหมายว่าอย่างไรแล้ว ผมขอใช้พื้นที่ของบทความตรงนี้ในการอธิบายให้คุณได้เข้าใจไปพร้อมๆกันนะครับ เผื่อว่าตอนนี้คุณอาจมีอาการ ตกรถ,ตกขบวน อยู่ก็เป็นได้

ตกรถ,ตกขบวน คืออะไร
 คำว่า ตกรถ,ตกขบวน หมายถึง มีคู่เงินที่กำลังวิ่ง หรือเป็นไปตามคำคาดการณ์ของบรรดากูรู หรือตามสัญญาณอินดี้ที่เราเปิดไว้ แต่เราไม่สามารถเปิดสัญญา Buy หรือสัญญา Sell ได้ทัน ส่งผลให้เรานั้นตกรถ,ตกขบวน คือไม่สามารถเทรด forex ตามได้ทัน ก็คือเป็นช่วงจังหวะที่น่าจะซื้อแต่ไม่รีบซื้อแต่แรก กราฟวิ่งไปแล้วคนอื่นเขาได้ ๆ กันหมด แต่เราดันไม่มี Order ช่วงนั้นซะงั้น

167
แหม่วันนี้ขึ้นหัวข้อเหมือนวิชาการเลยนะครับ สำหรับใครที่ได้เกรด A วิชานี้หรือสนใจ ลองหาความรู้เพิ่มเติมกันได้ครับ forex จิตวิทยาการลงทุน คืออะไร ใช้อย่างไร



จิตวิทยาการลงทุน คืออะไร

จิตวิทยาการลงทุน หมายถึง รูปแบบ แนวทาง วิธีการจัดกระบวนการคิด เพื่อการลงมือทำ ให้ส่งเสริมต่อการทำกำไรในตลาด forex ของคุณ ซึ่งหากสรุปแบบง่ายๆนั้นจะเป็นเรื่องของการฝึกควบคุม 2 อารมณ์หลัก ที่มีผลต่อการทำให้การเทรด forex มีความผิดพลาดสูงมาก ประกอบไปด้วย อารมณ์โกรธ และอารมณ์โลภ

การฝึกหลัก จิตวิทยาการลงทุน

จากอารมณ์ที่ผมได้กล่าวไปนั้น เมื่อเกิดขึ้น มักจะทำให้เราลืมหลักการข้อ 1. และข้อ 2.ไปเลย ผมไม่ได้กล่าวเล่นๆนะครับ แม้คุณจะท่องตำราอย่างทะลุในเรื่องของจิตวิทยาการลงทุน แต่เมื่อถึงสภาวะอารมณ์นั้นเข้า สุดท้ายก็จะหลุดเช่นเดียวกัน ดังนั้นวิธีการฝึกต่อไปนี้อาจช่วยคุณบริหาร จิตวิทยาการลงทุนได้ดียิ่งขึ้นครับ

        1.เปิดพอร์ตเพื่อการฝึกจิตวิทยาการลงทุนโดยเฉพาะ

        2.ลงเงินไม่เกิน 5,000 บาท (คิดเสียว่าเป็นค่าเรียน)

        3.ฝึกเทรดพอร์ตตัวนี้ โดย

                3.1หากเกิดภาวะขาดทุนติดต่อกัน คุณจะต้องเทรดต่อเนื่องในกลยุทธ์เดิมให้ได้ 5 ครั้ง

                3.2หากเกิดสัญญาณที่น่าจะส่งผลให้คุณทำกำไรได้เยอะให้ใช้วิธีเทรดแบบปกติ ไม่เบิ้ล Lot

        4.หากคุณสามารถทนและทำตามข้อ 3 ได้อย่างน้อย 5 ครั้งติดต่อกัน เชื่อว่า เมื่อไปเทรด Port ใหญ่แล้ว จะช่วยลดปัญหาการเทรดโดยขาดหลัก จิตวิทยาการลงทุนไปในตัวด้วย

อันตรายจากการไม่ใช้ จิตวิทยาการลงทุน

แล้วถ้าเราไม่เทรดโดยคำนึงถึง จิตวิทยาการลงทุนล่ะ ผลจะเป็นอย่างไร มีคำตอบง่ายๆเลยคือ คุณจะได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ทันทีแบบตรึงตราอยู่ภายในใจ คำนั้นคือคำว่า “ล้างพอร์ต” ครับ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกที่เราสามารถเข้าใจคำศัพท์นี้ได้โดยที่แทบไม่ต้องเปิดตำราหรืออาจบทความอะไรในนี้เลย และผมหวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นกับคุณนะครับ

จิตวิทยาการลงทุน คืออะไร

ในบรรดาการลงทุนและการเทรด forex แล้ว มีคนกล่าวว่ามีอยู่ 3 ประการที่เรานั้นจะต้องลงมือใส่ใจในรายละเอียดมากที่สุด เพื่อที่จะเอาชนะเจ้ายักษ์เขียวตัวนี้ได้ (หมายถึง forex บางทีนิยมเรียกว่ายักษ์เขียว) 3 สิ่งที่ว่านั้นประกอบไปด้วย

1.เครื่องมือที่ใช้เทรดดีไหม (Best Indicator)

2.การบริหารจัดการเงินทุน (Money Management)

3.จิตวิทยาการลงทุน (Psychology Investment)

โดยเฉพาะในบทความนี้ ผมต้องการที่จะพาทุกท่านไปรู้จักกับข้อสุดท้ายใน 3 ข้อข้างต้นคือ จิตวิทยาการลงทุน ซึ่งในความคิดของผมนั้นเห็นว่า นี่คือเรื่องที่สำคัญที่สุด และแม้ว่าคุณจะมีเครื่องมือที่ดีใน 2 ข้อแรก แต่ถ้าปราศจากข้อที่ 3 นี้แล้ว ทุกอย่างที่คุณทำมาจะพังลงหมดอย่างแน่นอน ดังนั้นมาดูกันครับกับ จิตวิทยาการลงทุน

อารมณ์มีผลต่อการตัดสินใจ
คุณ อาจคิดว่าอารมณ์ดีหรืออารมณ์เสีย ไม่มีผลต่อการตัดสินใจ แต่จริงๆไม่ใช่แม้คนที่มีเหตผลที่สุดหากขาดซึ่งอารมณ์ ก็จะไม่สามารถตัดสินใจใดๆได้ โดยเคยมีการศึกษาเรื่องนี้โดยนักประสาทวิทยา ชื่อ แอนโทนิโอ ดามาชิโอ ได้รายงานว่ามีคนไข้ที่สมองส่วน Ventromedical Frontal Crotices ถูกทำลายซึ่้งเป็นสมองส่วนที่ทำให้เกิดอารมณ์ แต่สมองส่วนความจำความฉลาดและความสามารถในการใช้เหตผลยังเป็นปกติอยู่ แต่จากการทดลองหลายครั้งพบว่า การปราศจากอารมณ์ในกระบวนการตัดสินใจได้ทำลายความสามารถในการตัดสินใจอย่าง สมเหตสมผล หมดไปด้วย
       ดังนั้นหากสถานการณ์ไม่ดี ทิศทางที่สมองที่คิดได้ จากข่าวสารและความรู้สึกคือ สิ่งที่ดำเนินต่อไป ของความไม่ดี จะให้สมองสั่งการว่า "ดี" จะเป็นการยากสมองจะสั่งการขัดแย้งออกมาทันทีว่า "ดีจริงหรือ" ใช้เหตผลอะไรที่คิดว่ามันจะดี ? ดังนั้นการซื้อหุ้นตอนที่บรรยากาศร้ายสุด แม้แต่คุณเองยังกลัว คงทำได้ยาก เพราะสมองจะคิดขัดแย้งออกมาว่า "จริงหรือ คราวนี้อาจลงยาวนะ"

       เครื่องมือเทคนิคกับอารมณ์
         บางคนบอกว่าหากเราไม่ใช้อารมณ์เข้ามาในการลงทุนหุ้นแต่เชื่อเฉพาะเครื่องมือ ทางเทคนิคซึ่งเป็นเครื่องมือที่ไม่ได้อ้างอิงใดๆเกี่ยวกับอารมณ์ของตลาดล่ะ จะได้ผลหรือไม่? คำตอบแรก ก็ต้องบอกว่าท่านที่คิดแบบนี้ ยังไม่เข้าใจเครื่องเทคนิคที่ดีพอ เพราะจริงๆแล้วเครื่องมือทางเทคนิคคือการใช้หลักสถิติศาสตร์ถอดแบบสภาพความ เป็นจริงในตลาดหุ้นแล้วนำมาพยากรณ์ความเป็นไปได้ต่อไป ซึ่งความเป็นจริงในตลาดหุ้นที่ถูกนำมาถอดแบบนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์"ความกลัว" และ "ความโลภ" ดังนั้นการใช้เครื่องมือก็ยังอิงกับอารมณ์ของตลาดอยู่ดี
         คำตอบที่สอง ขออ้างถึงคุณ J. Wells wilder เจ้าของเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคยอดนิยม เช่น RSI (Relative Strength Index) PAR(Parabolic Sar) MOM ( Momentum) Volatility( แรงกระเพื่อมของระดับราคา) ซึ่งเครื่องมือทางเทคนิคเหล่านี้ สร้างชื่อเสียงให้กับ Wilder เป็นอย่างมาก แต่ในภายหลัง เขาได้ออกบทความใหม่ ที่ชื่อว่า Adam's Theory เป็นการปฏิเสธเครื่องมือทางเทคนิคของเขาที่คิดค้นมาก่อนหน้า โดยเขาบอกว่า ทฤษฎีใหม่นี้เป็นการตกผลึกในความคิด ความเข้าใจ ในเรื่องการลงทุน หลายสิบปีที่เขามี
         ทฤษฎี Adam ตั้งอยู่บนข้อสรุปที่ว่า"ไม่มีเครื่องมือวิเคราะห์อันไหนที่สมบูรณ์ในตัว ที่สามารถชี้นำการตัดสินใจ ลงทุนได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง 100% แต่เครื่องมือแต่ละชิ้นที่มีอยู่ในวงการ ต่างมีข้อบกพร่องในตัวเองไม่อาจ"จับตลาด"จนอยู่หมัดได้ ด้วยเหตุว่าตลาดว่า ตลาดนั้นไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่มีลักษณะตายตัว แต่เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่นได้ตลอดเวลา
        เขาตั้งคำถามว่า "หากเครื่องมือเหล่านั้นแม่นยำจริง ทำไมนักลงทุน ที่ใช้เครื่องมือเหล่านั้น จึงยังประสบความขาดทุนอยู่ เครื่องมือเหล่านั้นจะวิเคราะห์เฉพาะจุด ไม่ผิดกับตาดบอด คลำช้าง ไม่เห็นภาพรวมของตลาดหรือของตัวหุ้นนั้นๆ มันไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ผันแปรอยู่เสมอของตลาดหุ้นได้ "
        ดังนั้นแม้เครื่องมือต่างอาจจะไม่มีความสมบูรณ์ในตัวมัน แต่หากเราเข้าใขอารมณ์ตลาด มาผสมผสานการ การวางแผน การลงทุนที่เข้าใจหลักจิตวิทยามวลชน การเล่นหุ้นจะทำได้ดียิ่งขึ้น

ทำไมหลายคนซื้อหุ้นตัวไหนตัวนั้นจะลง แต่พอขายแล้วหุ้นกลับขึ้น หลายคนที่เล่นหุ้นในปัจจุบันจะรู้สึกเหมือนโชคไม่เข้าข้าง จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องของดวงหรืออะไรกันแน่ ทฤษฎีการลงทุนต่างๆ ควรจะใช้ได้ดี เพราะหลักการลงทุนผู้ลงทุนควรจะเลือกลงทุนสิ่่งที่ดีและอยากได้กำไรไม่อยาก ขาดทุน แต่จริงๆกลยุทธิ์ต่างๆกลับใช้ไม่ได้ผลเพราะนักลงทุนแต่ละคนเองมี"อคติ"ยอม ขาดทุน หากคิดว่าหุ้นจะลงต่อ หรือยอมซื้อของที่แพงมากหากคิดว่ามันจะขึ้นไปต่อ สิ่งที่นักลงทุนทุกคนใช้ จริงๆจึงเป็นการ"คาดคะเน" ใช้ "สมอง"ประมวลสิ่งต่างๆจากข่าวสารและปัจจัยโดยรอบแต่หารู้ไม่ว่า สมองมีกระบวนการตัดสินใจลึกๆภายในที่ขึ้นอยู่กับ"อารมณ์"มากกว่า "เหตผล"ยกตัวอย่างการเลือกคู่ครองที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตผลแม้คนที่เรียน เก่ง มีสมองดีที่สุดก็มักใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิต มากกว่าเหตผล
      นาย เวอร์นอน สมิธ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี 2002 ผู้ที่ศึกษาการเงินเชิงพฤติกรรมเคยกล่าวไว้ว่า "นักลงทุนทุกคนมีกล่องดำที่เป็นส่วนประมวลผลการตัดสินใจอยู่ในสมองโดยไม่มี ใครรู้ว่ากล่องดำอันนี้มีวิธีในการตัดสินใจอย่างไร แต่กระบวนการตัดสินใจนี้ไม่มีเหตผล เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะของจิตใจเป็นหลัก" เมื่อคนแต่ละคนไม่ได้ใช้ความมีเหตุ มีผลในการคิดแล้วการลงทุนที่เป็นสิ่งสะท้อนความคิดของนักลงทุนแต่ละคน ย่อมไม่มีเหตุผล ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เลย มีคนเคยตั้งคำถามว่า ทำไมคนที่เรียนด้านการลงทุน เก่งที่ 1-10 อันดับของระดับมหาวิทยาลัย Wharton กับไม่เคยมีชื่อเสียงในวงการลงทุนเลย ทำไมคนที่ IQ สูงขนาดนั้นถึงได้ไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นกัน
       ย้อนกลับมาที่ตลาดหุ้นไทยจะเห็นว่า คนที่ยิ่งฉลาด ยิ่งขาดทุนมากในตลาดหุ้น แต่คนที่ฉลาดปานกลางแต่หากมี EQ สูงแล้ว กลับสามารถประสบความสำเร็จได้มากกว่าเหตผลทั้งหมดจะค่อยๆถูกเฉลยในบทต่อๆไป ลองดูเหตการเหล่านี้
       Ex1. คุณคิดว่าบริษัท A ผลประกอบการณ์ออกมาดีแน่ เลยซื้อหุ้นที่ราคาสิบบาท ตั้งใจจะขายในระยะสั้นๆที่่ 12 บาท เมื่อผลประกอบการณ์ออก แต่พอผลประกอบการณ์ออกมาดีดังคาดไว้ แต่ราคาหุ้นตกลงไป 8 บาท คุณทำใจขายทิ้งไม่ได้ (Avoid Regret) และคิดว่าหากราคาหุ้นกลับมาแค่เพียง10 บาท เท่าทุนก็จะขายไป ( Referance Point)
      EX2. คุณซื้อหุ้นที่บริษัท B ที่ราคา 10 บาทจำนวน หมื่น หุ้น พอราคาหุ้นวิ่งไป 12 บาท คุณขายทำกำไรไป 20000 บาท พอราคาหุ้นวิ่งขึ้นไป 15 บาท คุณรู้สึกเสียดายอย่างมาก(เจ็บใจที่ขายเร็ว ขายหมู) พอราคาหุ้นเริ่มปรับตัวลงมาที่ 13 บาท คุณซื้อหุ้นกลับมาแต่คราวนี้ซื้อไป 20000 หุ้นเลย เพื่อเอากำไรเยอะๆ (โลภ เพราะพึ่งได้กำไรมา) ซื้อแล้วหุ้นวิ่งกลับไป 10 บาท เหมือนเดิม ปรากฏว่าเบ็ดเสร็จแล้วคุณขาดทุน 40000 บาท (งง?)
      แม้ว่าสิ่งเหล่านี้ท่านเคยประสบมาหรือเคยได้รับคำเตือนครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าโปรดอย่าตามหลัง "มวลชน" แบบหลับหูหลับตา อันที่จริงคำว่า"มวลชน"นั้นไม่ใช่อื่นใด หากแต่เป็น"เรา "และ "ท่าน" นั้นเอง พฤติกรรมของ "มวลชน" ก็คือพฤติกรรมของคนทั่วไปหากมวลชนตัดสินใจผิดพลาดหรือเกิดปฏิกริยาทางอารมณ์ อย่างรุนแรงเพราะความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เราและท่าน ก็ตกออยู่ในสภาพเช่นนั้นด้วยเช่นกัน
     ดังนั้นลำพังการคิดว่าเราต้องปฏิบัติให้แตกต่างจากคนอื่นไม่เกิดประโยชน์ อะไร เพราะเรื่องเหล่านี้คนส่วนใหญ่ต่างทราบดีว่าควรทำอะไร ยกตัวอย่าง การสูบบุหรี่ ทุกคนทราบดีกว่า การเลิกบุหรี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่หากไม่"ปฏิบัติ"ก็ไม่มีทางก้าวพ้นจาก อุปสรรคทางความคิดและอารมณ์ที่ส่งผลให้เราไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นได้
       ใน"วิกฤติ มีโอกาส" แต่จะมีซักกี่คน ที่มองข้ามผ่านเมฆหมอกแห่งความกังวลเห็นถึงวันข้างหน้าที่สดใสได้ ในเมื่อบรรยากาศทั้งหมด มันไม่เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างดูจะแย่ลง แย่ลง คนเรามองเห็นสิ่งที่ใจรู้สึกหากบรรยากาศรอบตัวร้อนเราก็จะเห็นแค่ความร้อน เราจะนึกถึงเวลาอากาศเย็นไม่ถูกเลย สิ่งเหล่านี้เป็นวิทยาสาสตร์ที่พิสูจน์แล้วว่า คนเราใช้ความรู้สึก ณ ขณะนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการตัดสินใจเรื่องใดๆ เช่น เวลาคนหิวจะชอปปิ้งมากกว่าเวลาอิ่มเป็นต้น


168
มาพบกันคำศัพท์ในวงการ Forex กันครับ วันนี้ขอเสนอคำว่า  ข่าว non farm คืออะไร ใช้อย่างไร

Non-Farm คืออะไร ?
เคยสงสัยกันไหมว่า เย็นวันศุกร์บางศุกร์ เห็นกราฟ Forex วิ่งหน้าตั้งกันแบบน่ากลัวกันใช่ไหม ? หลายคนคงรู้ หรือได้ยินมาว่า มันเกิดจาก ข่าว Non-Farm แล้วก็สงสัยอีกว่า ข่าว Non-Farm คืออะไร ?

กลยุทธ์ในการเทรดในช่วงของข่าว non farm

1.ผมชอบที่สุดคือ การใช้กลยุทธ์การเทรดแบบสวนเทรน โดยดูจากการทะลุเส้น Upper Band หรือ Lower Band

2.หากคุณชอบเล่นตามเทรน ขอให้เข้าให้เร็วและออกให้ทัน ก่อนกราฟมีการสวิงตัว

3.เปิด Lot เยอะๆ เช่น 0.1 หรือ 0.3 หรือมากกว่า แต่ขอให้คุณสำรอง Margin ให้เพียงพอด้วยนะครับ

4.ถ้าผิดทาง ห้ามเสียดาย ให้ทำการ Cut Loss ทันที!

ข้อควรระวังในการเทรดโดยใช้ ข่าว non farm

หากคุณเป็นนักเทรดมือใหม่ และไก่อ่อนอยู่ ผมแนะนำว่าโปรดอย่าเทรด โดยเด็ดขาด เพราะว่าคุณอาจยังไม่ชำนาญในการเปิดหรือปิดออเดอร์ อันส่งผลให้คุณนั้นอาจเจอล้างพอร์ตแบบไม่ได้กระพริบตาเลย ดังนั้นถ้ายังมือใหม่โปรดข้ามเรื่องของ ข่าว non farmไปก่อนนะครับ

โดยสรุปแล้ว หากคุณเป็นคนที่ชอบการเล่น หรือเทรด forex โดยอาศัยข่าวเป็นหลัก การเลือกติดตาม ข่าว non farm ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือและหนึ่งกลยุทธ์ง่ายๆที่คุณสามารถนำไปใช้ในการสร้างรายได้อย่างรวดเร็วจากการเทรด forex โดยที่มีความเสียงที่จะเกิดขึ้นต่ำด้วย

ข่าว non farm คืออะไร

ถ้าคุณเพิ่งเริ่มต้นในการเทรด forex เป็นครั้งแรกแล้ว สิ่งแรกที่ผมเชื่อว่าคุณจะต้องสงสัยอย่างมากคือ ข่าว non farm คืออะไร ซึ่งถ้าเราอ่านตรงตามตัวแบบภาษาไทยเลย ก็อาจเรียกว่า “นอน ฟาร์ม” ฟังแล้วดูพิลึกชอบกล แต่คุณรู้หรือไม่ว่า หากคุณเลือกเทรด forex โดยใช้ กลยุทธ์ ข่าว non farm แล้ว รับรองว่า โอกาสในการทำกำไรวันหนึ่ง 100-2000% อาจเกิดขึ้นกับคุณได้! ดังนั้นคงต้องมาทำความรู้จักกับ ข่าว non farm กันบ้างแล้ว

ข่าว non farm คืออะไร

คำว่า ข่าว non farm นั้นมาจากคำเต็มคือคำว่า Non-farm Employment Change ซึ่งเป็นข่าวที่ออกโดยกรมสถิติแรงงาน ของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเกี่ยวข้องกับเรื่องของจำนวนลูกจ้างในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้น หรือว่ามีจำนวนที่ลดลงอย่างไร ซึ่งตัวเลขเหล่านี้นั้นจะไม่ผนวกเข้ากับตัวเลขที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรนะครับ

ซึ่งตัวเลขเหล่านี้นั้นเมื่อประกาศออกมาจะมีผลต่อค่าเงิน US และรวมถึงราคาทองคำค่อนข้างมาก เรียกว่าคุณนั้นจะได้เห็นการแกว่งตัวของราคาอย่างมหาโหดกันเลยในช่วงเวลาดังกล่าว ดังนั้นหากคุณเป็นนักเทรด forex แล้ว ต้องไม่พลาดที่จะเลือกใช้ข่าว non farm ในการทำกำไรจากตลาดนี้ของคุณครับ

วิธีการติดตาม ข่าว non farm

1.ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมโดยละเอียดของ ข่าว non farm ได้ที่เว็บไซต์ forexfactory.com

2.ข่าวจะมีการออกในช่วงของคืนวันศุกร์

3.หากในคำทำนายของ forexfactory ออกไปในแนวทางที่เป็นโฟลเดอร์สีแดงแล้ว ขอให้เตรียมตัวและกระสุนให้ดี

4.เปิดกราฟรอก่อนข่าวออกอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการพลาดโอกาสในการทำกำไร



ADP Non-Farm Employment Change ปะทะ Non-Farm Payrolls

สำหรับมือใหม่แล้ว บางคนยังสับสนกับข่าว 2 ข่าว คือ ข่าว ADP Non-Farm Employment Change ต่างจากข่าว Non-Farm Payrolls อย่างไร ?  อธิบายได้ดังนี้

ความหมายของแต่ละข่าว
• USD : ADP Non-Farm Employment Change จะประกาศทุกวันพุธแรกของเดือน (ก่อนข่าว Non-Farm)
เป็นการวิเคราะห์แนวโน้มล่วงหน้าก่อน Non-Farm จริง โดยหน่วยงาน Automatic Data Processing, Inc. (ADP) ซึ่งทำหน้าที่วิเคราะห์ภาพรวมให้องค์กรต่างๆของสหรัฐฯ และมีฐานลูกค้ากว่า 400,000 ราย ที่ ADP ได้ทำการวิเคราะห์ตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆให้ ทั้งยังทำงานร่วมกับหน่วยงานของรัฐบาลด้วย

• ส่วนข่าว USD : Non-Farm Payrolls คือ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐอเมริกา
ประกาศโดยกรมสถิติแรงงานสหรัฐฯ โดยจะประกาศทุกวันศุกร์แรกของเดือน
- ตัวเลขการจ้างงานเป็นดัชนีสำคัญที่บอกถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของเศรษฐกิจโดยรวม

ในแง่การจ้างงาน
     >>>>>ถ้ามีการจ้างงานมาก ผู้คนก็มีรายได้มาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
     >>>>>หากมีการจ้างงานน้อย แสดงว่าคนก็ตกงานมาก  สภาพคล่องทางการเงินก็จะน้อยลง การใช้จ่ายก็จะลดลง

ในแง่ตัวเลข
     >>>>>ถ้าหากตัวเลขเพิ่มขึ้นแสดงว่ามีการจ้างงานมากขึ้น แสดงถึงเศรษฐกิจกำลังเจริญเติบโต ทำให้ค่าเงิน USD แข็งค่ามากขึ้น
     >>>>>ถ้าหากตัวเลขลดลง จะแสดงถึงเศรษฐกิจเกิดการชะลอตัว ทำให้เงิน USD อ่อนค่าลง

สรุป
     >>>>> ถ้าข่าวนอน-ฟาร์ม ออกมาดี หรือ เขียว ก็ย่อมส่งผลดีต่อค่าเงินดอลลาร์
     >>>>> ถ้าข่าวนอน-ฟาร์ม ออกมาร้าย หรือ แดง ก็ย่อมส่งผลร้ายต่อค่าเงินดอลลาร์

https://www.youtube.com/watch?v=QvuX8DXmHQ0

169
วันนี้ขอเริ่มจากชื่อเรื่องเบาๆ แต่ไม่เบากันบ้างนะครับ forex ขายหมู คืออะไร ใช้อย่างไร



1.ขายหมูคืออะไร
คำว่า ขายหมู หมายถึงการที่คุณปิดสัญญา Buy หรือสัญญา Sell เร็วกว่าที่ควรจะเป็น ส่งผลให้คุณนั้นได้กำไรน้อยกว่าที่คุณจะได้เพราะเมื่อคุณปิดสัญญาไปแล้ว กราฟก็มีการวิ่งไปตามทิศทางที่คุณเปิดสัญญาในตอนแรกอย่างรวดเร็ว ถ้าคุณเจอลักษณะการเทรดของคุณเป็นแบบนี้ เราเรียกการปิดสัญญาแบบนี้ว่า “ขายหมู”

การ “ขายหมู” แสดงถึงการขายหุ้นซึ่งปรากฏว่าเมื่อขายไปแล้วราคาหุ้นยังคงวิ่งขึ้นจากระดับที่ขายไปอีกมาก เหมือนกับการขายหมูตัวเล็ก ๆ แต่หลังจากนั้นหมูก็อวบอ้วน โตเต็มวัยอย่างรวดเร็ว คือแทนที่จะได้กำไรมากๆกลายเป็นได้กำไรน้อยๆไป

 ขายหมู คืออะไร (2)

2.สาเหตุที่ทำให้เกิดการขายหมู
สาเหตุหลักๆที่ทำให้คุณนั้นขายหมู ประกอบไปด้วยเรื่องดังต่อไปนี้

2.1 ระบบเทรดไม่ชัดเจน

หลายๆคนที่ระบบเทรดของตนเองไม่ชัดเจน หรือยังอ่านกราฟไม่ทะลุ ทำให้ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่ากราฟนั้นจะมีการเคลื่อนตัวไปในทิศทางใด แบบนี้ถือว่า มีโอกาสที่เมื่อคุณเริ่มต้นทำกำไรแล้ว คุณอาจขายหมูได้

2.2 กลัวเกินไป

คำว่ากลัวเกินไปมักตามมาจากเหตุผลข้อแรกคือ ไม่มั่นใจในรูปแบบของกราฟที่ตนเองเทรด สุดท้ายเลยคือไม่กล้าที่จะเทรด ทำให้ตนเองนั้นปิดสัญญาออกไปก่อน การทำแบบนี้ก็มีความเสี่ยงที่แทนที่เราจะสามารถทำกำไรได้มากๆ ก็กลายเป็นว่าทำกำไรได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

3.ผลจากการขายหมู
ผลจากการที่คุณนั้นขายหมูคือ จะส่งผลให้คุณนั้นไม่สามารถทำเงินได้มากกว่าที่ควรจะเป็น และบางทีอาการเสียดาย อาจทำให้แผนของการเทรด forex ของคุณในตาต่อไปนั้นมีปัญหาได้ด้วยเช่นเดียวกันครับ

4.วิธีแก้อาการขายหมู
วิธีการแก้อาการขายหมูที่ดีที่สุดในความคิดของผมนะครับ มีดังต่อไปนี้คือ

4.1 ออกแบบการเทรดให้ชัดเจน

กำหนดมาให้ชัดเจนด้วยรูปแบบการเทรดที่เป็นตัวของตัวเอง ว่าจะเทรดอย่างไร เพื่อให้ตนเองนั้นสามารถทำเงินได้

4.2 กำหนด % การเทรด

การกำหนด % การเทรดก็สามารถช่วยให้เรานั้นประสบความสำเร็จในการเทรดและไม่เกิดการขายหมูขึ้นมาได้เช่นเดียวกันครับ ดังนั้นจึงอยู่ที่เราจะเลือกว่าต้องการแบบใด



5.ขายหมู อย่างไรก็ดีกว่าติดดอย

เรื่องของการขายหมูนี่ ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือชั้นเซียนก็สามารถขายหมูได้ วิธีแก้โรคนี้ก็ไม่มีวิธีแก้ไขที่แน่นอนเพราะความรุนแรงของอาการขายหมู แปรผันไปตามอุปนิสัยความกลัวของแต่ละคน วิธีเบื้องต้นที่นิยมใช้กันก็คือการตั้ง Trailing Stop หรือไม่ก็เลื่อน Stop Loss ตามสวิงหรือตามแท่งเทียนเลยก็ได้ หรือตั้ง Taking Profit (TP) ไว้ที่ 161.8 ของฟิโบไปเลยก็ได้ อาจใช้วิธีดูลักษณะแท่งเทียน ถ้าเห็นมีแท่งเทียนกลับตัวแท่งแรกอาจจะยังไม่ออกออเดอร์จนกว่าจะเห็นแท่งเทียนกลับตัวอีกแท่งหนึ่งก่อนค่อยตัดสินใจออกออเดอร์

บางทีก็รอดูลักษณะของแรงที่เป็นฝั่งตรงกันข้ามกับออเดอร์ของเราว่าดีดกลับมาแรงไหม แล้วค่อยหาจังหวะออกตอนที่มันกำลังย่อกลับไปทิศทางเดิมของเรา ถ้าดูแล้วไปต่อไม่ได้แน่ก็ออกเลย แต่บางทีก็ยังขายหมูอยู่ดี ตลาดมันก็เป็นแบบนี้แหละครับ

การขายหมูคือ การปิดในแดนบวก ซึ่งต่อให้เป็นการบวกแค่จุดเดียว ก็ถือว่าเป็นบวกอยู่ดี สะสมไปเรื่อยๆก็ดีกว่าขาดทุน การขายหมูคือการเสียกำไรที่ได้ไป ทั้ง ๆ ที่เราลืมไปว่าการขายหมู บางทีก็เป็นการช่วยรักษาพอร์ตของเราให้มีชีวิตรอดเพื่อการเทรดในวันพรุ่งนี้(หลักการควบคุมความโลภ) ระหว่างทุกข์ใจเพราะขายหมู กับทุกข์ใจเพราะออเดอร์ติดลบ(ติดดอย) คุณคิดว่าอันไหนน่าจะดีกว่ากัน…

เป็นอย่างไรครับกับคำว่า “ขายหมู” คำง่ายๆ แต่กินใจมากสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มเทรด forex หรือแม้แต่คนที่มีการเทรดกันอย่างเป็นประจำอยู่แล้ว ก็เกิดอาการขายหมูได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นอย่าขายหมูบ่อยๆนะครับ เดี๋ยวกำไรที่ควรได้จะไม่ได้กันเสียเปล่าๆ

ขายหมู คือหนึ่งคำสำหรับคนเทรด forex ที่ต้องรู้จัก เพื่อที่ว่าในอนาคตนั้นเมื่อคุณ ขายหมู คุณจะได้รู้ว่า สิ่งนี้แหละที่เรียกว่าการ “ขายหมู” อย่างแท้จริง ผมกล่าวมาถึงตรงนี้คงจะงงกันแล้วสิครับว่าหมายถึงอะไร หากต้องการรู้อย่างนั้นมาศึกษาคำว่า “ขายหมู” ไปพร้อมๆกันเลยนะครับ

ขายหมูก็คือ

เป็นการเปิดสัญญาการ “ขาย” หรือ “ซื้อ” เร็วไปหน่อย ตัดสินใจเร็วไปนิดก็เลยทำให้กำไรจากการเทรดนั้นได้น้อยลง เพราะว่าเมื่อเราปิดไปปั๊บกราฟมันก็เหมือนจะหยอกล้อเรา ก็ดันวิ่งไปต่อในทางที่เราเปิดไว้ มันน่าเจ็บใจไหมล่ะ เป็นแบบนี้แหละถึงเรียกว่า “ขายหมู” ถ้าเปรียบเทียบให้เรานึกภาพออกก็จะเหมือนกับเราเลี้ยงหมูไว้เพื่อขาย แต่ว่าเราดันขายตอนที่มันยังเล็กอยู่ พอเวลาผ่านไป ๆ หมูมันก็อันอ้วนขึ้น ซึ่งหากย้อนไปเรายังไม่ขายแล้วเลี้ยงให้มันอ้วนไปสักหน่อยก็คงจะได้กำไรมากกว่านี้แล้วแท้ ๆ

แต่การขายหมูก็ไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรมากนัก เพียงแต่จะสร้างความเสียดายมากกว่า กลับมานั่งเสียดายว่าทำไมเราไม่รู้อีกหน่อยค่อยขาย ทำไมไม่รออีกหน่อยค่อยซื้อ ทั้งหมดนี้เป็นการอธิบายคำว่าขายหมูแบบสั้น ๆ ให้พอเข้าใจ แล้ววันนี้คุณขายหมูไปกี่ตัวแล้ว ??

170
วันนี้ทีม Forex สุดหล่อจะมาแนะนำ forex การเทรดรูปแบบ Spike คืออะไร ใช้อย่างไร

ในการเทรดรูปแบบนี้ จะเทรดในช่วงที่ราคากลับมาทดสอบแนวต้านของบริเวณที่เกิด Spike อีกครั้ง จากกราฟตัวอย่างด้านบน สังเกตได้ว่าในช่วงที่ราคากลับขึ้นมาทดสอบแนวต้านบริเวณที่เกิด Spike มักจะเป็นการ Failed test หรือ Failed breakout คือราคาจะไม่ทะลุขึ้นไปเลย แต่จะอ่อนตัวลงก่อน เพื่อชะลอการขึ้น ซึ่งจังหวะนี้สามารถเปิด Short เล่นสั้นได้ ส่วนใน Downtrend ก็ตรงกันข้าม

อย่างไรก็ดีรูปแบบ Spike ไม่ได้บอกว่าจะเป็นจุดกลับตัวเลยทีเดียว เป็นการชะลอตัวของแนวโน้มในช่วงนั้นมากกว่า ซึ่งเป็นรูปแบบเฉพาะของการเทรดนี้

การเทรดรูปแบบ Spike คืออะไร
 

รูปแบบ Spike เป็นลักษณะแท่งเดี่ยว ที่แสดงถึงช่วงที่ราคาผันผวนระหว่างวันค่อนข้างมาก โดยไม่คำนึงว่าราคาต้องเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ขอแค่ว่าเป็นช่วงที่ราคาผันผวนปกติ ซึ่งสังเกตได้ง่ายจากลักษณะของแท่งเทียนที่มีไส้เทียนยาวๆ เกิดขึ้นเด่นขึ้นมาผิดปกติ

 

Credit: CMT

            จากกราฟตัวอย่างเป็นราคาของพันธบัตรรัฐบาล อายุ 30 ปี ตั้งแต่เดือน มิ.ย. ถึง เดือน ต.ค. ปี 2002 เป็นรูปแบบของ Upward spike หรือ Spike ที่เกิดในช่วงขาขึ้น จะเห็นได้จากช่วงที่เป็น High ของรอบการแกว่งตัว (Swing high) ราคาจะเกิดไส้เทียนยาวๆขึ้นไป และย่อตัวกลับลงมา


171
Forex today วันนี้ขอเสนอเรื่อง forex การเทรด Double tops และ Double bottoms คืออะไร ใช้อย่างไร

วิธีการเทรด Double tops และ double bottoms

การเทรดรูปแบบนี้ ต้องอาศัยเครื่องมือต่างๆ ช่วยในการเทรด เพื่อที่จะเห็นจุดที่เหมาะสมที่สุด มิฉะนั้นจะเจอการ Break หลอกได้ โดยสิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้จะช่วยให้เทรดเดอร์พิจารณาจุดดังกล่าวได้

# พฤติกรรมราคา : สังเกตุพฤติกรรมราคาของแท่งเทียนว่าในช่วงที่กำลังลงทำ Double Bottom นั้นแท่งเทียนมีลักษณะอย่างไร ถ้าลงมาแบบเต็มแท่ง โอกาสหลุด Low ก็จะมีมาก แต่ถ้าการลงของแท่งเทียนค่อยๆปรับตัวลง และเริ่มเห็นแรงซื้อกลับ สามารถคาดการณ์ได้ว่าอาจเป็น Double Bottom

 



 

# Bollinger band : ในช่วงที่ราคาออกนอกกรอบ Bollinger band แล้ววกตัวกลับเข้ามา เป็นสัญญาณการกลับตัวของราคา และถ้านำมาประกอบกับรูปแบบ Double tops และ Double bottoms ก็จะเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน

 



# Divergence : เป็นการแสดงถึงความอ่อนตัวลงของ Momentum ของราคา ซึ่งสามารถบ่งชี้ได้ว่าอาจเป็นสัญญาณการกลับตัวได้

 



 

# Exhaustion gap : เป็นรูปแบบ Gap ที่แสดงถึงการจบรอบของแนวโน้ม มักจะเกิดการทะลุหลอกก่อนเกิดขึ้นก่อน


การเทรด Double tops และ Double bottoms คืออะไร
 

รูปแบบ Double tops และ Double bottoms เป็นที่นิยมกันในหมู่เทรดเดอร์สาย Price pattern อยู่แล้ว ยิ่งถ้านำมาใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ ก็จะสร้างประสิทธิภาพการใช้งานได้อย่างดีขึ้น แต่อย่างก็ตามพวกมือใหม่มักถูกรูปแบบนี้หลอกอยู่เป็นประจำ เนื่องจากจังหวะการเข้าในจุดที่เป็น Double นั้น มือใหม่มักไม่เข้าใจในช่วงดังกล่าว

 

ช่วงบีบให้มือใหม่คลายของ

ในช่วงที่ราคากำลังทำ Double Bottom นั้น เป็นเกิด Fail breakout นั้นเหละเป็นช่วงทำให้เทรดเดอร์มือใหม่จำนวนมากถูกบีบให้คลายของออกไปจากตลาด คิดว่าราคาจะลงต่อ เลยตัดขาดทุนออกไป และหลังจากนั้นไม่นานราคาวกตัวกลับขึ้นมา ขึ้นต่อในทิศทางเดิม

มันเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเทรดเดอร์ที่จะทำตาม “วินัย” และรู้จักการ “รอ” ให้เป็น มือใหม่มักจะใช้การทำนายราคา มักจะเข้าก่อนที่ราคาจะยืนยัน หรือรอจนกว่าจะเกิดรูปแบบนั้นจริงๆ เพราะว่ามือใหม่ส่วนมากมักกลัวว่าจะพลาดการเทรดครั้งนั้นไป



รูปแบบ Double tops and bottoms

เป็นรูปแบบที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมากที่สุดเพราะอาจจะใช้เป็นจุดเปลี่ยนของเทรน บางครั้งราคาจะทำการขึ้นมาทดสบแนวต้านด้านบนในระดับเดียวกันถึง 2 ครั้งซึ่งแต่ละครั้งราคาก็จะเปลี่ยนทิศทางกลับไปในทิศตรงกันข้ามอย่างชัดเจน ในสถาณการณ์แบบนี้อาจจะเกิดขึ้นเมื่อเทรนอยู่ในช่วงขาลง แล้วผู้ซื้อต้องการจะซื้อให้ราคาเบรคเอาท์ขึ้นไปสู่เทรนตลาดกระทิง แต่ถ้าไม่สำเร็จราคาก็จะอยู่ในช่วงขาลงต่อไป

Double top figure formation
รูปที่ 1 แสดง รูปแบบ Double tops and bottoms

ตัวอย่างด้านบนแสดงถึงพฤติกรรมราคาที่กำลังเคลื่อนที่ลงด้านล่างหลังจากขึ้นไปทดสอบแนวต้าน

ระยะเวลาในการก่อตัวของแต่ละ tops ในอดีตสำคัญมาสำหรับการคาดคะเนถึงระดับของ top อันต่อไป เราสามารถสังเกตุแนวโน้มในการเกิดรูปแบบนี้ใน Time frame สัปดาห์ หรือ เดือนดูจะเหมาะสมกว่า

ในระดับนั้นมีจำนวนสัญญาณหลอกอยู่เป็นจำนวนมากบางครั้งเราอาจจะต้องสังเกตุจาก วอลลุ่มต่างๆหรือในบริเวณที่ราคากำลังใต่ขึ้นหรือเราอาจจะใช้ อินดิเคเตอร์เข้ามาช่วยในการเช็คสัญญาณ เช่น RSI

172
สวัสดีตอนเที่ยงๆ นะครับ วันนี้เราจะมาศึกษาเรื่อง forex การเทรด Bull trap คืออะไร ใช้อย่างไร

เบื้องหลังของ Bull trap

1) เริ่มจากในช่วงแนวโน้มขาขึ้น คนที่ยังไม่มีของ เริ่มอยากเข้ามามีส่วนร่วม

2) เมื่อราคากำลังปรับตัวขึ้น ดึงดูดให้เทรดเดอร์เข้ามีเปิด Position

3) เมื่อราคาทะลุขึ้นทำ High ใหม่ เป็นตัวสร้างความมั่นใจให้เทรดเดอร์ว่ามาถูกทาง และรู้สึกปลอดภัย ซึ่งจุดนี้แหละที่เป็น “กับดัก”

4) ราคาวกกลับลงมา เทรดเดอร์ส่วนมากถือออเดอร์นั้นไว้และคิดว่าเดี๋ยวมันก็กลับขึ้นไป

5) ราคายังคงอ่อนตัวลงต่อ ทำให้เทรดเดอร์ที่เปิด Long ก่อนหน้านี้ประสบกับการขาดทุนอย่างมาก

 

2 สิ่งสำคัญที่จะป้องกันเหตุการณ์นี้ได้คือ

เข้าช้าหน่อย : หลักการนี้อาจยากที่จะเข้าใจหน่อย จะลองทำดูแล้วจะเห็นความแตกต่างอย่างมาก โดยไม่ควรขายเมื่อราคากำลังขึ้น และไม่ซื้อเมื่อราคากำลังลง ควรขายเมื่อราคาลงแล้ว และซื้อเมื่อราคาขึ้นแล้วเท่านั้น
 



มีการเข้าอยู่ 3 ลักษณะ

1.1 เร็วเกินไป : คาดการณ์ มโนไปเองว่าตลาดจะไปในทิศทางที่เราคิด

1.2 พอดี : มีสัญญาณยืนยันว่าราคากลับตัวแล้ว

1.3 ช้าเกินไป : ราคามักเคลื่อนไหวไปมากแล้ว ค่อยมาเข้า

 

รอสัญญาณยืนยัน : สัญญาณที่จะเป็นตัวช่วยยืนยันในการกลับตัวจริงๆ อย่างง่ายคือการใช้เส้นค่าเฉลี่ย โดยทั่วไปนิยมใช้ เส้นค่าเฉลี่ย 20 วัน เป็นตัวแทนในการยืนยันทิศทาง คือคุณจะเทรด Bull trap ก็ต่อเมื่อราคาลงมาต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 20 วันก่อน

การเทรด Bull trap คืออะไร
 


ช่วงที่ราคา Breakout ทำ New High เทรดเดอร์มักเปิด Long ตาม แต่หลังจากที่เทรดเดอร์เปิด Long นั้น ราคากลับวกตัวกลับลงมาอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์นี้มักเกิดขึ้นบ่อยๆ เรียกกันว่า “Bull trap” ซึ่ง Bull trap มักเกิดในช่วงที่ราคา เหมือนจะ ไปต่อ  ทำให้พวกเทรดเดอร์มือใหม่มักเปิดสถานะในช่วงนั้น และมักตามมาด้วยการขึ้นต่อเพียงเล็กน้อย แล้วค่อยลงหนักๆ

 

173
forex การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน คืออะไร ใช้อย่างไร


อะไรบ้างที่ควรพิจารณา

การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน โดยมีปัจจัยดังต่อไปนี้ที่เราจะต้องนำมาประกอบกับการพิจารณาคือ

1.ปัจจัยทางการเมือง

ปัจจัยข้อนี้ค่อนข้างมีผลกระทบต่อค่าเงินค่อนข้างมาก โดยเฉพาะหากในประเทศนั้นเกิดภาวการณ์จลาจล หรือว่าเกิดภาวะสงครามขึ้นมา สิ่งนี้ย่อมมีผลอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงค่าเงินไปในทิศทางที่ไม่ดี

2.ปัจจัยทางเศรษฐกิจ

ปัจจัยทางเศรษฐกิจมากมาย ที่เกี่ยวข้องกับค่าเงินของประเทศนั้นๆ ต่างมีผลโดยตรงต่อราคาค่าเงินที่ผันผวน โดยเฉพาะการประกาศพวกดัชนีทางเศรษฐกิจต่างๆ  ซึ่งคุณสามารถใช้เทคนิคในการศึกษาเรื่องปัจจัยทางเศรษฐกิจในการกำหนดราคาและทิศทางการเทรด forex ได้เลย

3.ปัจจัยทางเทคโนโลยี

ปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องของเทคโนโลยี นวัตกรรมและการเติบโตในเรื่องของราคาต่างๆ ของสินค้าทางเทคโนโลยี หรือการคิดค้นนวัตกรรมอะไรขึ้นมาได้ ย่อมมีผลโดยตรงต่อการเติบโตทางเทคโนโลยีอย่างชัดเจน

ข้อดีของการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน

ข้อดีของการใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน คือ ทำให้เราสามารถคาดการณ์ทิศทางของกราฟได้ค่อนข้างที่จะมีความแม่นยำสูงมาก ซึ่งทำให้เราสามารถเปิดสัญญาของการเทรดได้ครบถ้วน และมีความปลอดภัย ลดอัตราการเสี่ยงที่เกิดจากการเปิดสัญญาที่ผิดที่ผิดทางได้

ข้อจำกัดของการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน

สำหรับข้อจำกัดของการใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน คือ บางครั้งแล้วการวิเคราะห์ของเรานั้นอาจมีความผิดพลาด หรือมีความคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงได้ ทำให้เรานั้นอาจเปิดสัญญาที่ผิดพลาดและไม่ถูกต้องไป ดังนั้นหากคุณต้องใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานแล้ว ผู้เขียนคิดว่า การเลือกใช้หลักการวิเคราะห์ทางเทคนิค น่าจะมีประโยชน์ต่อการทำนายทิศทางของกราฟซึ่งส่งผลต่อแนวทางในการเทรด forex ของคุณให้มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้นด้วยนั่นเอง

ดังนั้นเพื่อให้กลยุทธ์ในการเทรด forex ของคุณประสบความสำเร็จ การเลือกวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน คืออีกหนึ่งสิ่งที่มีความสำคัญและสามารถช่วยให้คุณนั้น

การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน คืออะไร
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน คืออะไร

เมื่อคุณเริ่มต้นที่จะศึกษาถึงแนวทางในการเทรด forex สิ่งสำคัญประการต่อมาคือการมองหาสูตรหรือวิธีการในการเทรด forex เพื่อให้ได้ผลกำไรอย่างยั่งยืน ซึ่งหนึ่งในหลายๆสูตรคือ การใช้เทคนิคในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ดังนั้นหากคุณกำลังสนใจว่า การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน คืออะไร และเกี่ยวข้องกับการเทรด forex อย่างไร บทความนี้จะเป็นคำตอบครับ

การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน คืออะไร

สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจคือ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน คืออะไรเสียก่อน สำหรับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานนั้น คือการมองหาสมมุติฐาน หรือราคาคาดการณ์ โดยอาศัยตัวแปรที่สำคัญอาทิเช่น ราคาที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ดัชนีชี้วัดต่างๆทางเศรษฐกิจ non farm หรือเทคโนโลยี แนวโน้มต่างๆ รวมถึงปัญหาและปัจจัยทางการเมืองด้วย ทั้งหมดนี้ถือเป็นพื้นฐานในการวิเคราะห์ข้อมูลที่สำคัญเพื่อการเทรด forex

ข่าวสำคัญที่แสดงถึงสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และมีอิทธิพลต่อตลาดมาก (High Impact) ก็คือ

GDP ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ

Inflation ข่าวอัตราเงินเฟ้อ

Employment Figures ข่าวต่างๆเกี่ยวกับการจ้างงาน ซึ่งจะรวมทั้ง อัตราการจ้างงาน, อัตราการว่างงาน รายได้ของแรงงาน , ข่าว NFP (Non-farm payroll )

Interest rate Decision ข่าวเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย ซึ่งสำคัญมาก เพราะธนาคารกลางสามารถให้อัตราดอกเบี้ยนี้เป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศ

Consumer Confidence ดัชนีการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

Consumer Price Index  (CPI)ดัชนีราคาผู้บริโภค เป็นดัชนีสำคัญที่จะบอกได้ถึงอัตราเงินเฟ้อ

เหล่านี้คือข่าวที่มีผลต่อราคาในตลาดมากที่สุด และยิ่งสำคัญมากถ้าเป็นข่าวของสหรัฐฯ เรียกได้ว่า จาก High Impact จะกลายเป็น Very High impact ก็ว่าได้ เพราะจะส่งผลที่รุนแรงมากกว่าข่าวจากประเทศอื่นๆ ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นค่าเงินที่มีอิทธิพลมากต่อตลาด อย่างที่เห็นว่าทุกคู่เงินหลักในตลาด จะมีค่าเงิน USD ร่วมอยู่ด้วย

ยูโรก็เป็นอีกค่าเงินหนึ่งที่มีความพิเศษ คือ เงินยูโรเป็นสกุลที่ใช้กันในกลุ่มประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป มี 17 ประเทศสมาชิกที่ใช้เงินสกุลยูโรร่วมกัน เรียกว่า สหภาพการเงินยูโร (Euro Monetary Union) EMU หรือ Euroland ซึ่งได้แก่ ออสเตรีย, เบลเยียม, ไซปรัส, เอสโตเนีย ฟินแลนด์, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, กรีซ, ไอร์แลนด์, อิตาลี, ลักเซมเบิร์ก, มอลตา, เนเธอร์แลนด์, โปรตุเกส, สโลวาเกีย, สโลวาเนีย และ สเปน 

ดังนั้นการดูปัจจัยพื้นฐานของสกุลเงินยูโรก็จะต้องดูจากประเทศเหล่านี้  ซึ่งประเทศที่มีมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่และมีความสำคัญมากต่อแนวโน้มค่าเงินยูโรได้แก่ เยอรมัน รองลงมาคือ ฝรั่งเศส และ อิตาลี ตามลำดับ นักลงทุนจะดูการเคลื่อนไหวของ 3 ประเทศนี้เป็นหลักสำหรับการวิเคราะห์ค่าเงินยูโร

นอกจากข่าวข้างต้นที่มีมีอิทธิพลต่อราคาของตลาดมากแล้วนั้น ก็ยังมีข่าวอีกหลายข่าวที่มีผลต่อตลาด เช่น ดุลการค้า, ดัชนีการนำเข้าส่งออก, อัตราการผลิตของโรงงานอุสาหกรรม, ยอดขายบ้าน, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(PMI), ยอดการสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้า, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ฯลฯ แต่ข่าวเหล่านี้จะมีผลต่อตลาดน้อยกว่าข่าวที่บอกไว้ในตอนต้นคือจัดอยู่ในกลุ่ม Medium Impact 

แน่นอนว่าในช่วงที่มีการประกาศข่าว จะเป็นช่วงแห่งความตื่นเต้น หวาดเสียว และท้าทายมากสำหรับนักลงทุน เพราะราคาจะวิ่งเร็วและแรง นักลงทุนบางคนอาจจะไม่เทรดในช่วงข่าวเลย แต่ก็มีนักลงทุนหลายคนที่จับจ้องจังหวะนี้เพื่อทำกำไรก้อนใหญ่ แต่อย่าลืมว่าถ้าคุณพลาดก็อาจจะเจ็บหนักได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะเทรดข่าวคุณก็ควรระวังและคำนึงถึงความเสี่ยงนี้ด้วย 

ข้อแนะนำในการเทรดข่าวก็คือ คุณควรหลีกเลี่ยงการถือออเดอร์ในช่วงก่อนที่ข่าวจะถูกประกาศออกมา รอให้ข่าวนั้นประกาศออกมาเสียก่อน และรอให้ราคาส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าจะไปทางไหนกันแน่แล้วค่อยเข้าทำการซื้อขาย ซึ่งในส่วนนี้คุณอาจต้องใช้เทคนิคในการวิเคราะห์กราฟช่วยในการหาจังหวะเข้าซื้อขายด้วย

Financial News

อย่างที่เราเห็นกันอยู่ว่า เมื่อมีข่าวที่สำคัญๆออกมา ราคาจะวิ่งผันผวนรุนแรง ดังนั้นจึงอันตรายมากสำหรับการเทรดระยะสั้น ลองนึกภาพดูว่าถ้าคุณเทรดเพื่อต้องการที่จะเก็บกำไร เพียง 10-20 จุด แล้วข่าวที่สำคัญมาก (High Impact) ออกมาแล้วส่งผลให้ราคาวิ่งไปคนละทางกับที่คุณเปิดการซื้อขายเอาไว้ อะไรจะเกิดขึ้น? (เชื่อว่าหลายคนมีประสบการณ์ตรงนี้เป็นอย่างดี) ถ้าคุณตั้ง Stop loss เอาไว้ คุณก็อาจจะเสียเงินส่วนนั้นไปภายในพริบตา ดังนั้น หากคุณเป็น Scalping ที่เล่นสั้นๆ คุณก็ควรจะระวังให้มากในเรื่องของข่าว อย่าเผลอในช่วงเวลาที่จะมีการประกาศข่าวโดยเฉพาะข่าวที่สำคัญๆ หรืออาจจะหลีกเลี่ยงไม่ถือออเดอร์ในช่วงก่อนการประกาศข่าว

นักลงทุนที่เพิ่งเข้ามาในตลาดแรกๆ มักจะตั้งคำถามว่า เทคนิคในการวิเคราะห์กราฟแบบไหนที่สำคัญกว่าหรือดีกว่ากันระหว่าง การวิเคราะห์ด้วยเทคนิคในการดูกราฟ กับ การวิเคราะห์ด้านปัจจัยพื้นฐาน? เราอยากบอกว่า นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จส่วนมากจะใช้ทั้งเทคนิคทั้งสองอย่างประกอบกันในการดูแนวโน้มทิศทางของราคา แม้ว่าในปัจจุบันนี้นักลงทุนหลายคนคิดว่าการวิเคราะห์ด้วยเทคนิคนั้นสำคัญกว่า เพราะมันช่วยให้การซื้อขายของเรานั้นง่ายขึ้นมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเราก็ไม่ควรลืมที่จะใส่ใจทางด้านปัจจัยทางพื้นฐานซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะปัจจัยพื้นฐานคือจุดกำเนิดของพฤติกรรมต่างๆในตลาด ผ่านจิตวิทยาของนักลงทุน ดังสมการนี้

ปัจจัยพื้นฐาน(ข่าว) > จิตวิทยาของนักลงทุน > พฤติกรรมของนักลงทุน > พฤติกรรมราคาในตลาด

อธิบายง่ายๆก็คือ เมื่อมีข่าวดีออกมา เช่น มีการจ้างงานสูงขึ้น ประชากรมีรายไม่เพิ่มมากขึ้นก็จะมีการใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งหมายถึงเศรษฐกิจภายในประเทศดีขึ้นนักลงทุนก็จะเกิดความเชื่อมั่นว่าค่าเงินของประเทศนั้นจะต้องดีขึ้นแน่นอนทำให้ "เกิดความโลภ" แย่งกันซื้อหวังเก็งกำไรจากค่าเงินนั้นๆ ทำให้ราคาในตลาดพุ่งสูงขึ้น แต่ในทางกลับกัน ถ้าเกิดมีข่าวร้ายออกมา เช่น จำนวนผู้ตกงานเพิ่มสูงขึ้น ประชากรลดการใช้จ่ายลงเนื่องจากรายได้ลดลง เหล่านักลงทุนก็จะกลัวว่าอนาคตของค่าเงินตัวนี้จะย่ำแย่ก็ไม่มีใครกล้าซื้อสกุลเงินนั้น  ส่วนใครที่ซื้อไว้ก็จะรีบเทขายออกมา ก็จะมีผลทำให้ราคาดิ่งเหว

ข่าวสารต่างๆที่ออกมาก็จะมีทั้งข่าวที่เป็นจริงเช่น การประกาศตัวเลขดัชนีต่างๆ หรือเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นแล้ว ข่าวเหล่านี้จะบอกเราได้ว่าสภาวะเศรษฐกิจตอนนี้เป็นอย่างไร และทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่าต่อไปจะเป็นเช่นไร และข่าวที่เป็นการคาดการณ์ เช่น การคาดการณ์ผลที่จะตามมาจากคำพูดของผู้นำทางการเงิน เกี่ยวกับนโยบายทางการเงิน หรือ ตัวเลขคาดการณ์ดัชนีต่างๆ ก็จะทำให้เราคาดการณ์ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป

ที่สำคัญอย่าลืมว่าเราไม่ใช่คุณคนเดียวที่รับรู้ข่าวเหล่านั้น เมื่อทุกคนรับรู้ข่าวเดียวกันนี้และคิดไปในทิศทางเดียวกันก็จะมีผลต่อราคาตลาด และบ่อยครั้งที่เราเห็นว่าราคาได้วิ่งไปในทิศทางที่ตลาดคาดการณ์ก่อนที่ข่าวจะออก และเมื่อข่าวออกมา ราคากลับสวนทางกับทิศทางที่ควรจะเป็นอย่างไม่มีเหตุผล ตัวอย่างเช่น

 "มีกระแสข่าวออกมาว่ามีแนวโน้มที่เป็นไปได้มากว่าธนาคารกลางสหรัฐ "จะ"ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยในวันศุกร์นี้ แต่ก่อนที่จะมีการประกาศนั้น ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯได้ค่อยๆปรับตัวลดลงตั้งแต่วันจันทร์ที่มีกระแสข่าวออกมา ทำให้คู่เงินอย่าง EURUSD ค่อยๆไต่ระดับราคาขึ้นจนถึงเวลาที่ข่าวออกมาจริงๆ แล้วหลังจากนั้นไม่นานราคาก็ร่วงลงมา ซึ่งมักจะเกิดจากการที่นักลงทุนที่ได้เข้าซื้อ EURUSD ไว้ตั้งแต่เมื่อได้ยินข่าวนี้ในช่วงแรกๆ คิดว่าตอนนี้ราคาได้ขึ้นมามากแล้ว และตนเองได้กำไรพอสมควรแล้วจึงปิดออเดอร์เพื่อทำกำไร (โอว ราคาขึ้นมาสูงมากแล้ว และฉันก็ได้กำไรมากพอแล้ว ปิดออเดอร์ออกจากตลาด นอนกอดกำไรดีกว่า) ทำให้ราคาร่วงลงมาสวนทางกับข่าว" แบบนี้ก็มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้งในตลาด Forex เหมือนวลีที่ว่า  "Buy the rumor ,Sell the news" (ซื้อข่าวลือ ขายข่าวจริง) ซึ่งมองดูสวนทางกับเหตุและผลอย่างสิ้นเชิง และนั่นก็เป็นเหตุมาจากจิตวิทยาของนักลงทุนที่ทำให้เกิดพฤติกรรมต่างๆของนักลงทุน และส่งผลมาสู่ราคาในตลาดนั่นเอง

การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน Forex

 

Fundamental Analysis of Forex คือการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เพื่อดูแนวโน้มของค่าสกุลเงินจากสภาวะทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่ใช้กุลเงินนั้นๆเป็นสกุลเงินหลัก เช่น ถ้าเราจะเทรด USD ซึ่งเป็นสกุลเงินหลักของประเทศสหรัฐอเมริกา เราก็ต้องดูสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ ว่าเป็นเช่นไร หรือถ้าเราจะเทรด GBP เราก็ควรรู้ว่าเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร(UK) ดีหรือไม่ เป็นต้น ดังนั้นในการซื้อขายในตลาด Forex ซึ่งเราซื้อขายคู่สกุลเงินที่ถูกจับคู่ไว้แล้ว เราก็ต้องดูและเปรียบเทียบเศรษฐกิจของสองประเทศที่เป็นเจ้าของสกุลเงินนั้นๆ เพราะเป้าหมายของการวิเคราะห์ด้วยพื้นฐานคือการประเมินมูลค่าของสกุลเงินหนึ่งที่ต้านกับอีกสกุลเงินหนึ่ง โดยดูจากสภาพเศรษฐกิจภายในประเทศที่เกี่ยวข้อง การวิเคราะห์พื้นฐานจึงต้องพิจารณาตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจต่างๆ นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงเรื่องนโยบายของรัฐบาลรวมถึงมาตรการต่างๆ และโครงสร้างของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะบอกถึงอุปสงค์และอุปทานของสินค้าและบริการ  เพื่อที่จะบอกได้ว่าสกุลเงินนั้นๆมีมูลค่าต่ำหรือสูงกว่าเมื่อเทียบกับอีกสกุลเงินหนึ่ง

174
วันนี้เรามาดูกันกับเรื่อง forex การวิเคราะห์ทางเทคนิค คืออะไร ใช้อย่างไร

การวิเคราะห์ทางเทคนิคในตลาด Forex (Forex Technical)
                หากต้องการประสบความสำเร็จในตลาด Forex และอยากขนเงินเข้าประเทศครั้งละมากๆละก็ “คุณต้องอ่านตลาด Forex ให้ขาด” นั่นก็คือต้องมีเครื่องมือในการช่วยอ่านตลาด ในตลาด Forex มีหลักการอ่านตลาดอยู่สองแขนงใหญ่ๆ เช่นเดียวกับตลาดหุ้น คือ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน กับการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งในส่วนนี้จะอธิบายการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Forex Technical Analysis)
การวิเคราะห์ทางเทคนิคคือ การหาจุดซื้อขายโดยใช้ข้อมูลของอัตราแลกเปลี่ยนในอดีตมาสร้างเป็นกราฟแผนภูมิ เพื่อดูแนวโน้มต่างๆโดยไม่สนใจข้อมูลทางเศรษฐศาสตร์ เช่น อัตราดอกเบี้ย ข้อมูลการว่างงาน เป็นต้น
แผนภูมิที่นักเทรด Forex นิยมใช้กันมีทั้งหมด 3 แบบคือ
1. แผนภูมิแบบเส้น (Line Chart) คือ การนำราคาปิด มาสร้างเป็นกราฟต่อเนื่องกันไป โดยไม่นำราคาเปิด ราคาสูงสุด ราคาต่ำสุดมาแสดง



2. แผนภูมิแบบแท่ง (Bar Chart) คือ แผนภูมิแบบแท่งที่ประกอบด้วย ราคาเปิด ราคาปิด ราคาสูงสุด และราคาต่ำสุด



3. แผนภูมิแบบแท่งเทียน (Candlesticks Chart) มีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น ในอดีตใช้ในการวิเคราะห์การขึ้นลงของราคาพืชผลทางการเกษตร เนื่องจากแผนภูมิประเภทนี้นำเสนอข้อมูลด้านราคาอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น ราคาเปิด ราคาปิด ราคาสูงสุด และราคาต่ำสุด และด้วยความรวดเร็วในการแสดงสัญญาณต่าง ๆ จึงทำให้การวิเคราะห์แบบแท่งเทียนเป็นที่นิยมสูงสุดในปัจจุบัน



                หลังจากที่ได้เรียนรู้ถึงลักษณะแผนภูมิทั้งสามแบบไปแล้ว อยากให้คุณลองกลับไปถามตัวเองดูว่า ชอบมองกราฟแบบไหน และกราฟแบบไหนน่าจะเหมาะกับสไตล์การเทรด Forex ของตัวคุณ ใช้เวลากับตรงนี้ให้มาก เพราะเราจะอยู่กับมันไปอีกนาน โดยคนส่วนมากจะใช้การวิเคราะห์แบบแท่งเทียน ให้เลือกรูปแบบที่เหมาะกับตัวเอง ขอจบการอธิบายพื้นฐานเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคในตลาด Forex (Forex Technical Analysis) แต่เพียงเท่านี้

ทฤษฎีพื้นฐาน
กราฟ

มีกราฟหลัก 3 ชนิดที่ใช้กันในการวิเคราะห์ทางเทคนิค:

กราฟเส้น (Line Chart):
กราฟเส้นเป็นการแสดงประวัติอัตราแลกเปลี่ยนของคู่สกุลเงินในเวลาที่ผ่านมาแบบกราฟิก เส้นถูกสร้างขึ้นโดยการเชื่อมต่อราคาปิดประจำวันเข้าด้วยกัน

กราฟแท่ง (Bar Chart):
กราฟแท่งเป็นการแสดงลักษณะการเคลื่อนไหวด้านราคาของคู่สกุลเงิน โดยสร้างขึ้นจากแท่งแนวตั้งในช่วงเวลาระหว่างวันที่กำหนด (เช่น ทุก 30 นาที) แต่ละแท่งมี 'จุดดู' 4 ตำแหน่ง โดยแทนอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อเปิดตลาด ปิดตลาด ราคาสูงสุด และราคาต่ำสุด (OCHL) สำหรับช่วงเวลา

กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart):
กราฟแท่งเทียนเป็นกราฟชนิดหนึ่งที่แยกออกมาจากกราฟแท่ง ยกเว้นว่ากราฟแท่งเทียนแสดงราคา OCHL เป็น 'แท่งเทียน' ที่มี 'ไส้' ที่ปลายแต่ละด้าน เมื่อราคาเปิดอยู่สูงกว่าราคาปิด แท่งเทียนจะมีลักษณะ 'ตัน' เมื่อราคาปิดอยู่สูงกว่าราคาเปิด แท่งเทียนจะมีลักษณะ 'กลวง'

ระดับแนวรับและแนวต้าน (Support & Resistance Levels)

การใช้การวิเคราะห์ด้านเทคนิคอย่างหนึ่งคือการหาระดับ 'แนวรับ' และ 'แนวต้าน' แนวคิดพื้นฐานคือ ตลาดจะมีแนวโน้มที่จะเทรดกันที่ราคาสูงกว่าระดับแนวรับและต่ำกว่าระดับแนวต้าน ระดับแนวรับแสดงถึงระดับราคาที่แน่นอนซึ่งค่าเงินจะตัดผ่านลงไปต่ำกว่าราคานี้ได้ยาก ถ้าราคาไม่สามารถเคลื่อนที่ลงไปต่ำกว่าจุดที่แน่นอนนี้ได้หลาย ๆ ครั้ง รูปแบบเส้นตรงจะปรากฏขึ้น

ในทางตรงข้าม ระดับแนวต้านแสดงถึงระดับราคาที่แน่นอนซึ่งค่าเงินจะตัดผ่านขึ้นไปสูงกว่าราคานี้ได้ยาก การที่ราคาไม่สามารถเคลื่อนที่ขึ้นไปสูงกว่าจุดนี้ได้ซ้ำหลาย ๆ ครั้ง จะสร้างรูปแบบเส้นตรงขึ้น

ถ้าราคาเคลื่อนที่ทะลุแนวรับหรือแนวต้าน ก็คาดหมายว่าตลาดจะเคลื่อนที่ต่อเนื่องในทิศทางนั้น ระดับเหล่านี้หามาจากการวิเคราะห์กราฟและโดยการประเมินถึงจุดซึ่งตลาดชนแนวรับหรือแนวต้านซึ่งไม่สามารถผ่านได้ในอดีต

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages)

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นเครื่องมืออีกอย่างหนึ่งสำหรับการติดตามแนวโน้มราคา ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ในรูปแบบที่ง่ายที่สุด คือค่าเฉลี่ยของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 10 วัน ถูกคำนวณโดยการบวกราคาปิดย้อนหลัง 10 วัน จากนั้นหารด้วย 10 ในวันต่อมา ราคาที่เก่าที่สุดจะถูกทิ้งไป และราคาปิดของวันใหม่จะถูกเพิ่มเข้ามาแทน จากนั้นก็จะหารผลรวมของ 10 วันนี้ด้วย 10 ด้วยการดำเนินการในลักษณะนี้ ค่าเฉลี่ยจะ 'เคลื่อนที่' ในแต่ละวัน

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นวิธีการที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นในการเข้าหรือออกจากตลาด เพื่อช่วยหาจุดเข้าและจุดออก บ่อยครั้งที่จะนักวิเคราะห์จะวางทับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ลงบนกราฟแท่ง เมื่อตลาดปิดเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ โดยทั่วไปจะแปลความหมายว่าเป็นสัญญาณซื้อ ในทำนองเดียวกัน สัญญาณขายจะเกิดขึ้นเมื่อตลาดปิดต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ เทรดเดอร์บางคนชอบที่จะมองเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ให้เปลี่ยนทิศทางจริง ๆ ก่อนที่จะยอมรับว่านั่นเป็นสัญญาณซื้อหรือสัญญาณขาย

ความไวของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่และจำนวนของสัญญาณซื้อและขายที่กราฟสร้างขึ้น มีความสัมพันธ์โดยตรงกับช่วงเวลาที่เลือกสำหรับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 5 วันจะมีความไวมากกว่าและจะให้สัญญาณซื้อและขายมากกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 วัน ถ้าค่าเฉลี่ยไวเกินไป เทรดเดอร์จะพบว่าตัวเองกระโดดเข้าและออกจากตลาดบ่อยเกินไป ในทางตรงข้าม ถ้าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ไม่ไวเพียงพอ เทรดเดอร์ก็เสี่ยงที่จะพลาดโอกาส เนื่องจากพบสัญญาณซื้อและขายสายเกินไป

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากสำหรับเทรดเดอร์ที่ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค

เส้นแนวโน้ม (Trend Line)

เส้นแนวโน้มช่วยในการหาแนวโน้ม รวมทั้งบริเวณที่มีศักยภาพในการเป็นแนวรับและแนวต้าน เส้นแนวโน้มเป็นเส้นตรงที่เชื่อมต่อจุดยอดที่สำคัญอย่างน้อย 2 จุด หรือเป็นร่องในพฤติกรรมราคาของสกุลเงินอ้างอิง ต้องไม่มีพฤติกรรมราคาอื่นที่ทะลุเส้นแนวโน้มระหว่าง 2 จุด ในลักษณะนี้ เส้นแนวโน้มจะสร้างแนวรับหรือแนวต้านซึ่งราคาเปลี่ยนทิศทาง (จุดยอดและร่อง) และไม่มีการทะลุ ยิ่งเส้นแนวโน้มยาวขึ้น ก็จะยิ่งมีความถูกต้องมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าราคาแตะเส้นหลายครั้งโดยไม่ทะลุ

การทะลุเส้นแนวโน้มระยะยาวอาจเป็นตัวบ่งชี้ว่ากำลังจะเกิดการกลับตัวของแนวโน้ม อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรรับประกันว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น เช่นเดียวกับตัวชี้วัดทั้งหมดของการกลับตัวของแนวโน้มราคา ไม่มีวิธีที่บอกล่วงหน้าได้ว่าราคาในอนาคตจะไปทางไหน

จุดต่ำสุดสอง (สาม) จุด (Double (Triple) Bottoms) และจุดสูงสุดสอง (สาม) จุด (Double (Triple) Tops)

รูปแบบจุดต่ำสุดสองหรือสามจุด (double หรือ triple bottom) เป็นตัวบ่งชี้ที่ดีสำหรับคำสั่งขายล่วงหน้า (sell-stop order) ทางเทคนิค โดยปกติคำสั่งขายล่วงหน้า (sell-stop order) ดังกล่าวจะถูกส่งออกไปในราคาที่ต่ำกว่าราคาต่ำสุดก่อนหน้า ในทำนองเดียวกัน รูปแบบจุดสูงสุดสองหรือสามจุด (double หรือ triple top) เป็นตัวบ่งชี้ที่ดีสำหรับคำสั่งซื้อล่วงหน้า (buy-stop order) ในราคาที่สูงกว่าราคาสูงสุดก่อนหน้า

การปรับฐาน (Retracement)

เมื่อตลาดเคลื่อนที่ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว บางครั้งอาจมีการเปลี่ยนทิศทาง เนื่องจากนักลงทุนในตลาดทำกำไรออกมา ปรากฏการณ์นี้เรียกว่าการปรับฐาน (Retracement) บ่อยครั้ง นี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะกลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้งในระดับราคาที่น่าสนใจมากขึ้น ก่อนที่ราคาจะวิ่งตามแนวโน้มใหญ่ต่อไป

การใช้สัดส่วนฟิโบนัชชี (Fibonacci) เป็นวิธีทั่วไปในการวัดการปรับฐาน

การวิเคราะห์ทางเทคนิค
หลังจากที่เข้าใจแล้ว แนวคิดของการเทรด FX นั้นง่าย โดยที่สกุลเงินหนึ่งเป็นสินค้าที่มีความผันผวนเมื่อเทียบกับเงินอีกสกุลหนึ่ง โดยการซื้อ (หรือขาย) สกุลเงิน เทรดเดอร์ FX มีเป้าหมายที่จะทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน FX จุดดีของ FX ก็คือต้นทุนในการเทรดที่ต่ำมาก นั่นหมายความว่า การเทรดสามารถถูกดำเนินการในระยะเวลาที่สั้นมาก ๆ เพียงไม่กี่วินาที หรือจะเทรดแบบระยะยาวก็ได้

สิ่งที่ควรดูในการวิเคราะห์ทางเทคนิค
ค้นหาแนวโน้ม

หนึ่งในสิ่งแรก ๆ ที่คุณจะได้ยินในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานก็คือภาษิตต่อไปนี้: 'แนวโน้มคือเพื่อน' การหาแนวโน้มหลักจะช่วยให้คุณทราบทิศทางตลาดโดยรวมและทำให้คุณมองเห็นภาพได้ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการเคลื่อนไหวระยะสั้นมีแนวโน้มที่จะบดบังภาพรวม กราฟรายสัปดาห์และรายเดือนมีความเหมาะสมกว่าสำหรับการหาแนวโน้มระยะยาว ทันทีที่คุณพบแนวโน้มในภาพรวม คุณจะสามารถเลือกแนวโน้มของระยะเวลาที่คุณต้องการเทรดได้ ผลก็คือ คุณสามารถซื้อในขณะที่ราคาย่อลงระหว่างแนวโน้มขาขึ้น และขายตอนที่ราคาขยับขึ้นระหว่างแนวโน้มขาลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แนวรับและแนวต้าน

ระดับแนวรับและแนวต้านเป็นจุดซึ่งกราฟจะมีแรงซื้อหรือขายออกมามากกว่าปกติ โดยปกติระดับแนวรับเป็นจุดต่ำในแพทเทิร์นกราฟใด ๆ (รายชั่วโมง รายสัปดาห์ หรือรายปี) ในขณะที่ระดับแนวต้านเป็นจุดสูง หรือจุดสูงสุดของแพทเทิร์นกราฟ จุดเหล่านี้ถูกระบุว่าเป็นแนวรับและแนวต้านเมื่อกราฟแสดงให้เห็นแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นอีกครั้ง ถ้าดูแล้วไม่น่ามีการทะลุแนวรับ/แนวต้าน การซื้อ/ขายใกล้ระดับนี้จะได้ราคาดีที่สุด

ทันทีที่กราฟทะลุแนวเหล่านี้ แนวเหล่านี้มักจะเปลี่ยนเป็นด้านตรงข้าม ดังนั้น ในตลาดขาขึ้น ระดับแนวต้านที่มีการทะลุก็จะกลายเป็นแนวรับสำหรับแนวโน้มที่กำลังขึ้น ส่วนในตลาดขาลง ทันทีที่กราฟทะลุแนวรับ จุดนี้ก็จะเปลี่ยนไปเป็นแนวต้าน

เส้นและช่วงราคา

เส้นแนวโน้มเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย แต่ก็เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการยืนยันทิศทางของแนวโน้มตลาด ลากเส้นเอียงขึ้นโดยเชื่อมต่อจุดต่ำสุดที่ติดกันอย่างน้อยสองจุด โดยธรรมชาติ จุดที่สองต้องอยู่สูงกว่าจุดแรก ความต่อเนื่องของเส้นช่วยในการกำหนดเส้นทางที่ตลาดจะเคลื่อนที่ไป แนวโน้มขาขึ้นเป็นวิธีการที่เป็นรูปธรรมในการหาเส้น/ระดับแนวรับ ในทางตรงข้าม เส้นเอียงลงจะถูกลากโดยการเชื่อมต่อจุดสองจุดหรือมากกว่าเข้าด้วยกัน ความถูกต้องของเส้นแนวโน้มมีความสัมพันธ์กับจำนวนจุดที่ใช้เชื่อมต่อ อีกอย่างหนึ่งคือ จุดต่าง ๆ ต้องไม่อยู่ใกล้กันเกินไป ช่วงราคา (channel) ถูกกำหนดโดยเส้นราคาที่ลากโดยเส้นแนวโน้มที่ขนานกันสองเส้น เส้นต่าง ๆ ทำหน้าที่เป็นแนวกั้นราคาขาขึ้น หรือขาลง คุณสมบัติที่คุ้นเคยกันดีของช่วงราคาสำหรับการเชื่อมต่อจุดของเส้นแนวโน้ม คือราคาจะเคลื่อนไหวระหว่างจุดที่เชื่อมต่อกันสองจุดของเส้นตรงข้าม

175
วันนี้ admin จะมาแนะนำเรื่อง forex กราฟแท่งเทียน คืออะไร ใช้อย่างไร
1. กราฟแท่งเทียน คืออะไร?
ที่ผ่านมาเราคุยกันเรื่องกราฟแท่งเทียนอย่างย่อๆ ไปแล้วรวมทั้งการวิเคราะห์ด้วย ตอนนี้เราจะลงลึกไปสู่รายละเอียดกัน แต่ก่อนอื่นเรามาทบทวนกันคร่าวๆกันก่อน

การเทรดโดยใช้กราฟแท่งเทียน คืออะไร?
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ก็อดซิลล่ายังคงเป็นแค่กิ้งก่าน้อยดูดนมจ๊วบๆอยู่ กราฟแท่งเทียนได้ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคแบบเก๋ากึ๊ก เพื่อใช้ในการเทรดข้าว มีชาวตะวันตกคนหนึ่งชื่อว่า Steve Nison ค้นพบความลับเทคนิคการใช้และการอ่านกราฟแท่งเทียน มาจากโบรกเกอร์ที่ญี่ปุ่น และกราฟแท่งเทียนก็เลยอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ Steve ได้ศึกษาเรียนรู้ มีชีวิตอยู่และหายใจเข้าออกและแทบจะกินกราฟแท่งเทียน เขาเริ่มเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้และมันเริ่มเป็นที่นิยมในช่วงปี 1990 เพื่อที่จะทำให้เรื่องยาวๆสั้นลงหน่อย ก็คือว่า ถ้าไม่มี steve nison เรื่องราวของกราฟแท่งเทียนก็ยังคงเป็นความลับจนกระทั่งทุกวันนี้ Steve Nison ก็คือ Mr. Candlestick

โอเคแล้ว ไอ้กราฟแท่งเทียนนี้มันเป็นยังไง?

การอธิบายที่ดีที่สุดคือการอธิบายด้วยภาพ :



กราฟแท่งเทียนจะบอกราคาสูงสุดและต่ำสุด ราคาเปิดและราคาปิด

- ถ้าราคาปิดสูงกว่าราคาเปิดแล้ว กราฟแท่งเทียนก็จะถูกวาดขึ้น (ปกติจะเป็นสีขาว)

- ถ้าราคาปิดอยู่ต่ำกว่าราคาเปิด กราฟแท่งเทียนก็จะถูกวาดขึ้น (ปกติเป็นสีดำ)

- สิ่งที่ถูกวาดหรือว่าที่เติมสีลงไปนั้นเรียกว่าตัวแท่งเทียน หรือว่า body

- เส้นบางๆ ที่ทะลุขึ้นข้างบนหรือข้างล่างของตัว body แสดงให้เห็นราคาต่ำสูงเป็นไส้เทียน

- ที่จุดสูงสุดของไส้เทียนเรียกว่า “high”

- ที่จุดต่ำสุดของไส้เทียนเรียกว่า “low”

ประวัติความเป็นมาของกราฟแท่งเทียน

การวิเคราะห์เชิงเทคนิคโดยอาศัยกราฟแท่งเทียนนั้น เจ้าของตำรับที่แท้จริงคือชาวญี่ปุ่น เขาคือ Mr.Munehisa Homma ซึ่งมีความเป็นมาคือ

มื่อครั้งก่อนในสมัยอดีตช่วงประมาณ 200 กว่าปี ท่านได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับข้าวประสบความสำเร็จ จนร่ำรวย รัฐบาลญี่ปุ่นสมัยนั้นจึงได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นที่ปรึกษาด้านการคลัง โดยท่าน Munehisa Homma เกิดในปี 1724 ในครอบครัวที่ร่ำรวยและทำธุรกิจเกี่ยวกับข้าว เขามีความเชี่ยวชาญเรื่องการค้าข้าวเป็นอย่างยิ่ง มีความเข้าใจในตลาด เข้าถึงและรู้ซึ้งในอารมณ์ของผู้ซื้อเป็นอย่างดี  ด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูล นิสัยของผู้ซื้อ-ผู้ขายในแต่ล่ะครั้ง มาทำการวิจัยในเชิงจิตวิทยา แล้วกำหนดให้อยู่ในรูปแบบแท่งเทียน ทำการเก็บประว้ติและสติถิ จากนั้นนำไปคำนวนศึกษาหาแนวโน้มต่างๆ เพื่อประกอบในการตัดสินใจที่แม่นยำขึ้น

การอ่านกราฟแท่งเทียนไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อคาดเดาเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้แม่นยำ แต่เป็นการระบุสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นเราค่อยนำข้อมูลที่ได้ไปต่อยอดว่าควรจะทำอะไรหรือลงมือเทรดอย่างไรในขั้นตอนต่อไป

การแปลความหมายจากกกราฟแท่งเทียนโดยวิเคราะห์รูปแท่งเทียนเพียง 1 แท่ง อาจจะยังให้ข้อมูลไม่เพียงพอต่อการตัดสินใจลงมือเทรด เราจะต้องพิจาณาแท่งเทียนหลาย ๆ แท่งประกอบกัน ซึ่งจะใช้ข้อมูลพื้นฐานทั้ง 4 อย่างของแต่ละแท่งเทียน คือ ราคาเปิด ราคาปิด ราคาสูงสุด และราคาต่ำสุด มาเปรียบเทียบกันระหว่างแท่งเทียนแต่ละแท่งด้วย

เหตุผลโดยสรุป ที่นักลงทุนส่วนใหญ่นิยมนำกราฟแท่งเทียน (Candlesticks)มาวิเคราะห์ในเชิงเทคนิค เพื่อช่วยในการติดสินใจคือ

กราฟแท่งเทียน (Candlesticks) มีข้อมูลเพียงพอสำหรับการวิเคราะห์เพื่อใช้สำหรับการซื้อขายเพราะ ประกอบไปด้วย ราคาเปิด (Open Price) , ราคาปิด (Close Price) , ราคาสูงสุด (High Price) , ราคาต่ำสุด (Low Price) โดยนำข้อมูลทั้งหมดมาสร้างเป็นกราฟแท่งเทียนเพียงแท่งเดียว
กราฟแท่งเทียน 1 แท่ง สามารถอธิบายอารมณ์และบรรยากาศการซื้อขายในตลาดได้เป็นอย่างดี
กราฟแท่งเทียนสามารถบอกได้ว่าการซื้อขาย ณ ขณะนั้น ใครมีพลังมากกว่ากันระหว่าง กระทิงกับหมี หรืออีกในหนึ่งก็คือ มีแรงส่งไปทางขึ้นหรือลง นั่นเอง
สามารถบอกได้ว่า ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป มีโอกาสที่กราฟจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง ซึ่งหมายความว่า ตัวกราฟแท่งเทียนสามารถอ่านสัญญาณซื้อขายได้ด้วยตัวของมันเอง โดยไม่จำเป็นต้องมีดัชนีอื่นๆเข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ซื้อขาย



หมายเหตุ: แท่งเทียนสีเขียวหมายถึงหุ้นหรือค่าเงินที่เป็นขาขึ้น/แท่งเทียนสีแดงหมายถึงหุ้นหรือค่าเงินที่เป็นขาลง

176
มาต่อกันด้วยเรื่อง forex Withdraw funds คืออะไร ใช้อย่างไร

ปัญหาบางประการที่คุณต้องระวังในการทำ Withdraw funds
นอกเหนือจากการ Withdraw funds แล้ว ผมอยากจะนำเสนอปัญหาบางประการในการทำ Withdraw funds ที่คุณอาจต้องรู้ไว้ก่อน หรือเตรียมหาทางป้องกันไว้ก่อนที่มันจะเกิดปัญหาดังต่อไปนี้

1.ระวังบัตรโดนล๊อก 90 วัน

ผมเคยเจอปัญหานี้กับทาง exness นั่นคือบัตรเดบิตของผม ของธนาคารกรุงเทพโดนล๊อก ไม่สามารถรับเงินได้ภายใน 90 วัน ซึ่งนั่นเท่ากับว่าเป็นปัญหาใหญ่ของคุณขึ้นมาในทันที ก็ต้องใช้เวลาพอสมควรเลยครับจึงจะสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้

2.ถอนเงินไม่ออก

โดยปกติแล้ว การถอนเงินไม่ออกนั้นเกิดขึ้นได้ในกรณีเดียวเท่านั้นคือ คุณอาจมีการกรอกข้อมูลเกี่ยวกับการถอนเงินไม่ครบถ้วน เช่น การไม่ยืนยันบัตรประขาชน หรือ Passport ของคุณ (ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์แต่ละแห่ง) ดังนั้นอย่าลืมเรื่องเหล่านี้ก็ก่อนที่คุณจะทำ Withdraw funds นะครับ



ช่องทางการ Withdraw funds
1.ผ่านการโอนเงินบัญชีธนาคารออนไลน์

แบบแรกถือเป็นระบบ Withdraw funds ที่ได้รับความนิยมสูงสุด เพราะว่าง่ายต่อการดำเนินการ และที่สำคัญคือ คุณสามารถเลือกใช้บริการได้อย่างรวดเร็ว โดยปกติแล้วการ Withdraw funds ด้วยวิธีการโอนเงินผ่านทางธนาคารจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที หรืออาจนานถึง 24 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับแต่ละผู้ให้บริการ

2.ผ่านระบบบัตรเครดิตและเดบิต

ช่องทางที่สองในการทำ Withdraw funds คือการใช้ระบบตัดบัตรเครดิต เดบิต ช่องทางนี้ก็ถือว่าง่ายต่อการทำ Withdraw funds เช่นเดียวกัน แต่คุณก็ต้องระวังปัญหาเรื่องของการที่บัตรนั้นติด Lock ใน 90 วันไว้ด้วยเช่นเดียวกันครับ

3.ผ่านการจ่ายเป็นเช็ค

แบบที่สามนี้ค่อนข้างจะได้รับความนิยมน้อย แต่ก็มีผู้ที่เลือกใช้อยู่บ้าง ด้วยการสั่งจ่ายออกมาในรูปแบบของเช็คนั่นเอง สำหรับการสั่งจ่ายเป็นเช็ค ถือเป็นวิธีการอย่างง่ายๆ และมีข้อดีคือ คุณจะได้รับเงินเป็นก้อนๆ หรือบางที เช็คก็ให้ความรู้สึกเสมือนหนึ่งว่าเป็นใบประกาศนียบัตรรับรองความสามารถของคุณไปในตัวด้วยเช่นเดียวกัน



Withdraw funds คืออะไร


Withdraw funds คืออะไร
คำศัพท์คำนี้ถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะว่าหากไม่มีคำนี้แล้ว จะหมายถึง ความเสียหายครั้งใหญ่ เพราะว่าคุณนั้นจะไม่สามารถถอนเงินหรือว่าเงินออกมาจากบัญชีได้นั่นเอง ดังนั้นมาสำรวจไปพร้อมๆกันกับคำว่า Withdraw funds ว่ามีความหมายว่าอย่างไร และเกี่ยวข้องอะไรกับการเทรด forex

Withdraw funds คืออะไร
คำว่า Withdraw funds หมายถึงการถอนเงินทุนของคุณจากช่อง Balance ออกมา ซึ่งในแต่ละโบรกเกอร์นั้นก็จะมีข้อกำหนดในการถอนเงินออกมาที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับวิธีการและแนวทางของแต่ละที่ครับ สำหรับโดยปกตินั้นแนวทางในการกด Withdraw funds มักจะทำช่องทางเดียวกันกับตอนที่ฝากเงินเข้าไป

การฝากถอนเงินมีเงื่อนไขดังนี้: การฝากเงินและถอนเงินจะต้องทำโดยเจ้าของบัญชีเท่านั้น ไม่สามารถทำรายการผ่านคนอื่นได้ 1 บัญชีเทรดสามารถเลือกฝากได้ 1 ช่องทางเท่านั้น ถ้าต้องการฝากหลายช่องทางท่านสามารถเปิดบัญชีเทรดเพิ่มได้ สำหรับการฝากผ่านช่องทาง Wire transfer และ OKPay ท่านสามารถถอนได้ตามช่องทางดังนี้ FXCL Markets ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกเงื่อนไขนี้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า Wire transfer - ท่านสามารถถอนได้ทาง Wire transfer, Neteller OKPay - ท่านสามารถถอนได้ทาง OKPay, Perfect Money, Neteller


177
บทต่อมาเรามาลองดูเรื่อง forex Webmoney คืออะไร ใช้อย่างไร

Webmoney กับ forex
หากคุณต้องการเทรด forex กับบรรดาโบรกเกอร์เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น exness.com fbs.com instaforex.com fxoprn.com โบรกเกอร์ชั้นนำเหล่านี้ต่างรองรับ บริการในการฝากและถอนเงินจากทางธนาคารออนไลน์ และผู้ให้บริการธุรกรรมออนไลน์อย่าง Webmoney กันทั้งสิ้นครับ ถือได้ว่าเพียงแค่คุณสมัครเปิดบัญชีกับทาง Webmoney คุณก็ปลอดภัยแล้วในเรื่องของการ ฝาก และการถอนเงินเข้าบัญชีของธนาคารไทย

สรุปแล้ว หากคุณต้องการเทรด forex การเลือกเปิดบัญชีกับทาง Webmoney น่าจะเป็นอีกหนึ่งโจทย์ ที่ช่วยให้คุณสามารถเลือกเทรดกับ forex ในหลายๆโบรกเกอร์ได้ โดยเฉพาะโบรกเกอร์ที่อยู่ในแถบยุโรป หรือว่ารัสเซียก็ตาม

ประโยชน์จากการใช้ Webmoney
1.สามารถสั่งซื้อสินค้าจากรัสเซีย หรือว่ายุโรปง่ายมาก

เนื่องจากบริการการสั่งซื้อสินค้าแบบออนไลน์ในทางรัสเซีย หรือว่ายุโรปนั้น ต่างหันมาใช้บริการกับทาง Webmoney เป็นจำนวนมาก ดังนั้นการเป็นสมาชิกกับทาง Webmoney ย่อมทำให้คุณได้รับประโยชน์ในการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์จากกลุ่มประเทศเหล่านี้

2.ใช้ในการโอนเงินกันระหว่างบัญชี

อันนี้ความรู้สึกจะคล้ายๆกับการโอนเงินผ่านธนาคารกันต่างๆนั่นเอง เช่นโอนจากธนาคารกรุงไทย ไปยังธนาคารกรุงเทพเป็นต้น ต่างกันตรงที่ว่า Webmoney จะเป็นการฝากเงินเข้าไปในบัญชีของทาง Webmoney เสียก่อน แล้วจากนั้นจึงมีการโอนเงินกันไปตามบัญชีที่มีการรองรับการใช้ Webmoneyนั่นเอง

3.ใช้ในการฝากถอนเงิน forex

ประโยชน์ประการสุดท้าย และถือว่าเป็นข้อที่มีความสำคัญมาคือ โบรกเกอร์จำนวนมาก ต่างเลือกใช้บริการฝาก และถอนเงินกับทาง Webmoney ซึ่งมีค่าธรรมเนียมในการโอนเงินที่ต่ำมาก หรือแทบจะเรียกว่าไม่มีค่าธรรมเนียมเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงเหมาะสมอย่างยิ่งในการนำมาใช้เป็นธนาคารกลางในการฝากถอนเงินของ forex

Webmoney คืออะไร
ถ้ากล่าวถึงธนาคารกลางหรือที่เรียกว่าธนาคารออนไลน์นั้น เชื่อว่าหลายๆคนคงนึงถึงธนาคารอย่าง Paypal แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีธนาคารออนไลน์อีกมามาย ที่คุณนั้นควรรู้จักไว้ เพื่อใช้ในการทำธุรกรรมออนไลน์ หนึ่งในหลายๆธนาคารที่ต้องการแนะนำให้รู้จักคือ Webmoney สำหรับ Webmoney คืออะไร และเกี่ยวข้องอะไรกับ forex บ้าง มาศึกษาจากบทความนี้กันครับ

Webmoney คืออะไร
อันดับแรกมาทำความเข้าใจก่อนว่า Webmoney คืออะไร Webmoney คือผู้ให้บริการธุรกรรมออนไลน์ (ธนาคารออนไลน์) คุณสามารถฝากเงินเข้าไปในบัญชีของ Webmoney เพื่อไปทำธุรกรรมอื่นๆตามต้องการได้ เช่นการสั่งซื้อสินค้า หรือแม้กระทั่งการฝากเงินเข้าไปในบัญชีของโบรกเกอร์ที่เกี่ยวข้องกับการเทรด forex ก็สามารถทำได้เช่นกัน




ธนาคารออนไลน์ Webmoney หรือ เว็บมันนี่
Webmoney เป็นธนาคารออนไลน์ที่ให้บริการเกี่ยวกับการทำธุรกรรมต่างๆ เราสามารถรับ-ส่งเงินระหว่างบัญชีได้ง่ายมากๆ โดยการเติมเงินเข้าสู่บัญชีเว็บมันนี้ของเราให้เรียบร้อย จากนั้นก็สามารถใช้ซื้อสินค้า โอนให้บุคคลอื่น หรือแม้แต่ฝากเงินเข้าสู่โบรกเกอร์เพื่อเริ่มต้นเทรดForexก็ได้เช่นกัน แถมในการฝากเงินเข้าบัญชีเทรดผ่านทางWebmoneyยังเป็นช่องทางที่ถูกที่สุด(แทบจะทุกโบรกเกอร์)อีกด้วย

ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับ  Webmoney

ก่อตั้งโดยบริษัท WM Transfer Ltd เมื่อปี 1998 webmoney เป็นเงินออนไลน์ที่มีระบบการทำงานที่หลายหลาย โดยผู้เปิดบัญชี จะมี WMID ในรูปแบบ Passport และรหัสการใช้งานเป็นของตัวเองผ่าน ระบบเข้าสู่บัญชี ซึ่งมีให้เลือกอยู่ 4 ประเภท คือ

1. WM Keeper Classic (เข้าสู่ระบบโดยการลงโปรแกรม) ข้อมูลที่สำคัญทั่งหมดเกี่ยวกับ Webmoney Keeper Classic ดูได้จากลิงค์นี้
โค๊ด: [Select]
http://wiki.wmtransfer.com/wiki/list/WM%20Keeper%20Classic
2. WM Keeper Light (เข้าสู่ระบบโดยผ่านเว็ป browser) ข้อมูลที่สำคัญทั่งหมดเกี่ยวกับ Webmoney Keeper Light ดูได้จากลิงค์นี้
โค๊ด: [Select]
http://wiki.wmtransfer.com/wiki/list/WM%20Keeper%20Light
3. WM Keeper Mini (เข้าสู่ระบบผ่านเว็ป browser โดยลดฟังก์ชั่นการใช้งานลง) ข้อมูลที่สำคัญทั่งหมดเกี่ยวกับ Webmoney Keeper Mini ดูได้จากลิงค์นี้
โค๊ด: [Select]
http://wiki.wmtransfer.com/wiki/list/WM%20Keeper%20Mini
4. WM Keeper Mobile (เข้าสู่ระบบผ่านมือถือ) ข้อมูลที่สำคัญทั่งหมดเกี่ยวกับ Webmoney Keeper Mobile ดูได้จากลิงค์นี้
โค๊ด: [Select]
http://wiki.wmtransfer.com/wiki/list/WM%20Keeper%20Mobile

ในระบบบัญชีของ webmoney เราสามารถแบ่งสกุลเงินออกเป็นทั้งหมด 8 ประเภทด้วยกัน ประกอบด้วย WMR (RUR) , WMZ (USD), WME (Euro) , WMU (UAH) ,WMB (Blorussian Roubles), WMY (Uzbek Sum) , WMC and WMD (USD) และ WMG (Gold) ซึ่งเราสามารถสร้างบัญชีสกุลเงินต่างๆได้ด้วยตัวเองตามการใช้งาน

178
ทางเว็บไซด์ขอนำเสนอเรื่อง forex Webinars คืออะไร ใช้อย่างไร

Webinars คืออะไร
เชื่อว่านักลงทุนในตลาด forex ทุกคนต่างต้องเคยได้ยินกับความว่า Webinars กันทั้งสิ้น สำหรับคำว่า Webinars คืออะไร และมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรกับการลงทุน วันนี้ผู้เขียนมีคำตอบมาฝากกันครับ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเรามีความเข้าใจในระบบ Webinars น่าจะช่วยให้ระบบการเทรดของเราดีขึ้นและเป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้นด้วย มาดูกันครับว่า Webinars คืออะไรกัน

1.ระบบ Webinars คืออะไร
Webinars ย่อมาจาก “Web-based seminar” ซึ่งหมายถึงการสัมมนาออนไลน์ระหว่างผู้นำเสนอ และผู้เข้าร่วมสัมมนาจำนวนมาก โดยผ่านทางระบบออนไลน์ คือ ระบบการสัมมนาอบรมความรู้แบบออนไลน์นั่นเอง โดยที่คุณนั้นสามารถเรียนรู้ เรื่องราวและเทคนิคในการเทรด forex ผ่านระบบ Webinars โดยที่คุณนั้นไม่ต้องเดินทางออกไปยังห้องสัมมนาแต่อย่างใด ไม่จำเป็นต้องเสียเวลา เสียเงิน เพื่อเดินทางไปเข้าร่วมสัมมนาแบบเดิมๆ แค่มีคอมพิวเตอร์ กับอินเทอร์เนตก็สามารถเข้าร่วมได้ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ตาม ในปัจจุบันระบบ Webinars ถูกนำมาใช้อย่างมากในการอบรมการเทรด forex หรือแม้แต่การอบรมสัมมนาด้านอื่นๆครับ

Webinars คืออะไร

ผู้เข้าร่วมสัมมนาสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โต้ตอบกับวิทยากรได้ มีการตั้งคำถาม มีการอธิบาย และมีกิจกรรมในการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างผู้เข้าร่วมและวิทยากร โดยสามารถเห็นหน้าผู้ร่วมสัมมนาด้วยกันได้ สามารถพูดคุย ตอบโต้ ซักถาม พูดคุย กันได้ สามารถแชร์ไฟล์ แชร์เอกสาร แชร์ VDO ให้ผู้ร่วมสัมมนาทุกท่านได้เห็นไปพร้อมๆกัน มีการโต้ตอบแบบ Real Time สามารถประชุมพร้อมกันได้ทุกที่แม้จะอยู่ต่างที่ หรืออยู่คนละประเทศกันก็ไม่มีปัญหา

แล้ว Webinar นี้ต่างจาก Camfrog ที่เขาใช้อย่างไร คำตอบคือ ต่างกันแน่นอน วัตถุประสงค์ของ Camfrog นั้นออกแบบมาเป็น Video chat ซึ่งเอาไว้คุยและเห็นหน้ากันเป็นกลุ่ม ไม่มีระบบรองรับการสัมมนา ถ้าเอามาใช้ในทางธุรกิจ ก็ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่

ส่วน Webinar นั้น ได้รับการออกแบบมาสำหรับการจัดสัมมนาจริงๆ ซึ่งจะมีในส่วนที่ Camfrog ไม่มี คือ มี Presentation Slide, Video Yuotube, Whiiteboard, chat จึงเหมาะแก่การใช้สัมมนาจริงๆ ครับ

Webinars คืออะไร (5)

Webinar นี้ยังแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ Live Webinar และ Archive (on-demand) Webinar โดยความแตกต่างระหว่าง Live Webinar กับ Archive Webinar คือ

Live Webinar นั้นเป็นการบรรยายที่ผู้เข้าร่วมสัมมนาจะต้องเข้าฟังในช่วงเวลาที่กำหนดเท่านั้น ซึ่งผู้เข้าร่วมสัมมนาสามารถสอบถามปัญหา ข้อสงสัยในระหว่างการบรรยาย(หรือหลังการบรรยาย) กับผู้นำเสนอได้
Archive (on-demand) Webinar เป็นการบันทึกการบรรยาย สามารถดูเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ผู้เข้าร่วมสัมมนาจะไม่สามารถซักถามข้อสงสัยกับผู้นำเสนอแบบ Real Time ได้ครับ
 Webinars คืออะไร (2)

2.ประโยชน์ของระบบ Webinars
หากจะกล่าวถึงประโยชน์ของระบบ Webinars แล้ว สามารถแยกออกเป็นหัวข้อย่อยๆได้ดังต่อไปนี้คือ

        2.1 ช่วยให้ผู้เทรด forex สามารถเรียนรู้เทคนิคการเทรด forex ได้โดยที่ไม่ต้องเดินทางมายังห้องสัมมนาด้วยตนเอง การเข้าร่วมสัมมนาออนไลน์สามารถทำได้จากที่ทำงาน ห้องประชุม หรือแม้แต่จากที่บ้านของผู้เข้าร่วมสัมมนา โดยสิ่งที่ต้องการมีเพียงแค่เครื่องคอมพิวเตอร์และสัญญาณ Internet ทำให้ไม่ต้องเสียเวลา และค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ตลอดจนค่าที่พัก

        2.2 ช่วยให้เราสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา เพราะว่าระบบการอบรมผ่าน Webinars นั้นมีระบบการจดบันทึก สามารถทำให้เรานั้นเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลาตามต้องการ

        2.3 คุณสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ร่วมกับผู้เรียนคนอื่นๆได้ตามต้องการ Webinars จึงเปรียบเสมือนเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกับผู้เรียนคนอื่นๆ และการสัมมนาออนไลน์นี้ช่วยให้สามารถฝึกอบรมบุคลกรที่เกี่ยวข้องได้โดยไม่จำกัดจำนวน และสถานที่ ด้วยค่าใช้จ่ายที่ถูกมาก

       2.4 การเข้าร่วมสัมมนาออนไลน์จะเป็นทั้งแบบฟรี และแบบที่เก็บเงิน (พึงเข้าใจว่าแบบฟรีจริงๆเลยของการสัมมนา Forex มักไม่มี โดยมักมีเจตนาแอบแฝงเสมอๆ)

       2.5 โดยปกติการสัมมนาออนไลน์ จะใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง ดังนั้นผู้เข้าร่วมสัมมนาไม่ต้องเสียเวลาทั้งวันไม่ล้าสมองเหมือนการสัมมนาแบบปกติ โดยคุณยังสามารถทำงานในช่วงเวลาที่เหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Webinars คืออะไร (1)

3.เทคนิคการใช้ Webinars ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
เพื่อให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากระบบ Webinars ได้สูงสุด การปฏิบัติตามแนวทางที่จะได้แนะนำด้านล่างนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อคุณไม่มากก็น้อย ลองมาดูกันว่ามีแนวทางอย่างไรกันบ้าง

        3.1 ติดตามข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดอบรมใน Webinars ของคุณให้บ่อยที่สุด

        3.2 เลือกที่จะอบรมเฉพาะในวัน หรือเวลาที่มีความจำเป็นกับคุณมากๆ แต่ถ้ามีระบบ Archive Webinar มันก็จะทำให้คุณบริหารเวลาได้ง่ายขึ้น

        3.3 หมั่นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกับผู้ที่เข้าร่วมสัมมนากันทุกคน จะทำให้คุณนั้นได้ประโยชน์มากที่สุด

        3.4 อย่าลืมในเรื่องของการจดบันทึกข้อมูลที่คุณได้รับด้วยเสมอๆ เพื่อใช้ในการทบทวนและศึกษาต่อยอดครับ


Webinars คืออะไร (6)

4.เลือกโบรกเกอร์ที่มี Webinars
ในปัจจุบัน หลายๆโบรกเกอร์จะมีบริการทางด้านนี้อยู่ เพื่อให้ความรู้แก่ลูกค้าในการลงทุนในตลาด Forex ซึ่งก็จะมีข้อดีคือเราไม่ต้องเดินทางไปสัมมนาการลงทุน Forex ของโบรกเกอร์นั้นๆ ในที่ไกลๆ สามารถกำหนดตารางเวลาที่จะเข้าไปสัมมนาออนไลน์ได้ด้วยตัวเอง ทำให้มีความสะดวก เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องการเดินทาง การหาที่พัก ฯลฯ สำหรับโบรกเกอร์ที่มีบริการ webinars ก็อย่างเช่น FXPRIMUS, InstaForex เป็นต้น ครับ

ดังนั้นเมื่อคุณได้เทคนิคประการสำคัญตามที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว เพื่อประโยชน์เพิ่มขึ้น ผมแนะนำว่า อย่าลืมมองหาโบรกเกอร์ที่มีบริการในเรื่องของ Webinars ให้กับคุณด้วยนะครับ

เป็นอย่างไรบ้าง พอเป็นแนวทางง่ายๆในการทำความเข้าใจว่า Webinars คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไรต่อการเทรด forex ของคุณ ดังนั้นเมื่ออ่านบทความนี้จบแล้ว ก็อย่าลืมจดตารางการสัมมนาของโบรกเกอร์ที่คุณเป็นสมาชิก และทำการเรียนรู้ผ่าน Webinars กันนะครับ

https://www.youtube.com/watch?v=XuWQb7bib9I

179
กระทู้นี้เราจะมากล่าวกันถึงเรื่อง forex VPS คืออะไร ใช้อย่างไร

VPS คือคอมพิวเตอร์จำลอง ไว้รันบอท Forex 24 ชม.

VPS ย่อมาจาก Virtual Private Server คือเครื่องคอมพิวเตอร์จำลอง ที่เราสามารถ Remote Desktop ผ่านเน็ตเข้าไปใช้งาน หรือรันโปรแกรมทิ้งไว้ได้ โดยมี Internet ความเร็วสูง บริการ 24 ชม.

หลักการคร่าวๆ คือ เจ้าของเครื่อง Server จะใช้โปรแกรมแบ่งเครื่อง Server ตัวเอง ออกเป็นเครื่องเสมือนย่อยๆหลายๆเครื่อง แบ่ง RAM แบ่งฮาร์ดดิสก์ แบ่ง CPU ของแต่ละเครื่องเสมือนออกจากกัน ซึ่งข้อดีสำหรับการใช้ VPS มีดังนี้ครับ

1. เรามี Server เป็นของตัวเองโดยสมบูรณ์

เราจะเหมือนเป็นเจ้าของ Server เองเลย เราจะมี IP เป็นของตัวเอง ไม่ต้องแชร์กับใคร สามารถลงโปรแกรมอะไรได้ตามต้องการ จะใช้เครื่องเดียวนี้เปิดบอทซักกี่ตัว ก็แล้วแต่เรา ไม่ต้องห่วงว่าจะมีใครมายุ่งกับคอมเครื่องนี้

การที่เรามีเนื้อที่ มี CPU มี RAM เป็นของเราเอง มี Internet ความเร็วสูง มีความเสถียร เปิด 24 ชม. ทำให้เราไม่ต้องห่วงว่าคอมที่บ้านจะดับเน็ตจะตัดหรือไม่

2. ค่าใช้จ่ายน้อย

เนื่องจาก VPS เป็นการเอาเครื่องจริงๆ มาจำลองเป็นเครื่องเสมือนหลายๆเครื่อง จึงทำให้การเช่า VPS มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการเปิดคอมไว้ที่บ้าน

ค่าไฟ ค่าเน็ต ก็ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม เราสามารถ Remote ผ่านมือถือ Tablet หรือแม้แต่คอมพิวเตอร์ได้เลย

ประโยชน์ของการใช้ VPS

ประโยชน์ของการใช้ VPS มีอะไรบ้าง มาดูไปพร้อมกันดังนี้ครับ

1.ใช้สำหรับให้ EA หรือ bot เทรดแทน

เนื่องจากความสำคัญของการสั่ง หรือการออกคำสั่งนั้นมีผลที่สำคัญมากๆต่อการเทรด ดังนั้น การใช้ VPS จึงจะสามารถช่วยให้ bot นั้นสามารถทำงานเพื่อการเทรดได้อย่างรวดเร็ว ไม่เจอปัญหาเปิดสัญญาไม่ติด หรือว่าการเชื่อมต่อหลุดอย่างแน่นอน

2.ช่วยให้เราไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ

เมือเราเลือก bot มาใช้งาน ข้อดีของเราคือ เราก็ไม่จำเป็นแล้วที่จะต้องมานั่งเฝ้าหน้าจอเพื่อที่จะทำการเทรด เนื่องจากตัวโปรแกรมนั้นสามารถวางการเทรดไว้เรียบร้อยแล้ว คุณสามารถทำกิจกรรมอื่นๆได้อย่างสบายใจตามที่ต้องการเลยครับ และนี่ถือเป็นข้อดีที่ผมชอบมากๆ

3.เอามาช่วยในการเทส Ea ได้ดียิ่งขึ้น

ข้อดีของการใช้ VPS อีกประการหนึ่งคือ คุณสามารถเลือก VPS มาเพื่อใช้ร่วมกับ EA ต่างๆ อันจะส่งผลให้การเทรดของคุณนั้นสามารถเทสได้ว่า EA ตัวไหนที่สามารถใช้งานได้ ในขณะที่อีเอตัวไหนที่ไม่เหมาะสม การใช้ VPS มันจะช่วยให้คุณสามารถเดาหรือทำนายได้อย่างแม่นยำ

VPS กับความเสี่ยงในการใช้

การเลือกใช้ VPS ย่อมมีความเสี่ยงนะครับ เพราะว่า คุณอาจจะต้องจ่ายเงินมากกว่าการเทรดแบบทั่วๆไป เพราะการเช่า VPS โดยส่วนใหญ่แล้วจะต้องมีค่าใช้จ่ายรายเดือนที่คุณนั้นจะต้องจ่ายไปนั่นเอง แต่รายจ่ายที่มากขึ้นก็มาพร้อมกับโอกาสในการทำกำไรที่มากขึ้นด้วยนะครับ

สรุปแล้วถ้าหากคุณนั้นต้องการใช้ bot เพื่อทำการเทรด forex แทนคุณ การเลือกใช้ VPS น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเพราะทำให้ระบบสามารถทำงานแบบหนักๆได้ และที่สำคัญคือ คุณสามารถปล่อยให้ระบบมันทำงานด้วยตัวของมันเองในขณะที่คุณนั้นไม่ต้องทำอะไรอีกเลยก็ได้ ระบบ VPS จะมีความเสถียรกว่า และเร็วกว่าระบบทั่วๆไปอย่างแน่นอน

VPS คืออะไร

คำหนึ่งที่นักเทรด forex ทุกคนต้องเจอและอาจต้องใช้ด้วยคำว่า VPS สำหรับคำศัพท์คำนี้นั้นหมายถึงอะไร และมีประโยชน์อะไรบ้าง สำหรับการเทรดของคุณ วันนี้เรามาทำความรู้จักกับคำว่า VPS ไปพร้อมๆกันนะครับ

คำว่า VPS คืออะไร

อันดับแรกเลยคือ การมาทำความรู้จักกับคำว่า VPS เสียก่อน คำว่า VPS มาจากคำเต็มที่ว่า Virtual Private Server หรือเป็นการสร้างระบบของโปรแกรม เครื่องคอมพิวเตอร์ไว้ที่เครื่องคอมของเรา ซึ่งเจ้า VPS จะมีผลให้ระบบการเทรด forex ของเรานั้นมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และทำให้สามารถใช้โปรแกรม Bot ในการรันโปรแกรมเพื่อให้ใช้งานได้เร็วขึ้น

https://www.youtube.com/watch?v=EjBXrqqaZUw

180
สำหรับเพื่อนๆ ที่ยังไม่รู้จัก forex Volume คืออะไร ใช้อย่างไร วันนี้เรามาลองดูกันนะครับ

ข้อจำกัดของการใช้ Volume

1.ไม่สามารถใช้ตัวเดี่ยวๆได้ ข้อจำกัดประการแรกของ Volume คือไม่สามารถใช้แบบเดี่ยวๆได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่คุณนั้นจะต้องใช้ร่วมกับเครื่องมือในการชี้วัดตัวอื่นๆประกอบกัน จึงจะสามารถตอบได้ว่า ค่า Volume นั้นกำลังจะเดินไปในทิศทางใดเป็นต้น ดังนั้นต้องไม่ลืมในเรื่องนี้โดยเด็ดขาด

2.อาจมีค่าผิดพลาดสูง หากเป็น Volume สำหรับการเทรดหุ้นนั้น อาจมักไม่ค่อยเจอค่าที่มีความผิดพลาด แต่ถ้าเป็น Volume ที่มาจากการเทรด forex อาจเจอปัญหาคือ ค่าที่มีความผิดพลาดส่งผลให้คุณนั้นไม่สามารถเทรดทำกำไรได้ และอาจเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่าการขาดทุนด้วย ดังนั้นจงอย่าลืมเรื่องนี้โดยเด็ดขาด

สรุปแล้ว การเลือกใช้ Volume ประกอบการเทรด forex ก็ถือว่ามีความสำคัญเช่นเดียวกัน และที่สำคัญคือ ช่วยให้คุณนั้นสามารถตัดสินใจเทรดได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น แต่กระนั้นก็ตามต้องไม่ลืมที่จะใช้เครื่องมือประกอบการเทรด หรือเครื่องมือทางเทคนิคเพิ่มขึ้นมากกว่าตัวที่เทรดอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้คุณนั้นมั่นใจได้ว่าจะไม่ผิดพลาดจากการเทรดครับ

ประโยชน์ของการใช้ Volume

1.ช่วยให้เราสามารถคาดการณ์ราคาที่สูงที่สุด เมื่อมูลค่าการซื้อขายในค่าเงินนั้นมีอัตราที่สูง โดยเฉพาะเมื่อค่าของ Volume เข้าไปอยู่ใกล้จุดที่เรียกว่ายอดของเขาน้ำแข็ง ซึ่งแน่นอนเราสามารถทำนายได้เลยว่าแนวโน้มของราคาน่าจะมีการวิ่งลงมา

2.ช่วยให้มีเครื่องมือประกอบการตัดสินใจเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหากเป็นการเทรดเพื่อเน้นถึงเรื่องของความแน่นอนแล้ว การใช้ค่า Volume น่าจะสามารถช่วยในการทำนายได้เป็นอย่างดีมากยิ่งขึ้น แต่ต้องใช้ร่วมกับเครื่องมือตัวอื่นๆด้วย เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ของกราฟได้มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น

3.ลดความสูญเสียที่เกิดจากการเปิดสัญญาที่ผิดพลาด เรื่องนี้ถือว่าสำคัญมากๆ เพราะการลดการสูญเสียจากการเปิดสัญญาที่ผิดพลาดสามารถกระทำได้จากการที่คุณนั้นมองเห็นว่าจะต้องเปิดสัญญาเมื่อใด โดยอาศัยการคาดการณ์จากเรื่องดังกล่าวคือการดูค่าที่เรียกว่า Volume นั่นเอง

Volume คืออะไร

อีกหนึ่งค่าที่ถือว่ามีความสำคัญ สำหรับผู้ที่ต้องการเทรด forex คือค่าที่เรียกว่า Volume โดยค่านี้นั้น ถือว่าเป็นค่าที่ช่วยให้เราสามารถคาดการณ์ หรือเดาทิศทางของราคาค่าเงิน และคู่เงินต่างๆว่าจะมีแนวโน้มเดินทางไปในทิศทางใด สำหรับผู้เขียนแล้วค่า Volume อาจไม่ค่อยได้ใช้งานมากนัก

Volume คืออะไร

Volume คือหน่วยของการถือครองราคาคิดออกมาเป็น มูลค่า ซึ่งโวลุ่มนั้นมักเกิดขึ้นจากราคาเสนอซื้อ และราคาเสนอขาย สำหรับการเทรด forex นั้น หากคุณมีความรู้เรื่องของ Volume ก็สามารถช่วยให้เรานั้นคาดการณ์แนวโน้มของราคา และปริมาณการซื้อขายได้

Volume กับ Candle Stick
Volume บอกเราได้ถึงการต่อสู้เทรน แท่งVolume ที่ดีจะบอกเราได้ว่าใครชนะระหว่าง "หมี & กระทิง" อย่างไรก็ตาม  ถ้า Volume มีปริมาณมาก แต่ราคายังไม่ไปไหนเลย ก็เป็นสัญญาณ "อันตราย" เตือนได้ว่าตอนนี้ หมีกับกระทิงกำลังสู้กันอย่างหนัก เดี๋ยวพอได้ผู้ชนะ ราคาก็จะไปทางนั้น

แท่งราคายาว & Volume มาก = Trend  นั่นคือ ราคาจะยังคงเป็นเทรนเดิมต่อไป
แท่ง ราคายาว & Volume น้อย = Fake นั่นคือ สัญญาณหลอก ถ้าแท่งเป็นขาขึ้นก็ขึ้นไม่นาน ถ้าลง ก็ลงไม่นาน อาจเป็นสัญญาณ fail Break out  ถ้าเกิดบริเวณแนวรับแนวต้าน
แท่งราคาสั้น & Volume น้อย = Weak บอกได้ถึง เทรนนั้นกำลังอ่อนแอ ให้เตรียมตัวปิดเก็บกำไรได้
แท่ง ราคาสั้น & Volume มาก = Squat คือสัญญาณว่ามันกำลังเตรียมตัวพุ่งไปทางใดทางหนึ่ง หลังจากหมีกับกระทิงตีกันเสร็จ ใครชนะราคาก็จะพุ่งไปทางนั้น

Volume กับ Divergence
จาก ประสบการณ์ของตัวเองในตลาด Forex พบกว่ายังมีเทรดเดอร์บางกลุ่ม (รวมทั้งตัวเราด้วย) ได้ใช้ประโยชน์จากการดู Volume กับ Divergence ในการอ่านและคอนเฟิร์มรูปแบบ Chart Pattern ต่างๆด้วย โดยที่เราสามารถดู Divergence ได้จาก Oscillator ที่แตกต่างกัน ที่เรานิยมใช้กันมากก็มี RSI , Stochastic และ MACD  เราจะยืนยันว่า Divergence นั้นเป็นจริงได้จากการที่ Volume การซื้อขายลดลงในระหว่างการเกิด Divergence นั้น ถ้าคุณยังไม่รู้จักวิธีการดู Divergence ก็เข้าไปศึกษากันได้ที่
Divergence and Convergence Trading

ตัวอย่างการยืนยัน Divergence ของ Volume


นี่ คือการอ่านค่า Volume Indicator แบบพื้นฐาน สำหรับ ตลาด Forex  อ่านง่ายๆ ไม่ซับซ้อนอย่างที่คิดใช่มั้ยล่ะคะ ลองเอาไปทดลองใช้กันดูนะคะ ไม่แน่ว่าคุณอาจจะชอบมันก็ได้

การอ่านค่า Volume Indicator ที่มากับ MT4
แท่ง สีเขียวแสดงถึงปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นมากกว่าแท่งก่อนหน้า และสีแดง แสดงถึงปริมาณการซื้อขายที่ลดลงมากกว่าแท่งก่อนหน้า อย่าเข้าใจผิดว่าสีเขียวแสดงถึงปริมาณการซื้อที่เยอะกว่า และสีแดงแสดงถึงปริมาณการขายที่เยอะกว่านะคะ



การอ่านสัญญาณจากปริมาณการซื้อขาย
ก่อน อื่นจงจำไว้ว่า ไม่ควรใช้ Volume เพื่อวัดปริมาณการซื้อขายใน Timeframe เล็กกว่า H1 เพราะสัญญาณที่ได้จะน้อยมากและมีสัญญาณรบกวนจากตลาดมากเกินไป และมันยังยากที่จะตรวจสอบได้ถึงสภาวะที่แท้จริงในช่วงระยะเวลาที่สั้นเกินไป ดังนั้น ควรใช้ Volume ใน TF ที่มีขนาดใหญ่ (H1, H4, D, W) เพื่อให้ Volume เก็บรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้องมากขึ้น

การใช้ประโยชน์จาก Volume ในตลาด Forex

พูดถึง Volume ทุกคนรู้ว่ามันคือ ตัวชี้วัด "ปริมาณการซื้อขาย" นั่นเอง แต่เทรดเดอร์ไม่มากนักในตลาด Forex ที่รู้จักการใช้ Volume Indicator อาจเป็นเพราะเขาคิดว่ามันไม่ได้บอกสัญญาณที่สำคัญอะไรก็เลยไม่เอามันออกมา ใช้ วันนี้เราจะมาคุยเรื่องของเจ้า Volume นี้กันว่ามีประโยชน์อย่างไรบ้าง ถ้าคุณใช้เป็นและรู้ว่าจะใช้งานมันอย่างไรให้เกิดประโยชน์ในตลาด Forex เจ้า Volume นี้อาจทำให้พอร์ตคุณโตขึ้นก็ได้

แล้วเราจะไปหาเจ้า Volume Indicator มาจากไหนล่ะ ? อันที่จริง MT 4 มี Volume เป็น Indicators พื้นฐานมาให้เราแล้ว แค่คุณคลิ๊กขวาที่ที่กราฟ แล้วกด "Ctrl+L" ก็มีมี Volume ขี้นมาที่กราฟของคุณ หรือถ้าอยากจะได้ Volume ที่แยกออกมาจากกราฟ คุณก็ทำได้โดยการ เข้าไปที่ Menu ด้านบน เลือก Insert > Indicators > Volume>  หลังจากนั้นจะมีหน้าต่างตั้งค่าของ Volume ขึ้นมา ให้เราเข้าไปที่ Visualization แล้ว เลือกที่ช่อง Show in data window แค่นี้คุณก็จะได้ Volume ที่มี สองสี แยกออกมาจากหน้าต่างหลัก ดูง่าย อยากได้สีอะไร เส้นหนาบางแค่ไหนคุณก็ปรับแต่เอาได้ตามสบายเลยค่ะ

เมื่อทำตามขั้นตอนแล้ว กราฟของเราจะเป็นดังภาพตัวอย่าง



ทำไมเทรดเดอร์ในตลาด Forex ถึงไม่ให้ความสำคัญกับ Volume Indicator ?
อัน ที่จริงแล้ว เจ้า Forex volume indicators นั้นไม่ได้แสดงปริมาณการซื้อขายจริง คือมันไม่ได้แสดงถึงจำนวนเงินเข้ามาในตลาดโดยตรง เพราะตลาด Forex  เป็น Over the counter market  ที่มีปริมาณการซื้อขายที่มหาศาล ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะติดตามปริมาณที่แท้จริงของปริมาณเงินที่เข้ามา นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เทรดเดอร์หลายคนเชื่อว่า Forex Indicator volume ไม่แสดงการไหลของเงินจริงจึงไม่ใช้มัน

การอ่าน Volume สามารถ

ยืน ยันได้ถึงเทรนที่แข็งแรง หรือ เตือนเราว่าเมื่อไหร่ที่เทรนกำลังอ่อนแอ Volume ที่เพิ่มขึ้น จะบอกได้ว่าเทรนนั้นมีความแข็งแกร่ง และเมื่อ Volume ลดลง ก็เป็นสัญญาณเตือนว่า เทรนที่กำลังเป็นอยู่นั้น กำลังหมดแรงและอาจใกล้ถึงเวลาที่จะเปลี่ยนเทรนแล้ว

โวลุ่มที่สูง (พรวดพลาด) หลังจากที่โวลุ่มอ่อนค่าลงไป มักจะเป็นสัญญาณว่าเทรนกำลังจะเปลี่ยนไป จุดที่น่าทำการซื้อขายที่สุด ให้สังเกตเมื่อมีปริมาณการซื้อขายสูงๆ ที่บริเวณแนวรับแนวต้านที่สำคัญ ปริมาณการซื้อขายนี้ สามารช่วยตรวจสอบได้ถึงการ Breakout ของราคา ว่าจริงหรือหลอก



https://www.youtube.com/watch?v=1wMbVMpNCF0

หน้า: 1 ... 10 11 [12] 13 14
SMF 2.0.15 | SMF © 2011, Simple Machines
SMFAds for Free Forums