แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Lolox101

หน้า: 1 [2] 3 4 ... 17
16
เทคนิคการลงทุนหุ้น forex ด้วย RSI อะไรที่ซื้อมากเกินไป ต้องระวัง อะไรที่ขายมากเกินไป ต้องเตรียมพร้อมซื้อ

RSI คือ การแกว่งแบบโมเมนตัม ที่ วัดความเร็ว และ การเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของราคา RSI แกว่งระหว่าง 0 ถึง 100 โดยทั่วไป RSI จะถูกนำมาพิจารณา ขอบเขตซื้อมากเกินไป เมื่อ ค่าเหนือกว่า 70 และ ขายมากเกินไป เมื่อ ค่าต่ำกว่า 30. RSI สามารถใช้ระบุแนวโน้มราคาทั่วไปได้อีกด้วย

RSI นอกจากจะเป็น สัญญานที่เตือน เรา ว่า มีคนซื้อมากเกินไปแล้ว (RSI > 70 ) เราต้องระวัง ….แต่ไม่ใช่สัญญานขายนะครับ อย่าเข้าใจผิด ในทางกลับกับ ยังใช้เป็น สัญญานเตือน เราว่า มีคนขายมากเกินไป (RSI < 30) เราต้องเตรียมพร้อมเข้าซื้อ …แต่ ก็ยังไม่ใช่สัญญานซื้อนะครับ อย่าเข้าใจผิด ต้องดูสัญญานอื่นประกอบด้วย …ถ้าเราไม่เรียนรู้สัญญานทางเทคนิคคอล แบบง่าย เช่น RSI จะรู้ได้อย่างไร ว่า หุ้นตัวนี้ มีคนซื้อมากไป …..คนซื้อมากไป ..ให้ระวังเพราะอะไร ก็ตอบง่ายๆ ก็ เขาพร้อมจะขายแล้วไง เขาซื้อนานแล้ว พร้อมขาย ถ้าไม่มี สัญญานเทคนิคดู จะรู้ได้อย่างไร จริงไหมครับ เช่นเดียวกับ หุ้นตัวนี้ มีคนขายมากไป คนขายมากไป ให้เตรียมซื้อเพราะอะไร ก็ตอบง่ายๆ ก็ จะมีพร้อมจะซื้อแล้ว ราคาลงมามากแล้ว ของมันเริ่มถูกไง ถ้าไม่มี สัญญานเทคนิคดู เราจะรู้ได้อย่างไร (คิดเอาเองคงไม่ได้นะครับ) คนจะขาย Demand จะลดลง หุ้นจะปรับตัวลงแล้ว ต้องพึงระวัง ไม่งั้นติดดอยสูง คนจะซื้อจะเริ่มมี Demand หุ้น จะปรับตัวขึ้นไงครับ จะได้ไม่ตกรถ ไปกับเขาด้วยคน …..อ้าว แล้ว ทำไมเป็นแบบนั้น ฝรั่ง กองทุน โบรค เขารู้ เขาก็ขาย ก็ซื้อกัน เหมือนกันทั้งโลก ก็แบบ เรียนโรงเรียนเดียวกัน ทฏษฎีเดียวกัน Textbook อาจจะเล่มเดียวกัน มันก็เป็นแบบนี้ไงครับ เลยเป็นไปตามการแกว่งตัวเป็น รอบ รอบ ของการเคลื่อนที่ของราคาไงครับ

สรุปแล้ว RSI สามารถช่วยในการเตือนการลงทุนด้วยความระมัดระวัง และ ช่วยเตรียมความพร้อมในการลงทุน ยังสามารถบอกทิศทางการเคลื่อนที่แนวโน้มของราคาได้อีกด้วย (ไม่ใช่สัญญานให้ ซื้อ ขาย นะครับ จะต้องดู Indicators อื่นๆ ประกอบด้วยแนะนำให้เป็นเส้นค่าเฉลี่ยเพราะทุกท่านสามารถใช้งานได้ง่าย และไม่จำเป็นต้องใช้การวิเคราะห์ระดับสูง) นอกจากนี้ RSI เป็น Indicator ที่ดี สามารถช่วยยืนยันสัญญานซื้อ ขาย ร่วมกับ Indicators อื่น หรือ ช่วยดูการปรับตัวของราคาแบบ Divergence ได้ หรือ ตี Trend Line break out ที่ถูกต้องด้วย ถ้าเราไม่ได้ดูสัญญานเทคนิค เราจะไม่รู้อารมณ์ตลาด ปริมาณคนซื้อไปเยอะ หรือยัง แนวโน้มการปรับตัวของราคา ให้ลงทุนด้วยความไม่ประมาท มากขึ้น ไม่ได้บอกว่า แม่น หรือ ไม่แม่น แต่ เป็น สัญญานหนึ่งในการบริหารการลงทุน ด้วยข้อมูลปัจจุบันร่วมกับอดีต ดีกว่า ลงทุนแบบไม่รู้อะไรเลย ว่า เราต้องลงทุนอย่างไร ด้วยความไม่ประมาท เพียงแต่วันนี้ เขียนประโยชน์ของ RSI ในเพียงมุมมองหนึ่ง (ยังมีอีกหลายมุมมอง) “อะไรที่ซื้อมากเกินไป ต้องระวัง อะไรที่ขายมากเกินไป ต้องเตรียมพร้อมซื้อ” จะช่วยให้เราลงทุนด้วยความระมัดระวังและ มีความพร้อมในการลงทุนที่ดีมากขึ้น


โค๊ด: [Select]
https://greenforexsignal.wordpress.com/2013/09/19/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84-rsi-30-70/

17
1.พยายามพัฒนากลยุทธในการเทรดและต้องแน่ใจว่ามันทำงานได้ดีกับข้อมูลในอดีต จากนั้นต้องแน่ใจว่ามันทำงานได้ดีในเดโมแอคเค้าท์ และสุดท้ายต้องแน่ใจว่ามันทำงานได้ดีในแอคเค้าท์จริงด้วยปริมาณล็อตน้อยๆ จากนั้นถ้ามันทำงานได้ดีคุณสามารถนำมันมาใช้งานจริงกับปริมาณการเทรดที่ใหญ่ขึ้น การเทรดที่ไม่มีกลยุทธจะทำให้ไม่สามารถมีกำไรในระยะยาวได้

2.เมื่อคุณเทรด คุณจะต้องพิจารณาแนวโน้มของเทรนในปัจจุบันเสมอ ซึ่งมันขึ้นกับทามเฟรมที่คุณใช้ เช่น ระยะวันหรือระยะเดือน เป็นต้น ถ้าตลาดอยู่ในสภาวะที่มีแนวโน้ม คุณจะต้องเปิดเทรดตามแนวโน้มนั้น ห้ามเปิดเทรดสวนแนวโน้มนั้น และถ้ามันไม่มีแนวโน้ม คุณสามารถเทรดได้ทั้งสองทิศทางด้วยการขีดเทรนไลน์ในลักษณะ Channel

3.ก่อนที่คุณจะเทรดในทามเฟรมนั้นๆ คุณจะต้องตรวจสอบทามเฟรมที่มีขนาดใหญ่กว่าเสมอ เช่น ถ้าคุณเทรดระหว่างวัน คุณจะต้องตรวจสอบทามเฟรมระยะเดย์ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้เทรดสวนทามเฟรมระยะเดือน

4.ใช้ทามเฟรมขนาดเล็กเพื่อหาจุดเข้าจุดออกที่ดีที่สุด ถ้าคุณเทรดทามเฟรม 1 ชั่วโมง ใช้ทามเฟรม 15 นาที เพื่อหาจุดเข้าจุดออกที่ดีที่สุด ถ้าคุณเทรดทามเฟรมระยะวัน คุณควรใช้ทามเฟรม 1 ชั่โมงในการหาจุดเข้าและจุดออกที่ดีที่สุด

5.เรียนรู้วิธีการบริหารความเสี่ยง เพราะถ้าคุณไม่บริหารความเสี่ยงและเทรดมากจนเกินไป เมื่อทุนคุณหมด คุณก็จำเป็นที่จะต้องออกจากธุรกิจนี้อย่างทันที นี่คือเหตุผลว่าทำไมคุณไม่ควรเสี่ยงเกิน 5% ของพอร์ต และสำหรับทริปนี้ ผมแนะนำว่าคุณไม่ควรที่จะเทรดเกิน 2-3% ของพอร์ต

6.เรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ของคุณ เมื่อคุณเปิดและปิดโพซิชันของคุณบนพื้นฐานของอารมณ์ไม่ใช่บนพื้นฐานของระบบที่ได้บอกคุณ เมื่อนั้นคุณจะเริ่มเสียเงิน เช่นเดียวกันถ้าคุณชนะติดๆกันคุณก็จะเริ่มคิดว่าคุณเองคือผู้วิเศษ และละทิ้งระบบของคุณซึ่งจะนำไปสู่การสูญเสียเงินครั้งใหญ่ ดั้งนั้นคุณจะต้องทำใจให้สงบ ไม่ว่าคุณจะเทรดได้หรือเสีย หลังจากการเทรดที่พ่ายแพ้ ไม่นานคุณก็จะได้พบกับการเทรดที่ได้รับชัยชนะ ซึ่งจะชดเชยการสูญสียที่มีมาก่อนหน้านั้น

7.กลยุทธในการเทรดควรจะเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์และบุคลิกภาพของคุณ ถ้าคุณมีเวลาไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน คุณควรเลือกเทรดในทามเฟรมขนาดใหญ่ เช่น ระยะวันหรือระยะเดือน ถ้าคุณไม่สามารถรอคอยการเคลื่อนไหวขนาดใหญ่ได้คุณควรเทรดในทามเฟรมขนาดเล็ก เช่น 5-15 นาที ถ้าคุณต้องการเวลาหลายชั่วโมงในการตัดสินใจ คุณควรเลือกทามเฟรมขนาดใหญ่ และเทรดในแนวโน้มระยะยาว

8.ถ้าคุณกำลังสงสัยหรือไม่แน่ใจในตลาด คุณควรงดจากการเทรด การที่คุณหยุดเทรดจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการเสียเงินได้ และเตรียมความพร้อมที่จะทำกำไรก้อนใหญ่เมื่อมีเทรนปรากฏขึ้น

9.ใช้จุดตัดขาดทุนหรือการเฮดจ์เสมอ เมื่อคุณอยู่ตรงข้ามกับแนวโน้มคุณควรตัดขาดทุนหรือเฮดจ์เพื่อรักษาเงินทุนของคุณไว้อย่าเสี่ยงเงินของคุณทั้งหมดเพียงเพื่อการเทรดเพียงแค่ครั้งเดียว

10.ก่อนที่จะยอมรับสัญญาณการเทรด คุณต้องตรวจสอบก่อนว่า กำไร/ขาดทุน ต้องได้อย่างน้อย 2:1 และอย่าเข้าเทรดถ้า กำไร/ขาดทุน น้อยกว่า 2 จากสถิติพบว่า โดยทั่วไปแล้วเทรดเดอร์จะมีความสามารถในการคาดเดาตลาดได้ถูกต้องประมาณ 60% โดยเฉลี่ยเท่านั้น นี่คือเหตุผลว่าทำไม กำไร/ขาดทุน ควรต้องได้อย่างน้อย 2:1 นี่คือแนวทางที่จะทำให้คุณได้กำไรในระยะยาว

11.อย่าถัวเฉลี่ยเมื่อคุณเทรดผิดทาง ถ้าคุณถัวเฉลี่ยในขณะที่คุณเทรดผิดทาง นั่นหมายถึงว่าคุณกำลังเทรดด้วยอารมณ์ ถ้าตลาดไม่กลับมายังทิศทางที่คุณคิดคุณจะเสียเงินจำนวนมาก บางคนก็ใช้วิธีการเลื่อนจุดสต๊อบลอสออกไปเมื่อเขาเทรดผิดทาง นั่นเป็นแนวทางที่จะทำให้คุณเสียเงิน ในทริปนี้เราขอแนะนำว่าให้คุณเพิ่มโพซิชันเมื่อคุณเทรดถูกทาง นั่นหมายถึงการถัวเฉลี่ยในทิศทางการเทรดที่ถูกต้องนั่นเอง

12.ตัดขาดทุนและปล่อยให้กำไรวิ่งไป ปิดโพซิชันที่ขาดทุนโดยไม่ลังเล และปล่อยให้กำไรสะสมมากขึ้น อย่ากลัวว่าตลาดจะรีเทิร์นกลับมาและคุณจะเสียแค่ -20 จุด เมื่อมันวิ่งไปให้ยกจุดตัดขาดทุนมาไว้ที่ศูนย์และคุณปล่อยให้กำไรวิ่งไป อาจเป็นไปได้ว่าคุณบวก +80 จุด ซึ่งมาจะกลบการขาดทุนของคุณในตอนแรก

13.คุณควรรู้เวลาของค่าเงินที่คุณจะเทรดว่าเวลาไหนที่แอคทีฟที่สุด อย่างเช่น GBPUSD และ EURUSD จะแอคทีฟเวลาที่ตลาดลอนดอนและตลาดนิวยอร์กเปิดซ้อนทับกัน (ระหว่าง 8:00 am และ 11:00 am EST) ส่วน AUDJPY จะแอคทีฟเมื่อตลาดซิดนีย์และตลาดโตเกียวเปิดซ้อนทับกัน (ระหว่าง 7:00 pm และ 12:00 am EST) มันง่ายและปลอดภัยที่จะรู้ว่าควรจะเทรดช่วงเวลาไหน ยังดีกว่าต้องมานั่งเฝ้าเวลาอื่นที่กราฟแกว่งเพียงแค่ 20 จุด

14.คุณควรรู้วันที่เหมาะสมกับการเทรดในรอบสัปดาห์ อย่าเทรดเมื่อตลาดมีโวลุ่มต่ำ นี่คือเหตุผลว่าทำไมคุณไม่ควรเทรดวันจัทร์และวันศุกร์ วันจันทร์เทรดจะมีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบแคบๆ ส่วนวันศุกร์ก็จะมีแนวโน้มที่ผันผวนมาก เพราะว่าวันศุกร์มีเทรดเดอร์จำนวนมากปิดโพซิชันในระยะวีคของพวกเขา

15.หลีกเลี่ยงการใช้เลเวอร์เลท สำหรับเทรดเดอร์หน้าใหม่ เลเวอร์เลทที่มากกว่า 100:1 คือ หายนะ เลเวอร์เลทที่ 100:1หมายความว่า ทุกๆ 1 เหรียญในแอคเค้าท์ของคุณ คุณสามารถเทรดได้ถึง 100 เหรียญ แต่ถ้าคุณเปิดโพซิชันและมันเคลื่อนที่ตรงข้ามกับคุณ คุณจะเสียเงินอย่างรวดเร็วมากกว่าการเรดที่ปราศจากเลเวอร์เลท

16.พยายามประเมินทักษะการเทรดของคุณทุกๆสิ้นเดือนหรือสิ้นปี อย่าตัดสิ้นความสำเร็จหรือล้มเหลวพียงแค่การเทรดเพียงแค่ครั้งเดียว กลยุทธในการเทรดอาจจะผิดพลาดถึง 10 ครั้งติดๆกัน ด้วยการสูญเสียครั้งครั้งละน้อยๆ เช่น -15 จุด แต่เมื่อการเทรดเข้าทางของคุณ คุณอาจทำได้ถึง +300 จุด ต่อเดือนและอาจทำได้ถึง +2000จุด ต่อปี แต่ถ้าคุณตัดสินการเทรดทั้งหมดจากเพียงแค่การเทรดในตอนเริ่มต้นเท่านั้น คุณก็อาจจะยอมแพ้ไปก่อน ก่อนที่จะได้พบกับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ในภายหลัง

17.ไม่มีใครเกิดมาพร้อมที่จะเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จโดยทันที เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จล้วนแล้วแต่ต้องผ่านการเรียนรู้ทั้งนั้น คุณอาจจะต้องล้างพอร์ตหลายครั้ง และอาจจะต้องฝากเงินเข้าไปในพอร์ตอีกหลายครั้ง จนกว่าคุณจะพบแนวทางของคุณเองที่สามารถทำกำไรได้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมการเริ่มต้นของเทรดเดอร์หน้าใหม่จึงควรที่จะเทรด้วยแอคเค้าท์ขนาดเล็ก ซึ่งไม่มากกว่า 1,000 เหรียญ และเมื่อคุณทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอในแอคเค้าท์เล็ก คุณก็สามารถที่จะฝากเงินเพิ่มได้เพื่อเทรดด้วยขนาดล็อตที่ใหญ่ขึ้น

โค๊ด: [Select]
https://greenforexsignal.wordpress.com/2013/09/19/17-tips-%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%94-forex/

18
 เคยสงสัยไหมในการ "ซื้อ-ขาย" กันในแต่ละวัน ทำไมบางวัน Volume มาก บางวัน Volume น้อย บางวัน Volume มาก แต่ราคาไม่วิ่ง บางวัน Volume น้อย ราคาดันวิ่งในทางกลับกัน Volume มาก ราคาขึ้นเอาๆ และ Volume น้อย ราคาลงเอาๆ เหตุผลเพราะขนาดของ Demand และ Supply ในแต่ละวัน แต่ช่วงของเวลา มีผลต่อราคาขึ้นลง
ตัวปัจจัยที่ทำให้ Demand และ Supply มีมาก มีน้อยมีหลายเหตุผล หลายปัจจัยโดยหลักๆก็จะมี เศรฐกิจ การเมือง ผลประกอบการ การเก็งกำไร ข่าวดี ข่าวร้าย ฯลฯการที่เราจะรู้ได้ก็ต้องหาข้อมูล ติดตามข่าวสารต่างๆ และอีกทางนึงที่เราสามารถที่จะรู้การเคลื่อนไหวของ Demand&Supply ได้เช่นกัน คือสังเกตุปริมาณการซื้อขายและราคาขึ้นลงแล้วนำมาบรรทึกเพื่อนำมาวิเคราะห์การที่เรารู้จิตวิทยาการลงทุนจาก Demand&Supply จะทำให้เราได้เปรียบจากคนส่วนมาก เราจะออกจากฝั่ง 80% ของคนส่วนใหญ่ที่ลงทุนแล้วขาดทุน เพราะตรงจุดนี้ ดังนั้นให้ทำความเข้าใจยิ่งลึกซึ้งได้ยิ่งดีสิ่งที่คนส่วนมากนำมาใช้กันคือ กราฟแท่งเทียน หรือที่เรียกว่า Candlestick ที่มาของกราฟแท่นเทียนมีต้นกำเนิดมาจากประเทศญี่ปุ่นครับกราฟแท่นเทียนนี้จะนำราคา "เปิด-ปิด" และ "สูง-ต่ำ" มาบรรทึกในแต่ละช่วงเวลาหรือ Time Frame อย่างเช่น 5 นาที, 15 นาที, 30 นาที, 60 นาที, 1 วัน, 1 สัปดาห์, 1 เดือน, 1 ปี ประมาณนี้ครับ ไปดูรูปกันครับจากรูปจะแสดง HLOC คือ High Low Open Close คือ ราคา สูงสุด ต่ำสุด เปิด ปิด และตัวของแท่งเทียน
ตัวแท่งเทียนก็จะมีตัว Bullish และ Bearish ครับ ดูตามรูปด้านบนเลยนะครับการที่ราคาปิดสูงกว่าราคาเปิดจะเกิด Bullish Candlestick การที่ราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิดจะเกิด Bearish Candlestickทั้ง Bullish และ Bearish มันมีผลทางจิตวิทยาในการ "ซื้อ-ขาย" อย่างมากและยังแสดงผลกระทบต่อ Demand&Supply ด้วยเช่นกันผลทางจิตวิทยาของ Bullish Candlestick คือ เกิดแท่งเทียนลักษณะนี้จะส่งผลต่อการวิ่งขึ้นของราคา มันสะท้านว่ามวลชนต้องการซื้อมากกว่าขายผลทางจิตวิทยาของ Bearish Candlestick คือ เกิดแท่งเทียนลักษณะนี้จะส่งผลต่อการวิ่งลงของราคา มันสะท้อนว่าว่ามวลชนต้องการขายมากกว่าซื้อถึงตรงนี้ต้องขอจบตอนที่ 1 ก่อนนะครับ ค่อยๆอ่าน ค่อยๆเป็น ค่อยๆทำความเข้าใจทีละน้อยแต่อย่าหยุดศึกษา ผมเชื่อว่าการลงทุนและความรู้ของเราจะเพิ่มพูนและเข้าใจได้ดีขึ้นในไม่ช้าตอนที่ 2 ผมจะแนะนำรายละเอียดในรูปแบบต่างๆของ Candlestick พร้อมทั้งความหมายและผลสะท้อนของการเกิดแต่ละรูปแบบ พร้อมทั้งน้ำหนักที่เกิด ณ ตรงจุดที่จะทำให้ราคา "ขึ้น-ลง" อย่างชัดเจนมันจะทำให้เราเข้าใจว่าจุดนี้ หรือจุดนั้น ราคาจะขึ้นหรือลงโดยมีความน่าจะเป็นสูงมาก นี่แหละจะเป็น Highlight ของ Candlestick เลยหละครับ

โค๊ด: [Select]
http://tradding2onlinemoney.blogspot.com/2014/05/candlestick-demand-1.html

19

ผมเชื่อว่าผู้เทรดหลาย ๆ คนต้องเคยอ่านหรือเรียนเรื่องแท่งเทียนกันมากแล้ว และ รูปแบบยอดฮิตที่ทุกคนจะชอบกันมากที่สุดก็จะมี Hammer หรือ Shooting Star เป็น 1 ใน 3 อันดับต้น ๆ ของผู้เทรด ด้วยลักษณะที่ดูง่าย มีแท่งเดียว แสดงให้เห็นถึงแรงของฝั่งตรงข้ามได้อย่างชัดเจน ผู้เทรดส่วนมากเมื่อเห็นสัญญาณนี้เกิดขึ้นก็แทบจะใส่ออเดอร์ไม่เลี้ยงกันเลยทีเดียว แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น !!!! บางคนเข้าออเดอร์ที่ hammer หรือ shooting star แล้วแต่ราคากลับทะลุ high หรือ low ของ hammer ไปหน้าตาเฉย ทำให้เจ็บช้ำน้ำใจกันเป็นแถบ ๆ


ตกลงแล้ว Hammer, Shooting Star เชื่อถือได้หรือไม่ได้?
คำตอบคือเชื่อถือได้ครับ Hammer และ Shooting Star เป็นรูปแบบการกลับตัวของราคาอย่างที่ทุกคนเข้าใจไม่ผิด แต่สิ่งที่ผู้เทรดอาจจะไม่ทราบก็คือ บริเวณที่ Hammer หรือ Shooting Star ปรากฎก็มีความสำคัญไม่แพ้รูปแบบของแท่งเทียน
บริเวณไหนบ้างละที่เชื่อถือได้สำหรับ Hammer หรือ Shooting Star?
สำหรับเดย์เทรดแล้วผู้เทรดควรจะสนใจกราฟเวลาที่กราฟอยู่บริเวณ
-           จุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดของเมื่อวาน (Swing High/Swing Low ของเมื่อวาน)
-           จุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดของวันนี้ (Swing High/Swing Low ของวันนี้)
-           จุดเปิดของวันนี้
-           แนวรับแนวต้านจาก Trendline, Channel, และเครื่องมือตระกูล Fibonacci

Hammer และ Shooting Star ที่เชื่อถือไม่ได้
Hammer และ Shooting Star ที่เชื่อถือไม่ได้คือแท่งที่เกิดระหว่างที่กราฟกำลังเป็นเทรนอยู่ ถ้าผู้เทรดเห็นแท่งเทียนใหญ่ ๆ ก่อนหน้าแล้วแท่งถัดมาเป็น Hammer หรือ Shooting Star อย่าพึ่งสวนนะครับ ผู้เทรดควรจะรอดูพฤติกรรมราคาของแท่งถัดไปก่อนว่าสามารถทะลุ High หรือ Low ของแท่ง Hammer หรือ Shooting Star ได้หรือไม่

แล้วจะเทรด Hammer และ Shooting Star ได้อย่างไร
เมื่อราคาเกิด Hammer แล้วผู้เทรดควรจะรอให้ราคาสามารถทะลุ Trendline ไปก่อนหรือรอให้แท่งถัดไปสามารถทะลุ high หรือ low ของแท่ง hammer หรือ shooting star ขึ้นไปได้เสียก่อน จึงค่อยพิจารณาเรื่องออเดอร์ครับ

Hammer และ Shooting Star ที่เกิดครั้งแรกหลังจากที่ราคาเป็นเทรนส่วนใหญ่จะให้สัญญาว่า ราคาจะพักตัว การพักตัวของราคานั้นหมายความว่าราคามีสิทธิ์ไปต่อในเทรนเดิมหรือกลับตัวก็ได้ครับ ดังนั้นเมื่อผู้เทรดเจอ Hammer หรือ Shooting Star แล้วให้ใจเย็น ๆ รอดูพฤติกรรมราคาอีกสักนิดว่าไหวหรือไม่แล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย ดีกว่าเข้าไปแล้วแล้วเจอราคาลากต่อแล้วก็จะได้แต่พูดว่า รู้งี้........................................

โค๊ด: [Select]
http://tradding2onlinemoney.blogspot.com/2014/10/hammer-shooting-star.html

20



ส่วนประกอบของแท่งเทียนประกอบไปด้วย จุดเปิด จุดปิด จุงต่ำสุด และ จุดสูงสุด บริเวณที่เป็นขีด ๆ บาง ๆ บนแท่งเทียนเราจะเรียกมันว่า
Shadow หรือ หาง หรือ ไส้ แล้วแต่ใครจะถนัดเรียก ส่วนตัวของแท่งเทียนเราจะเรียกว่า Body
สิ่งที่ทำให้แท่งเทียนแต่ละแท่งมีความต่างกันออกไปคือ ระยะห่างระหว่างจุดเปิดและจุดปิดของแท่งเทียน” ยิ่งจุดปิดอยู่ไกลจากจุดเปิดแท่งไหร่
ก็แสดงว่ากราฟมีแรงมากเท่านั้นหากจุดเปิดอยู่ต่ำกว่าจุดปิดแท่งเทียนแท่งนั้นจะกหลายเป็นแท่งเทียนขาขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าจุดปิดอยู่ต่ำกว่าจุดเปิดแท่งเทียน
แท่งนั้นจะเป็นแท่งเทียนขาลง

แล้วมันสำคัญอย่างไรในเมื่อแท่งเทียนแท่งไหน ๆ ก็เหมือนกัน?
บางคนอาจจะไม่ทันสังเกตว่า การเรียงตัวกันของ จุดปิด (Close) จุดสูงสุด (High) จุดต่ำสุด (Low) สามารถบอกผู้เทรดถึงภาวะและอารมณ์ของตลาดได้โดยไม่จำเป็นต้องรอดูอินดิเคเตอร์แล้วค่อยบอกว่ากราฟเป็นเทรนหรือไม่
ยกตัวอย่างเช่น ในตลาดขาขึ้น ลักษณะของขาขึ้นที่ดี  จุดปิด (Close) จุดสูงสุด (High) จุดต่ำสุด (Low) ของแท่งเทียนควรจะเรียงตัวกันขึ้นไปเรื่อย ๆ จุดสูงสุดของแท่งเทียนปัจจุบันควรจะทะลุจุดสูงสุดของแท่งก่อนหน้าขึ้นไป
เรื่อย ๆ ในขณะที่ Low ของแท่งก็ควรจะยกตัวสูงขึ้นเรื่อง ๆ เช่นกัน ขาลงก็ตรงกันข้ามนะครับ เมื่อใดที่มีบางสิ่งผิดปกติไปเช่น ในตลาดขาขึ้น ถ้ามี จุดต่ำสุด (Low) ของแท่งทะลุ Low ของแท่งก่อนหน้าได่ นั่นอาจจะหมายความ
ว่าเริ่มมีแรงในทางตรงกันข้ามเข้ามาบ้างแล้ว ควรจะระวังตัวกันให้ดีเป็นต้น หรือ เมื่อใดก็ตามที่กราฟหยุดสร้าง High ของแท่งที่สูงขึ้นก็หมายความว่าแรงขาขึ้นอาจจะเริ่มหมดแรงแล้วเป็นต้น

ความสัมพันธ์ของ Body ของแท่งเทียน กับ ลักษณะการเรียงตัวของ จุดปิด (Close) จุดสูงสุด (High) จุดต่ำสุด (Low) ของแท่งเทียน
ถึงแม้ว่า จุดปิด (Close) จุดสูงสุด (High) จุดต่ำสุด (Low) จะเรียงตัวกันแล้วเป็นเทรนก็จริงแต่ลักษณะของ Body ก็มีความสำคัญไม่แพ้กันเพราะแรงจากตลาดจะแสดดงผลออกมาผ่าน Body ของแท่งเทียน
ยกตัวอย่างเช่น ในตลาดขาขึ้นถึงแม้ว่าจุดปิด (Close) จุดสูงสุด (High) จุดต่ำสุด (Low) จะเรียงตัวขึ้นเรื่อย ๆ แต่หากลักษณะของ Body มีลักษณะเล็กกว่าไส้ของแท่งเทียน (Shadow) จะเป็นการบ่งบอกว่า
แรงขาขึ้นอาจจะใกล้หมดแรงหรือกำลังมีแรงของอีกฝั่งสวนเข้ามา สรุปแล้วเป็นการบอกถึง ภาวะอ่อนแรงของเทรน” แต่ “ยังไม่ได้บอกว่าจะกลับตัว”


โค๊ด: [Select]
http://tradding2onlinemoney.blogspot.com/2014/10/blog-post.html

21



สวัสดีครับ ในบทความนี้จะพูดถึงแท่งเทียนตัวสุดท้ายใน Bullish Pattern
(ยังมีอีกหลาย Patterns ครับแต่ผมเอาตัวที่เจอบ่อยๆมาแนะนำครับ)
ซึ่งตัวนี้จะเป็นสงครามการเสมอกันระหว่าง Buyer และ Seller
ไม่มีใครแพ้หรือชนะ เพราะฉะนั้น Candlestick จึงได้ออกมาเป็นตามภาพ
เราเรียกแท่งเทียนชนิดนี้ว่า Doji Candlestick


ในหลายๆครั้งเคยคิดไหมว่าที่เราละเลยมันไป คิดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับสภาวะของตลาดหรือหุ้นตัวนั้นๆ

ในตอนที่มันเกิด Doji Candlestick Pattern
ป่าวเลยครับการเกิด Doji Candlestick มันมีนัยสำคัญเสมอ
ลองมองดีๆนะครับการที่ไม่มีใครแพ้หรือชนะในสงคราม มันเกิดอะไรขึ้นในสนามรบ?
 


การที่เกิด Doji Candlestick มันสามารถบอกได้ว่ามีการหยุด Momentum ของ
Trend
ก่อนหน้าไม่ให้วิ่งต่อไปหรือก่อให้เกิดการพักระหว่างทางหรือบอกว่าคุณต้อง
หยุดแล้วนะคุณไปต่อไม่ได้ตาเราที่จะเป็นฝ่ายคุมเกมส์บ้างหละ


ในกรณีราคาหรือดัชนีวิ่งเป็นขาขึ้นมาสักระยะนึงแล้วจู่ๆวันปัจจุบันเกิด
Doji Candlestick ขึ้นให้เราพิจารณาว่าเกิดอะไรขึ้นกับ Trend
และให้คิดเสมอว่า เอาหละสัญญาณการหยุด Trend เกิดขึ้นแล้ว
ในอนาคตมีความเป็นไปได้ว่าราคาอาจจะเตรียมตัวหยุดพักหรืออาจเตรียมกลับทาง
เดิน แต่ก็ไม่เสมอไปหรอกครับในบางครั้ง การเกิด Doji Candlestick
อาจจะพักหรือรอเพื่อกระโดดอย่างแรงแต่ในกรณีหลังจะเกิดน้อยกว่าและจะไม่เกิด
ในบริเวณสำคัญสักเท่าไร สิ่งนึงที่เคยย้ำอยู่เสมอว่าการเกิด Candlestick
Pattern ไม่ว่ารูปแบบใดจะต้องมี Resistance Area เอามาเป็นตัวยืนยัน
Pattern ที่เกิดเสมอ


ในกรณีราคาวิ่งลงมาสักระยะนึงเช่นกัน ถ้าวันปัจจุบันเกิด Doji Candlestick
ขึ้นก็ให้พึงระลึกเสมอว่าเกิดการหยุดของ Trend
ขาลงแล้วและจะต้องเกิดที่บริเวณ Support Area
เพื่อให้เป็นการยืนยันการกลับทางเดินเช่นซึ่งจะตรงข้ามกันในกรณีบน


ทีนี้ไปดูตัวอย่างกันครับเพื่อขยายความเข้าใจครับ




ขยายความตามภาพประกอบ ดูที่กรอบวงกรม 2 วง ด้านล่างนะครับ
อธิบายได้ว่าราคาลงมาเรื่อยๆแล้วพอเกิด Doji Candlestick Pattern
ขึ้นที่บริเวณ Support Area ทำให้ Momentum
ของราคาขาลงได้หยุดและพร้อมจะพักและกลับทางเดินของราคาขาลงเป็นขาขึ้น
จะสังเกตุได้ว่าเมื่อราคากลับทางแล้วค่อนข้างจะดีดตัวหรือกระโดดอย่างแรงนี่
ก็เป็นตัวอย่างที่ดี ในส่วนวงกรมที่อยู่ด้านบน อย่างที่ได้บอกไว้ Doji
ตรงนี้ไม่ได้เกิดที่บริเวณสำคัญแต่เกิดเพื่อพักแล้ววิ่งต่อด้วย Momentum


พอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วนะครับ
มาถึงตอนท้ายของบทความนี้ก็จะจบกระบวนความของ Bullish Candlestick Pattern
ซึ่งเพื่อนๆสามารถนำไปต่อยอดขยายความจาก Pattern
อื่นๆที่มีอยู่มากมายแต่ที่เจอบ่อยๆก็ที่ผมได้แนะนำไป ในครั้งหน้าผมจะขึ้น
Bearish Candlestick Pattern
แบบรวบย่อที่สุดเท่าที่ทำได้เพราะความหมายมันตรงข้ามกับ Bullish
Candlestick Pattern


สุดท้ายก็ขอให้เพื่อนๆเป็นกำลังใจให้ StockMoneyGear ต่อไปเรื่อยๆเพื่อจะได้สร้างสิ่งดีๆออกมาให้บ่อยๆนะคร้าบบบ

โค๊ด: [Select]
http://tradding2onlinemoney.blogspot.com/2014/05/candlestick-demand-6.html

22
ในบทความนี้เราจะมาต่อในเรื่อง Candlestick ในรูปแบบที่สามนั่นคือ Harami Pattern



ในความหมายของตัวมันสามารถสื่อได้ว่า Seller
ได้ควบคุมมาหลายวันเพราะราคาลงมาอย่างต่อเนื่องและพอได้เกิด Bullish
Candlestick ในวันปัจจุบันที่เราสังเกตุ มันหมายความว่า เฮ้ เพื่อน Seller
พอได้แล้วเรา Buyer ได้กลับมาแล้วและขอ Break
ความร้อนแรงของคุณหน่อยและวันนี้เราขออำนาจคืนต่อจากท่านนะ
ดังนั้นในวันปัจจุบัน Buyer ได้ควบคุมและลดความแรงของ Seller ลง




ดังนั่นเมื่อเราเจอสถานการณ์แบบให้เราคิดไว้เสมอว่าราคากำลังจะกลับตัว จากขาลงเป็นขาขึ้น




แต่การที่จะมีความน่าจะเป็นสูง
เราจะต้องหาท่อน้ำเลี้ยงเพื่อรองรับและพยุงเราด้วยนั้นคือ Support Area
เพราะการที่เกิด Candlestick Pattern จะต้องเกิดตรงบริเวณ Support Area
เพื่อจะได้ยืนยันให้เราว่าราคามีโอกาสกลับตัวจริงๆ






เอาหละครับไปดูตัวอย่างจริงกันครับ




สังเกตุที่กรอบสีฟ้านะครับ ทั้งสามกรอบเป็น Harami Pattern
ทั้งหมดและจะเกิดการกลับตัวเมื่อเกิดตรงบริเวณ Support Area
พอสร้างรูปแบบนี้เมื่อเราเห็นให้คิดไว้เลยวันถัดไปมีโอกาสที่ราคาจะขึ้น

นี่คือตัวอย่างนึงนะครับแต่การที่จะทำให้เกิดความมั่นใจจะต้องวิเคราะห์ด้านอื่นๆประกอบครับ เอาหละบทนี้ก็จบอย่างสวยงามเช่นเคย
 

โค๊ด: [Select]
http://tradding2onlinemoney.blogspot.com/2014/05/candlestick-demand-5.html

23
สวัสดีครับเพื่อนๆ....ช่วงที่ผ่านมาหายไปนานไม่ได้ไปไหนนะครับ...มีธุระนิดหน่อย


วันนี้กลับมาแล้วเพื่อมาต่อยอดจากบทความที่แล้วครับ สำหรับวันนี้จะขอแนะนำ
Candlestick Pattern ตัวที่สอง ซึ่งตัวนี้จะคล้าย Candlestick ตอนที่ 2
แต่ตัวนี้มักจะเจอบ่อยในทุก Time Frame


นั่นคือรูป Hammer ในความหมายของตัวมันเองก็จะมี Buyer และ Seller
อยู่ในสงความอยู่แล้ว แต่ในสงความนี้การต่อสู้จะดุเดือดเลือดพล้าน
ไม่ว่าตอนจบจะจบแบบใด แบบ Bullish Candlestick หรือ Bearish Candlestick
จะมีตัวที่ควบคุมสถานการณ์เสมอ


นั่นคือ Buyer เมื่อมีใครชนะคนนั้นก็จะเป็นผู้คุมกฎเสมอเพราะจาก Hammer Pattern จะมีหางยาวๆทิ่มลงมาให้เห็นเสมอ





รู้ไหมครับว่าการที่ได้สร้างเป็น Pattern
แบบนี้เพราะมีคนหรือนักลงทุนบางกลุ่มไม่ยอมให้ราคาลงมามากเพราะการที่ลงลึกๆ
จะถูกเขาทั้งหลายซื้อกลับขึ้นไปเลยทำเกิดลักษณะรูปร่างอย่างที่เห็น
ไปดูตัวอย่างกันครับ






จะเห็นได้ว่าการเกิด Hammer Pattern ขึ้นและเกิดตรงบริเวณ Support Area
จะทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่ราคาจะเกิดการกลับตัวดังนั้น Support Area
จะเป็นเสมือนหล่อน้ำเลี้ยงเพื่อให้กองทัพนั้นเดินต่อไป เพราะฉะนั้นหา Price
 Pattern แล้วยังจะต้องหา Support Area ด้วยนะครับเพื่อเอามาเสริมกัน




ไปดูวิถีของการเกิด Hammer Pattern เราจะต้องย้าย TF ไปดูในส่วยย่อยลงไปอีกแล้วจะเห็นการเดินทางของมันครับ เอาหละไปดูกัน



ดูที่จุด start นะครับ เป็นการเริ่มการเทขายออกมาโดย seller
ทำให้ราคาตกลงเรื่อยๆจถึงจุดนึงแล้วเกิดการซื้อคืนโดย buyer
และราคาก็ไม่ลงอีกเลยนี่แหละครับพอจบวันเราจะเห็น Hammer Pattern

มาดูอีกตัวอย่างนึงนะครับ พอเกิด Hammer แล้ววิ่ง sideway แล้วปัจจุบันราคากำลงวิ่งต่อ






ดังนั้นการทำ Hammer Pattern นั้นบ่งบอกว่า Buyer
นั้นได้ควบคุมสถานการณ์ไว้แล้ว อย่างที่ได้ดูตัวอย่างไปครับ
สำหรับบทความนี้ก็จบด้วยความสวยงามพร้อมกำลังใจจากเพื่อนๆ 
ค่อยๆอ่านไปนะครับเดี๋ยวจะเริ่มเข้าใจเอง

โค๊ด: [Select]
http://tradding2onlinemoney.blogspot.com/2014/05/candlestick-demand-4.html

24
สวัสดีครับกลับมาทักทายและเจอกันอีกในบทนี้นะครับ
ยังจำกันได้อยู่ในเนื้อหาที่แล้วใช่ไหมครับ ว่าด้วยเรื่องการอ่าน
Candlestick แล้ววิเคราะห์ว่าตอนนี้ใครควบคุมใครอยู่
ถ้าลืมแล้วสามารถกลับไปทบทวนใหม่ได้ทุกเมื่อนะครับ


เอาหละในบทนี้เราจะพูดถึงในเรื่องของ Price Action กันหน่อยหรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งก็คือ Candlestick Pattern


ตามที่เคยกล่าวไว้ว่าการขึ้นหรือลงของราคามันมีปัจจัยจากการ ซื้อ-ขาย
ในแต่ละวันและในการจบหรือเมื่อตลาดปิดก็จะมีผู้ชนะ ผู้แพ้ และเสมอกันเสมอ
ซึ่งทำให้เกิดรูปแบบต่างๆของ Candlestick มากมาย
บางครั้งเราก็มิอาจจำได้ทุกรูปแบบ
แต่การที่เราสามารถรู้และสามารถจำและสามารถเข้าใจได้เกือบทุกรูปแบบ
มันก็สามารถทำให้เราเข้าใจจิตวิทยาการลงทุนและสามารถวิเคราะห์ได้อย่างลึก
ซึ้งโดยแทบไม่ต้องเพิ่งเครื่องมืออื่นๆเลย แต่อย่าลืมนะครับว่า Candlestick
 Pattern มีมากมายหลายคนา




สิ่งหนึ่งที่นึกถึงเสมอว่า Price Action จะก่อกำเนิดก่อน Indicator
ต่างๆเสมอเพราะการที่จะเกิด Indicator
ต่างๆได้จะต้องรวบรวมข้อมูลจากราคาเพื่อนำมาคำนวณเป็น Indicator
ต่างๆเพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าใจจิตวิทยาและ Pattern ของราคาได้
เราจะเปรียบได้กับผู้ที่มีวิชาอันล้ำเลิดเลยก็ว่าได้ แต่ข้อเสียเปรียบของ
Pattern ราคา จะทำความเข้าใจได้ยากกว่า Indicator




สำหรับในตอนนี้จะขอยกตัวที่เจอบ่อยๆและสามารถนำไปใช้วิเคราะห์ได้เลย


จะแบ่งเป็น Bullish Candlestick Patterns และ Bearish Candlestick Patterns



  • Bullish Candlestick Patterns


Engulfing : รูปด้านซ้ายจะแสดง Candlestick 2 แท่ง
โดยมีแท่งก่อนหน้าเป็น Seller In Control และแท่งยาวๆแท่งหลังเป็น Buyer In
 Control ตามลักษณะนี้เราจะเรียกว่าเป็นรูปแบบ Engulfing Pattern
ความหมายก็คือการเกิด Bearish Candlestick ขึ้นมาก่อนหน้าแล้วตัว
Candlestick เองมีช่วงตัวสั้นหรือแคบ บ่งบอกได้ว่า Seller
ไม่ได้แข็งแกร่งสักเท่าไร พอวันต่อมาเกิด Bullish  Candlestick
ด้วยลำตัวที่ยาวมากจนทำให้กลืนกินทั้งตัวของ Bearish Candlestick ในวันนี้
Buyer มีความแข็งแกร่งมากกว่า Seller มากมาก และสามารถควบคุมได้ทั้งหมด
โดยลักษณะการเกิด Engulfing
ขึ้นจะสามารถยืนยันได้ว่าราคาจะกลับตัวจากทิศทางเดิม ไปดูตัวอย่างกันครับ




ในกราฟตัวนี้จะมี Engulfing Candlestick อยู่สองที่
จุดสังเกตุคือถ้าเกิดตรงบริเวณแนวรับสำคัญขึ้นมาเมื่อไร
มันจะทำให้มีน้ำหนักที่ว่าราคาจะขึ้นต่อแน่นอนถ้าเกิด Pattern นี้
เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นว่าเกิดการสร้าง Pattern
นี้ขึ้นมาให้วางแผนเข้าซื้อได้เลยในวันถัดไป


วันนี้...เอาเท่านี้ก่อนนะครับ ค่อยๆซึมซับกับมันแล้วเราจะก้าวข้ามมันไปด้วยกันครับ

โค๊ด: [Select]
http://tradding2onlinemoney.blogspot.com/2014/05/candlestick-demand-3.html

25

ศ.เกื้อกุล วัยรุ่นพันล้าน
5/01/2557 06:04:00 หลังเที่ยง


จากตอนที่แล้วเราได้รู้จัก Candlestick ทั้ง Bullish และ Bearish รวมทั้งความหมายแต่ยังไม่ได้พูดถึงการนำไปใช้


ในคร้งนี้เราจะกล่าวถึงว่ามีใครบ้างที่อยู่ใน Candlestick


ใน Candlestick จากที่เรารู้มันคือ Demand&Supply
ซึ่งจริงๆแล้วก็จะมีคนอยู่สองกลุ่ม คือ Buyer และ Seller อยู่ใน
Candlestick เสมอ


สองกลุ่มนี้ในแต่ละวันพวกเขาจะทำสงความ ซื้อๆ ขายๆ กันเหมือนในสมรภูมิรบแต่เป็นสนามรบในตลาดหุ้นเท่านั้นเอง


การรบก็จะมี แพ้ ชนะ และเสมอ จึงทำให้เกิด Bullish Candlestick และ Bearish
 Candlestick และอีกตัวนึงที่ยังไม่ได้พูดถึงคือรูปแบบของการเสมอกัน ก็คือ
Doji Candlestick




รูปแบบแรกที่จะนำเสนอคือ Candlestick ที่หางยาวๆลงมา ในลักษณะนี้จะเป็นทั้ง
 Bullish หรือ Bearish ก็ได้แต่เราจะพิจารณาในส่วนของหางยาวๆของ
Candlestick เท่านั้นและมันคือจิตวิทยาที่สำคัญ



ลองดูรูปด้านล่างครับ


Buyer In Control



ในความหมายและนัยสำคัญของลักษณะนี้ คือ Buyer ไม่ยอมให้ราคาโดน Seller
กดลงที่จุดต่ำสุดเพราะมีการดันราคาจาก Buyer ขึ้นในตอนที่ Seller
ทิ้งทุกราคาลงมา นั่นบ่งบอกและมีความน่าจะเป็นว่าราคาจะไม่ลงต่อ

ในการอ่านเมื่อเราเจอภาพแบบนี้ในหุ้นตัวเราสนใจ ให้เราวิเคราะห์จากสิ่งที่ต้องให้น้ำหนักกับแท่งเทียนลักษณะนี้คือ

  • การเกิดตรงเส้นแนวรับสำคัญ
  • เกิดตรงเส้น EMA(50) หรือ EMA(200)
  • เกิดตรงบริเวณที่ RSI เข้าเขต Oversold


เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำเกิดการกลับตัวจากที่ราคาย่อตัวลงมาหรือจากเทรนขาลงของราคาไปเป็นทิศทางขาขึ้น




ลองไปดูตัวอย่างกันครับ







จากตัวอย่างจะเห็นว่าราคาย่อลงมาจากจุดสูงสุดที่พิจารณาติดต่อกันสามวันเรา
จะเรียกว่า Consecutive Down Day และเกิด Candlestick
หางยาวๆลงมาทดสอบที่เส้น EMA(50) ดังที่เห็น Buyer
ไม่ยอมให้ราคาลงต่ำกว่านี้เลยเกิดเป็น Candlestick
อย่างที่เห็นแล้ววันต่อมาราคาก็ขึ้นโดย Buyer In Control ในวันที่สี่
และจะเกิดรูป Swing Point Low(SPL) ขึ้นในวันที่สี่

สรุปเราสามารถเตรียมตัวเข้าในวันที่สี่โดยการสังเกตการขึ้นลงของราคาในวัน
นั้นแล้วระหว่างวันราคาไม่มีท่าทีจะปิดต่ำกว่าราคาเปิดสามารถเข้าได้เลย

Note : Consecutive Down Day และ Swing Point Low จะอธิบายในบทต่อไป


รูปต่อไปครับ


Seller In Control




ในความหมายจะตรงกันข้ามกับ Buyer In Control กรณีนี้ Buyer
ไม่สามารถต่อสู้กับ Seller ได้และ Seller
กำลังกดราคาไม่ให้ขึ้นไปสูงกว่านี้จากรูปเกิด Candlestick หัวยาวๆขึ้น
นัยสำคัญคือราคามีโอกาสไม่ขึ้นต่อแล้ว

ในการอ่านเมื่อเราเจอภาพแบบนี้ในหุ้นตัวเราสนใจ ให้เราวิเคราะห์จากสิ่งที่ต้องให้น้ำหนักกับแท่งเทียนลักษณะนี้คือ


  • การเกิดตรงเส้นต้านสำคัญ
  • เกิดตรงเส้น EMA(50) หรือ EMA(200)
  • เกิดตรงบริเวณที่ RSI เข้าเขต Overbought


เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดการกลับตัวจากที่ราคาขึ้นไปหรือจากเทรนขาขึ้นของราคาไปเป็นทิศทางขาลง




ลองไปดูตัวอย่างกันครับ







จากรูปพอจะอธิบายได้ว่าราคาเกิด Candlestick
หัวยาวๆตรงเส้นแนวต้านสำคัญเหตุเพราะ Seller
ไม่ยอมให้ราคาขึ้นไปมากกว่านี้และหลังจากเกิด Candlestick
รูปแบบนี้ก็มักจะเกิด Consecutive Up Day แล้วตามด้วย Swing Point
High(SPH) หลังจากนั้นราคาลงต่อในวันที่สี่




สรุปการเกิดลักษณะ Candlestick รูปแบบหัวยาวๆได้ว่าเราสามารถวิเคราะห์ว่าราคามีความเป็นไปได้ที่จะไม่ขึ้นต่อหรืออาจจะย่อลงมาปรับฐาน




Note : Consecutive Up Day และ Swing Point High จะอธิบายในบทต่อไป




ในบทนี้เราก็ได้รู้หลักการและจิตวิทยาการ ซื้อ-ขาย จาก Candlestick
ที่มีลักษณะ หางยาวๆ หัวยาวๆ ว่าเกิดการต่อสู้กันระหว่าง Buyer และ Seller
นี่เป็นหลักสำคัญที่เราจะต้องเข้าใจและอ่าน Candlestick
ให้เป็นเพราะหลังจากนี้ในบทต่อไป จะศึกษา Candlestick ในรูปแบบต่างๆ




แต่บทนี้เป็นหลักการต่อยอดสู่บทต่อไป
การเราเข้าใจมันจะทำให้เราแทบไม่ต้องจำหรือจำให้น้อยสุดกับรูปแบบต่างๆของ
Candlestick ที่มีหลากหลายรูปแบบ




เมื่อเราเข้าใจได้ดี เราจะมีความคมในการวิเคราะห์และได้เปรียบคู่ต่อสู้ที่อยู่ในยุทธจักรแห่งโลกของตลาดหุ้น


"เมื่อมี Passion ต่อสิ่งใดแล้ว ให้ลึกซึ็งกับสิ่งนั้นแล้วหนทางจักปรากฏ"

โค๊ด: [Select]
http://tradding2onlinemoney.blogspot.com/2014/05/candlestick-demand-2.html

26




Stars คือแท่งเทียนที่มีขนาด Body ของแท่งเล็ก (Spinning Tops) ซึ่งตัว Star จะเกิดขึ้นเมื่อมีแท่งเทียนขนาดเล็กเปิดละปิดแท่งในบริเวณที่ไม่ได้อยู่ในระยะของ Body ของแท่งก่อนหน้า
ตราบเท่าที่ Body ของแท่ง Star ไม่เข้าไปเลื่อมล้ำ Body ของแท่งเทียนแท่งก่อนหน้า ผู้เทรดสามารถพิจารณาแท่งเทียนนั้นได้ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็น Star ทั้งหมด สีของแท่งเทียนที่เป็นแท่ง Star
ไม่มีนัยสำคัญอันใด สามารถเป็นสีอะไรก็ได้ หากแท่งที่เป็น Star ปิดตัวเป็นแบบ โดจิ เราจะเรียกแท่งนั้นว่า Doji Star


แท่งเทียนตระกูล Stars เป็นสัญญาณเตือนให้ผู้เทรดได้ระวังตัวเองว่าเทรนที่ดำเนินมาก่อนหน้ามีความเป็นไปได้ที่จะจบลง ตัวแท่ง Star เองแสดงให้ผู้เทรดได้เห็นถึงการคุมเชิงระหว่างเทรนทั้งสองอยู่ ยกตัวอย่างเช่น
Star ที่เกิดขึ้นในตลาดขาขึ้นหมายความว่า เริ่มมีคนไม่เห็นด้วยกับตลาดขาขึ้นและต้องการจะ sell ในขณะที่คนที่ซื้อก็พยายามจะดันราคาให้กลับไปเป็นเทรนขึ้นดังเดิม จึงเกิดการต่อสู้ภายในแท่ง Star นั่นเอง หรือ
Star ที่เกิดในตลาดขาลงหมายความว่าเริ่มมีคนอยากจะ buy ราคาให้ขึ้นไปบ้างแล้ว รูปแบบ Star สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ
  • The Morning Star
  • The Evening Star
    The Morning Star
    Morning Star เป็นรูปแบบ Star ที่เกิดขึ้นในตลาดขาลง เหตุผลที่รูปแบบนี้ได้รับชื่อนี้เพราะเทรนขาขึ้นก็เหมือนกับพระอาทิตย์ในวันใหม่และ Morning Star ก็เป็นเหมือนกับพระอาทิตย์ที่ขึ้นในยามเช้านั่นเอง
    Morning Star ประกอบไปด้วยแท่งเทียน 3 แท่ง


    1.แท่งแรกเป็นแท่งเทียนขาลงสีดำที่ทำ Low ใหม่ของแท่งเรียบร้อยมีความหมายว่าตลาดยังเป็นของเทรนขาลงอย่างชัดเจน
    2.แท่งที่ 2 เป็นแท่ง Star ที่มี Body ไม่เลื่อมล้ำเข้าไปใน Body ของแท่งแรกมีความหมายว่าเทรนขาลงก่อนหน้าเริ่มมีความเป็นไปได้ที่จะหมดแรงในการดันตลาดให้ลงไปอีก
    3. แท่งที่ 3 เป็นแท่งเทียนขาขึ้นที่มี Body ของแท่งอยู่ในระยะ Body ของแท่งเทียนแท่งแรกซึ่งมีความหมายว่า ยืนยันแล้วว่าเริ่มมีคน Buy อย่างชัดเจนและตลาดกำลังกลับมาเป็นของเทรนขาขึ้น







    The Evening Star
    Evening Star เป็นรูปแบบ Star ที่เกิดในด้านตรงกันข้ามกับ The Morning Star ความหมายของ Evening Star เหมือนกับ Morning Star ทุกอย่าง เมื่อ Morning Star หมายถึง
    พระอาทิตย์ขึ้นในยามรุ่งอรุณ Evening Star ก็คือพระอาทิตย์ตกในยามอัสดงนั่นเองมีความหมายว่าความมืดกำลังจะเข้ามาปกคลุม (เพราะแท่งเทียนขาลงเป็นสีดำ) Evening Star ประกอบด้วยแท่งเทียน 3 แท่ง
    เช่นเดียวกับ Morning Star


    1.แท่งแรกเป็นแท่งเทียนขาขึ้นสีขาวที่ทำ High ใหม่ของแท่งเรียบร้อยมีความหมายว่าตลาดยังเป็นของเทรนขาขึ้นอย่างชัดเจน
    2.แท่งที่ 2 เป็นแท่ง Star ที่มี Body ไม่เลื่อมล้ำเข้าไปใน Body ของแท่งแรกมีความหมายว่าเทรนขาขึ้นก่อนหน้าเริ่มมีความเป็นไปได้ที่จะหมดแรงในการดันตลาดให้ขึ้นไปอีก เป็นตัวใบ้แรกสำหรับเทรนขาลง
    3. แท่งที่ 3 เป็นแท่งเทียนขาลงที่มี Body ของแท่งอยู่ในระยะ Body ของแท่งเทียนแท่งแรกซึ่งมีความหมายว่า ยืนยันแล้วว่าเริ่มมีคน Sell อย่างชัดเจนและตลาดกำลังกลับมาเป็นของเทรนขาลง





    ตามหลักทฤษฎีแล้ว รูปแบบ Evening Star จะต้องมี Gap (พื้นที่ว่างระหว่างแท่งเทียน) ระหว่าง Body ของแท่งเทียนแท่งที่ 1 และแท่งที่ 2 นอกจากนั้นยังจะต้องมี Gap ระหว่าง Body ของแท่งเทียนแท่งที่ 2
    และแท่งที่ 3 อีก แต่ในตลาด Forex นอกจากวันที่เป็นวันเปิดตลาดแล้ว น้อยมากที่ผู้เทรดจะมีโอกาสได้เห็น Gap ของราคา ดังนั้นผู้เทรดไม่ต้องกังวลเรื่อง Gap ของรูปแบบนี้ในเวลาที่เทรดจริง ๆ
    สิ่งที่ผู้เทรดจะต้องให้ความสำคัญสำหรับรูปแบบนี้คือ การปิดแท่งของแท่งที่ 3 ยิ่งแท่งที่ 3 สามารถปิดแท่งได้ใกล้กับจุดเปิดหรือเลยจุดเปิดของแท่งที่ 1 ไปได้ไกลเท่าไหร่ ยิ่งเป็นผลดีต่อการเปลี่ยนเทรนเท่านั้น


    สิ่งที่ควรสังเกตการกลับตัวของราคาจากรูปแบบ Morning Star และ Evening Star
  • Gap ของราคาที่เกิดระหว่าง Body ของแท่งเทียนแท่งแรกและแท่งเทียนแท่งที่ 2 รวมไปถึง Gap ระหว่างแท่งเทียนแท่งที่ 2 และแท่งที่ 3
  • ยิ่งแท่งเทียนแท่งที่ 3 สามารถปิดได้ใกล้กับจุดเปิดหรือเลยจุดเปิดของแท่งที่ 1 ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อการเปลี่ยนเทรนเท่านั้น
  • หากแท่งเทียนแท่งที่ 1 เป็นแท่งเทียนที่ดูแล้วไม่ค่อยมีแรงเช่น โดจิ หรือ Spinning Tops หรือ พวกแท่งเทียนที่มีไส้ของแท่งเยอะกว่า Body ของแท่ง แล้วแท่งเทียนแท่งที่ 3 เป็นแท่งเทียนที่เป็น Trend Bar เต็มแท่ง จะยิ่งส่งผลดีต่อรูปแบบนี้มากขึ้น
  • Morning Star และ Evening Star ขอแค่ จุดปิดของแท่งที่ 2 (แท่ง Star) ไม่เลื่อมล้ำกับจุดปิดของแท่งเทียนแท่งที่ 1 ก็พอแล้ว


เหตุผลที่แท่งเทียนแท่งที่ 3 มีความสำคัญต่อรูปแบบตระกูล Star มากเพราะแท่งที่ 3 จะเป็นแท่งยืนยันว่า ความไม่ชัดเจนก่อนหน้านี้ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น หากแท่งที่ 3
สามารถทะลุ High หรือ Low ของแท่ง Star ไปได้นั่นหมายความว่า ความเป็นไปได้ที่จะกลับตัวล้มเหลวและราคาก็จะวิ่งไปต่อในทิศทางเดิม


ตัวอย่างของ Morning Star และ Evening Star
Ex1



Ex2



Ex3



Ex4



Ex 5







Stars คือแท่งเทียนที่มีขนาด Body ของแท่งเล็ก (Spinning Tops) ซึ่งตัว Star จะเกิดขึ้นเมื่อมีแท่งเทียนขนาดเล็กเปิดละปิดแท่งในบริเวณที่ไม่ได้อยู่ในระยะของ Body ของแท่งก่อนหน้า
ตราบเท่าที่ Body ของแท่ง Star ไม่เข้าไปเลื่อมล้ำ Body ของแท่งเทียนแท่งก่อนหน้า ผู้เทรดสามารถพิจารณาแท่งเทียนนั้นได้ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็น Star ทั้งหมด สีของแท่งเทียนที่เป็นแท่ง Star
ไม่มีนัยสำคัญอันใด สามารถเป็นสีอะไรก็ได้ หากแท่งที่เป็น Star ปิดตัวเป็นแบบ โดจิ เราจะเรียกแท่งนั้นว่า Doji Star


แท่งเทียนตระกูล Stars เป็นสัญญาณเตือนให้ผู้เทรดได้ระวังตัวเองว่าเทรนที่ดำเนินมาก่อนหน้ามีความเป็นไปได้ที่จะจบลง ตัวแท่ง Star เองแสดงให้ผู้เทรดได้เห็นถึงการคุมเชิงระหว่างเทรนทั้งสองอยู่ ยกตัวอย่างเช่น
Star ที่เกิดขึ้นในตลาดขาขึ้นหมายความว่า เริ่มมีคนไม่เห็นด้วยกับตลาดขาขึ้นและต้องการจะ sell ในขณะที่คนที่ซื้อก็พยายามจะดันราคาให้กลับไปเป็นเทรนขึ้นดังเดิม จึงเกิดการต่อสู้ภายในแท่ง Star นั่นเอง หรือ
Star ที่เกิดในตลาดขาลงหมายความว่าเริ่มมีคนอยากจะ buy ราคาให้ขึ้นไปบ้างแล้ว รูปแบบ Star สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ
  • The Morning Star
  • The Evening Star
    The Morning Star
    Morning Star เป็นรูปแบบ Star ที่เกิดขึ้นในตลาดขาลง เหตุผลที่รูปแบบนี้ได้รับชื่อนี้เพราะเทรนขาขึ้นก็เหมือนกับพระอาทิตย์ในวันใหม่และ Morning Star ก็เป็นเหมือนกับพระอาทิตย์ที่ขึ้นในยามเช้านั่นเอง
    Morning Star ประกอบไปด้วยแท่งเทียน 3 แท่ง


    1.แท่งแรกเป็นแท่งเทียนขาลงสีดำที่ทำ Low ใหม่ของแท่งเรียบร้อยมีความหมายว่าตลาดยังเป็นของเทรนขาลงอย่างชัดเจน
    2.แท่งที่ 2 เป็นแท่ง Star ที่มี Body ไม่เลื่อมล้ำเข้าไปใน Body ของแท่งแรกมีความหมายว่าเทรนขาลงก่อนหน้าเริ่มมีความเป็นไปได้ที่จะหมดแรงในการดันตลาดให้ลงไปอีก
    3. แท่งที่ 3 เป็นแท่งเทียนขาขึ้นที่มี Body ของแท่งอยู่ในระยะ Body ของแท่งเทียนแท่งแรกซึ่งมีความหมายว่า ยืนยันแล้วว่าเริ่มมีคน Buy อย่างชัดเจนและตลาดกำลังกลับมาเป็นของเทรนขาขึ้น







    The Evening Star
    Evening Star เป็นรูปแบบ Star ที่เกิดในด้านตรงกันข้ามกับ The Morning Star ความหมายของ Evening Star เหมือนกับ Morning Star ทุกอย่าง เมื่อ Morning Star หมายถึง
    พระอาทิตย์ขึ้นในยามรุ่งอรุณ Evening Star ก็คือพระอาทิตย์ตกในยามอัสดงนั่นเองมีความหมายว่าความมืดกำลังจะเข้ามาปกคลุม (เพราะแท่งเทียนขาลงเป็นสีดำ) Evening Star ประกอบด้วยแท่งเทียน 3 แท่ง
    เช่นเดียวกับ Morning Star


    1.แท่งแรกเป็นแท่งเทียนขาขึ้นสีขาวที่ทำ High ใหม่ของแท่งเรียบร้อยมีความหมายว่าตลาดยังเป็นของเทรนขาขึ้นอย่างชัดเจน
    2.แท่งที่ 2 เป็นแท่ง Star ที่มี Body ไม่เลื่อมล้ำเข้าไปใน Body ของแท่งแรกมีความหมายว่าเทรนขาขึ้นก่อนหน้าเริ่มมีความเป็นไปได้ที่จะหมดแรงในการดันตลาดให้ขึ้นไปอีก เป็นตัวใบ้แรกสำหรับเทรนขาลง
    3. แท่งที่ 3 เป็นแท่งเทียนขาลงที่มี Body ของแท่งอยู่ในระยะ Body ของแท่งเทียนแท่งแรกซึ่งมีความหมายว่า ยืนยันแล้วว่าเริ่มมีคน Sell อย่างชัดเจนและตลาดกำลังกลับมาเป็นของเทรนขาลง





    ตามหลักทฤษฎีแล้ว รูปแบบ Evening Star จะต้องมี Gap (พื้นที่ว่างระหว่างแท่งเทียน) ระหว่าง Body ของแท่งเทียนแท่งที่ 1 และแท่งที่ 2 นอกจากนั้นยังจะต้องมี Gap ระหว่าง Body ของแท่งเทียนแท่งที่ 2
    และแท่งที่ 3 อีก แต่ในตลาด Forex นอกจากวันที่เป็นวันเปิดตลาดแล้ว น้อยมากที่ผู้เทรดจะมีโอกาสได้เห็น Gap ของราคา ดังนั้นผู้เทรดไม่ต้องกังวลเรื่อง Gap ของรูปแบบนี้ในเวลาที่เทรดจริง ๆ
    สิ่งที่ผู้เทรดจะต้องให้ความสำคัญสำหรับรูปแบบนี้คือ การปิดแท่งของแท่งที่ 3 ยิ่งแท่งที่ 3 สามารถปิดแท่งได้ใกล้กับจุดเปิดหรือเลยจุดเปิดของแท่งที่ 1 ไปได้ไกลเท่าไหร่ ยิ่งเป็นผลดีต่อการเปลี่ยนเทรนเท่านั้น


    สิ่งที่ควรสังเกตการกลับตัวของราคาจากรูปแบบ Morning Star และ Evening Star
  • Gap ของราคาที่เกิดระหว่าง Body ของแท่งเทียนแท่งแรกและแท่งเทียนแท่งที่ 2 รวมไปถึง Gap ระหว่างแท่งเทียนแท่งที่ 2 และแท่งที่ 3
  • ยิ่งแท่งเทียนแท่งที่ 3 สามารถปิดได้ใกล้กับจุดเปิดหรือเลยจุดเปิดของแท่งที่ 1 ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อการเปลี่ยนเทรนเท่านั้น
  • หากแท่งเทียนแท่งที่ 1 เป็นแท่งเทียนที่ดูแล้วไม่ค่อยมีแรงเช่น โดจิ หรือ Spinning Tops หรือ พวกแท่งเทียนที่มีไส้ของแท่งเยอะกว่า Body ของแท่ง แล้วแท่งเทียนแท่งที่ 3 เป็นแท่งเทียนที่เป็น Trend Bar เต็มแท่ง จะยิ่งส่งผลดีต่อรูปแบบนี้มากขึ้น
  • Morning Star และ Evening Star ขอแค่ จุดปิดของแท่งที่ 2 (แท่ง Star) ไม่เลื่อมล้ำกับจุดปิดของแท่งเทียนแท่งที่ 1 ก็พอแล้ว


เหตุผลที่แท่งเทียนแท่งที่ 3 มีความสำคัญต่อรูปแบบตระกูล Star มากเพราะแท่งที่ 3 จะเป็นแท่งยืนยันว่า ความไม่ชัดเจนก่อนหน้านี้ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น หากแท่งที่ 3
สามารถทะลุ High หรือ Low ของแท่ง Star ไปได้นั่นหมายความว่า ความเป็นไปได้ที่จะกลับตัวล้มเหลวและราคาก็จะวิ่งไปต่อในทิศทางเดิม


ตัวอย่างของ Morning Star และ Evening Star
Ex1



Ex2



Ex3



Ex4



Ex 5







Stars คือแท่งเทียนที่มีขนาด Body ของแท่งเล็ก (Spinning Tops) ซึ่งตัว Star จะเกิดขึ้นเมื่อมีแท่งเทียนขนาดเล็กเปิดละปิดแท่งในบริเวณที่ไม่ได้อยู่ในระยะของ Body ของแท่งก่อนหน้า
ตราบเท่าที่ Body ของแท่ง Star ไม่เข้าไปเลื่อมล้ำ Body ของแท่งเทียนแท่งก่อนหน้า ผู้เทรดสามารถพิจารณาแท่งเทียนนั้นได้ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็น Star ทั้งหมด สีของแท่งเทียนที่เป็นแท่ง Star
ไม่มีนัยสำคัญอันใด สามารถเป็นสีอะไรก็ได้ หากแท่งที่เป็น Star ปิดตัวเป็นแบบ โดจิ เราจะเรียกแท่งนั้นว่า Doji Star


แท่งเทียนตระกูล Stars เป็นสัญญาณเตือนให้ผู้เทรดได้ระวังตัวเองว่าเทรนที่ดำเนินมาก่อนหน้ามีความเป็นไปได้ที่จะจบลง ตัวแท่ง Star เองแสดงให้ผู้เทรดได้เห็นถึงการคุมเชิงระหว่างเทรนทั้งสองอยู่ ยกตัวอย่างเช่น
Star ที่เกิดขึ้นในตลาดขาขึ้นหมายความว่า เริ่มมีคนไม่เห็นด้วยกับตลาดขาขึ้นและต้องการจะ sell ในขณะที่คนที่ซื้อก็พยายามจะดันราคาให้กลับไปเป็นเทรนขึ้นดังเดิม จึงเกิดการต่อสู้ภายในแท่ง Star นั่นเอง หรือ
Star ที่เกิดในตลาดขาลงหมายความว่าเริ่มมีคนอยากจะ buy ราคาให้ขึ้นไปบ้างแล้ว รูปแบบ Star สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ
  • The Morning Star
  • The Evening Star
    The Morning Star
    Morning Star เป็นรูปแบบ Star ที่เกิดขึ้นในตลาดขาลง เหตุผลที่รูปแบบนี้ได้รับชื่อนี้เพราะเทรนขาขึ้นก็เหมือนกับพระอาทิตย์ในวันใหม่และ Morning Star ก็เป็นเหมือนกับพระอาทิตย์ที่ขึ้นในยามเช้านั่นเอง
    Morning Star ประกอบไปด้วยแท่งเทียน 3 แท่ง


    1.แท่งแรกเป็นแท่งเทียนขาลงสีดำที่ทำ Low ใหม่ของแท่งเรียบร้อยมีความหมายว่าตลาดยังเป็นของเทรนขาลงอย่างชัดเจน
    2.แท่งที่ 2 เป็นแท่ง Star ที่มี Body ไม่เลื่อมล้ำเข้าไปใน Body ของแท่งแรกมีความหมายว่าเทรนขาลงก่อนหน้าเริ่มมีความเป็นไปได้ที่จะหมดแรงในการดันตลาดให้ลงไปอีก
    3. แท่งที่ 3 เป็นแท่งเทียนขาขึ้นที่มี Body ของแท่งอยู่ในระยะ Body ของแท่งเทียนแท่งแรกซึ่งมีความหมายว่า ยืนยันแล้วว่าเริ่มมีคน Buy อย่างชัดเจนและตลาดกำลังกลับมาเป็นของเทรนขาขึ้น







    The Evening Star
    Evening Star เป็นรูปแบบ Star ที่เกิดในด้านตรงกันข้ามกับ The Morning Star ความหมายของ Evening Star เหมือนกับ Morning Star ทุกอย่าง เมื่อ Morning Star หมายถึง
    พระอาทิตย์ขึ้นในยามรุ่งอรุณ Evening Star ก็คือพระอาทิตย์ตกในยามอัสดงนั่นเองมีความหมายว่าความมืดกำลังจะเข้ามาปกคลุม (เพราะแท่งเทียนขาลงเป็นสีดำ) Evening Star ประกอบด้วยแท่งเทียน 3 แท่ง
    เช่นเดียวกับ Morning Star


    1.แท่งแรกเป็นแท่งเทียนขาขึ้นสีขาวที่ทำ High ใหม่ของแท่งเรียบร้อยมีความหมายว่าตลาดยังเป็นของเทรนขาขึ้นอย่างชัดเจน
    2.แท่งที่ 2 เป็นแท่ง Star ที่มี Body ไม่เลื่อมล้ำเข้าไปใน Body ของแท่งแรกมีความหมายว่าเทรนขาขึ้นก่อนหน้าเริ่มมีความเป็นไปได้ที่จะหมดแรงในการดันตลาดให้ขึ้นไปอีก เป็นตัวใบ้แรกสำหรับเทรนขาลง
    3. แท่งที่ 3 เป็นแท่งเทียนขาลงที่มี Body ของแท่งอยู่ในระยะ Body ของแท่งเทียนแท่งแรกซึ่งมีความหมายว่า ยืนยันแล้วว่าเริ่มมีคน Sell อย่างชัดเจนและตลาดกำลังกลับมาเป็นของเทรนขาลง





    ตามหลักทฤษฎีแล้ว รูปแบบ Evening Star จะต้องมี Gap (พื้นที่ว่างระหว่างแท่งเทียน) ระหว่าง Body ของแท่งเทียนแท่งที่ 1 และแท่งที่ 2 นอกจากนั้นยังจะต้องมี Gap ระหว่าง Body ของแท่งเทียนแท่งที่ 2
    และแท่งที่ 3 อีก แต่ในตลาด Forex นอกจากวันที่เป็นวันเปิดตลาดแล้ว น้อยมากที่ผู้เทรดจะมีโอกาสได้เห็น Gap ของราคา ดังนั้นผู้เทรดไม่ต้องกังวลเรื่อง Gap ของรูปแบบนี้ในเวลาที่เทรดจริง ๆ
    สิ่งที่ผู้เทรดจะต้องให้ความสำคัญสำหรับรูปแบบนี้คือ การปิดแท่งของแท่งที่ 3 ยิ่งแท่งที่ 3 สามารถปิดแท่งได้ใกล้กับจุดเปิดหรือเลยจุดเปิดของแท่งที่ 1 ไปได้ไกลเท่าไหร่ ยิ่งเป็นผลดีต่อการเปลี่ยนเทรนเท่านั้น


    สิ่งที่ควรสังเกตการกลับตัวของราคาจากรูปแบบ Morning Star และ Evening Star
  • Gap ของราคาที่เกิดระหว่าง Body ของแท่งเทียนแท่งแรกและแท่งเทียนแท่งที่ 2 รวมไปถึง Gap ระหว่างแท่งเทียนแท่งที่ 2 และแท่งที่ 3
  • ยิ่งแท่งเทียนแท่งที่ 3 สามารถปิดได้ใกล้กับจุดเปิดหรือเลยจุดเปิดของแท่งที่ 1 ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อการเปลี่ยนเทรนเท่านั้น
  • หากแท่งเทียนแท่งที่ 1 เป็นแท่งเทียนที่ดูแล้วไม่ค่อยมีแรงเช่น โดจิ หรือ Spinning Tops หรือ พวกแท่งเทียนที่มีไส้ของแท่งเยอะกว่า Body ของแท่ง แล้วแท่งเทียนแท่งที่ 3 เป็นแท่งเทียนที่เป็น Trend Bar เต็มแท่ง จะยิ่งส่งผลดีต่อรูปแบบนี้มากขึ้น
  • Morning Star และ Evening Star ขอแค่ จุดปิดของแท่งที่ 2 (แท่ง Star) ไม่เลื่อมล้ำกับจุดปิดของแท่งเทียนแท่งที่ 1 ก็พอแล้ว


เหตุผลที่แท่งเทียนแท่งที่ 3 มีความสำคัญต่อรูปแบบตระกูล Star มากเพราะแท่งที่ 3 จะเป็นแท่งยืนยันว่า ความไม่ชัดเจนก่อนหน้านี้ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น หากแท่งที่ 3
สามารถทะลุ High หรือ Low ของแท่ง Star ไปได้นั่นหมายความว่า ความเป็นไปได้ที่จะกลับตัวล้มเหลวและราคาก็จะวิ่งไปต่อในทิศทางเดิม


ตัวอย่างของ Morning Star และ Evening Star
Ex1



Ex2



Ex3



Ex4



Ex 5



โค๊ด: [Select]
http://tradding2onlinemoney.blogspot.com/2013/06/stars.html

27
แท่งเทียนประเภทคู่: Tweezers


Tweezers เป็นรูปแบบของแท่งเทียนที่ประกอบไปด้วยแท่งเทียน 2 แท่งที่มีจุดสูงสุด (High) และจุดต่ำสุดของแท่งเทียน (Low) เท่ากัน


ในตลาดขาขึ้นผู้เทรดมองเพียงแค่การเท่ากันระหว่าง High ของทั้ง 2 แท่งซึ่งเราจะเรียก Tweezers ในตลาดขาขึ้นว่า"Tweezers Tops"
ในตลาดขาลงผู้เทรดมองเพียง Low ของทั้งสองแท่งให้เท่ากันเรียกว่า "Tweezers Bottoms"









Tweezers สามารถเทียบได้จากทั้ง ไส้ของแท่งเทียน (Shadow) หรือ Body ของแท่งเทียน หรือ จาก โดจิ ก็ได้ ถึงแม้ว่ารูปแบบนี้จะไม่แสดงการกลับตัวชัดเจนเหมือนรูปแบบอื่น ๆ
แต่หากแท่งที่อยู่ถัดจากแท่ง Tweezers สามารถเปลี่ยนเทรนได้ Tweezers แท่งนั้นจะกลายเป็นตำแหน่งสูงสุดหรือต่ำสุดของสวิงทันทีและหากมีแรงที่วกกลับทาทดสอบแนวของ
Tweezers ผู้เทรดก็สามารถใช้แท่ง Tweezers ดูแนวรับแนวต้านได้ไม่แพ้รูปแบบอื่น ๆ เลย ดังนั้น Tweezers จึงทำหน้าที่เป็นเหมือนแท่งเทียนที่บอกถึงการพักชั่วคราวของเทรน
มากกว่าที่จะเป็นสัญญาณการกลับตัว








สรุปวิธีการสังเกต Tweezers
1. ถ้าเป็น Tweezers Tops จุดสูงสุดของแท่งเทียน (High) จะต้องเท่ากัน
2. ถ้าเป็น Tweezers Bottoms จุดต่ำสุดของแท่งเทียน (Low) จะต้องเท่ากัน
3. ตำแหน่งที่เป็นจุด Tweezers ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็น ไส้ของแท่งเทียน (Shadow) เท่านั้น มันสามารถเป็น Body ของแท่งเทียนหรือเป็นแท่ง Doji ก็ได้ครับ

โค๊ด: [Select]
http://tradding2onlinemoney.blogspot.com/2013/06/tweezers.html

28



สิ่งที่ Forex trader จำเป็นต้องทำ
เป็นที่เชื่อกันว่า มากกว่า 50% ของผู้ที่เล่น Forex นั้นขาดทุนในระยะยาว แต่ก็ยังคงมีนักเล่น Forex หน้าใหม่จำนวนมากกระโดดเข้ามาในตลาด Forex ทำการซื้อขายอย่างไร้หลักการ และขาดทุนกลับไป เป็นที่หน้าแปลกใจที่ส่วนใหญ่ของ ผู้เทรดที่ขาดทุนนั้น ทำการเทรดเหมือนพนัน (ไม่ใช่การลงทุน) เงินทุนของพวกเขา เข้าไปในตลาด Forex โดยไม่ได้มีการตรวจสอบกับหลักการเลย ไม่ว่าคุณจะมีประสบการณ์ หรือเป็นผู้เริ่มต้น กับตลาด Forex มีสิ่งที่จำเป็น "ต้องทำ" ในการเข้าเทรด Forex เพื่ออบริหารความเสี่ยงอย่างฉลาด และเพิ่มโอกาสในการทำกำไร


สิ่งที่ผู้เทรด Forex ต้องทำ
1. ลงทุนกับสมองของคุณเป็นอันดับแรก
ถ้าคุณต้องการลงทุนในตลาด Forex อย่างจริงจัง การสร้าง ทักษะการเทรด และความรู้ เป็นสิ่งแรกที่คุณต้องทำ การเข้าสมนา Workshop, วิดีโอการสอน, การเรียนรู้ออนไลน์ หรือแม้กระทั้ง หนังสือ เพื่อช่วยให้เราเรียนรู้จากนักเทรดมืออาชีพ เรียนรู้การใช้ กราฟ ทางเทคนิค ประกอบการตัดสินใจการเข้าเทรด เรียนรู้การใช้ indicator เพื่อเป็นตัวชี้จังหวะ การเข้า และออกจากตลาด สร้างประสบการณ์ ด้วยการเทรดผ่านบัญชีจำลอง ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพ และสามารถให้คุณเริ่มต้นกับ Forex ได้อย่างราบรื่น และสามารถ ลดโอกาสในการขาดทุนได้อย่างแน่นอน


2. เริ่มต้นกับระบบเทรดที่เหมาะสม
 เป็นสิ่งที่ฉลาด และควรทำ ที่จะค้นคว้าหาข้อมูล และพิจารณาระบบของโบรคเกอร์ทั้งหมดที่มี ก่อนที่เราจะเลือกใช้เพื่อทำการทรดจริง ระบบของโบรคเกอร์ที่แตกต่างกันนั้นเช่น ระบบการแสดงกราฟ ระบบการเทรดอัตโนมัติ ระบบเทรดที่ได้ออกแบบมาอย่างดี จะช่วยให้งานของเราน้อยลง สิ่งนี้จะช่วยให้เรามีเวลา ที่จะเรียนรู้ตลาด และวางแผนกลยุทธ์ชองเราได้มากยิ่งขึ้น อีกสิ่งที่ทำให้ระบบเทรดอัตโนมัติ นั้นมีประโยชน์มาก นั้นคือ การใช้ระบบเทรดอัตโนมัติ จะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงการเทรดโดยใช้อารมณ์ได้


3. มีแผนการเทรดอย่างชัดเจน
 อย่างที่ผู้เฒ่า ผู้แก่ กล่าวไว้ว่า "การล้มเหลวในการวางแผน เป็นแผนสำหรับความล้มเหลว" การเทรดในตลาด Forex นั้น เหมือนกับการ พายเรือในทะเล คุณจะไม่สามารถไปไหนได้เลย ถ้าไม่มี เข็มทิศ และตัวนำทาง อะไรเป็นจุดประสงค์ของการเทรด? คุณคาดหวังจะได้กำไรจากการเทรดเท่าไหร่? เมื่อไหร่ถึงจะเข้าไปในตลาด? จะลงทุนเท่าไหร่? จะออกจากตลาดที่ราคาเท่าไหร่? ถ้าทั้งหมดไม่เป็นไปตามแผน จะ stop loss เมื่อไหร่? จะทนต่อความเสี่ยงได้ขนาดไหน? แผนการเทรดที่ดี อย่างน้อยควรจะตอบคำถามทั้งหมดนี้ได้ ถ้าแผนการเทรดของคุณไม่ประสบผลสำเร็จ ตรวจสอบ และแก้ไข แผนการเทรดของคุณ ค้นหาสิ่งที่ผิดพลาด แล้วเรียนรู้จากมัน


4. มีการบริหารเงินทุนที่ดี
 การบริหารเงินทุน เป็นสิ่งที่ควบคุมความเสี่ยงของคุณ และช่วยในการตัดสินใจในการออกจากตลาดโดยให้น้ำหนักจาก โอกาสในการทำกำไร เปรียบเทียบกับ โอกาสในการขาดทุน ตัวอย่างเช่น ในสถานการณ์หนึ่ง ถ้าไม่เป็นไปตามแผน คุณอาจจะขาดทุน $1000 แต่ถ้าเป็นไปตามแผน คุณจะได้กำไร $500 โดยแผนนี้สำเร็จ 8 ครั้ง จากทั้งหมด 10 ครั้งนั้นเป็นการดีกว่า การทำกำไร $1000 ถ้าเป็นไปตามแผนแต่ถ้าไม่เป็นไปตามแผนจะขาดทุน $500 โดยแผนนี้สำเร็จเพียงแค่ 1 ครั้งจากทั้งหมด 3 ครั้ง ถ้าคุณลงทุนโดยใช้เงินเก็บของคุณเอง การบริหารเงินทุนนี้ ยิ่งเป็นสิ่งสำคัญเพราะโอกาสที่คุณจะพลาดการลงทุนที่ดี เนื่องจากเงินทุนของคุณมีไม่มากนั้น สูง


5. ลงทุนอย่างมีวินัย
การเทรด Forex อย่างมีวินัย นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ ความสำเร็จจากการเทรด Forex นั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพียงแค่ คุณมีแผนการเทรดที่ดีเท่านั้น อีกสิ่งที่สำคัญ และจำเป็น นั้นคือคุณต้องทำตามแผนนั้นอย่างมีวินัยด้วย เทรดตามแผน และไม่เทรดตามอารมณ์ ถึง จะขาดทุน หรือกำไร ความโลภอาจทำให้กำไรของคุณหายไป ในขณะที่ ความกลัว อาจะทำให้คุณพลาดโอกาสที่ดี ในตลาดได้เช่นกัน


กำไรจากตลาด Forex นั้นสูง และ เร็ว กว่าการเทรดชนิดอื่นมาก อย่างไม่ต้องสงสัย การเข้าถึงตลาดนั้นก็ไม่มีข้อจำกัด, ความลื่นไหลของตลาด, เป็นการลงทุนโดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินทุนมาก ด้วย อัตรา leverage ที่สูง และ ไม่มีข้อจำกัดในการ Short Selling ทำให้ตลาด Forex สามารถทำกำไรได้สูงมาก จำไว้เสมอว่า การวางแผนการลงทุนอย่างฉลาด โดยการลงทุนให้กับตัวเราก่อนคุณจะได้รางวัลอย่างงามที่ปลายทาง

โค๊ด: [Select]
http://tradding2onlinemoney.blogspot.com/2014/04/forex-trader-50-forex-forex-forex-forex.html

29
 4 ความผิดพลาดซ้ำซากในการลงทุน และวิธีเลี่ยงความผิดเหล่านั้น
แปลจากบทความ Four Common Trading Mistakes and How to Avoid Them เขียนโดย Ivan Hoff
1. ซื้อขายหุ้นโดยไม่มีหลักการ
ถ้าคุณไม่มีจุดยืน คุณก็ไม่มีแก่นหรือสิ่งใดให้ยึดถือปฏิบัติ ถ้าคุณไม่มีเป้าหมายว่าจะไปที่ใด คุณก็ไม่มีวันไปถึงจุดหมาย… จงกำหนดหลักการ วางแผนการลงทุน และทำตามแผนที่คุณวางไว้เสมอ เพราะถ้าคุณไม่มีแผนการของตนเอง คุณก็จะต้องตกอยู่ในแผนการของคนอื่น
“ถ้าคุณไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงซื้อหุ้นตัวนั้น คุณก็จะไม่รู้ว่าควรขายมันตอนไหน ซึ่งนั่นมักจะทำให้คุณขายหุ้นทิ้งตอนที่ราคาของมันทำให้คุณกลัว ทั้งๆที่โดยส่วนมากแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณกลัวราคาหุ้นในขณะนั้น มันคือโอกาสซื้อ ไม่ใช่จุดบ่งชี้ว่าคุณควรขายมันทิ้ง”
– Martin Taylor -
2. เข้าซื้อหุ้นไม้ใหญ่เกินไป (Trading too big)
การเข้าซื้อหุ้นครั้งเดียวในสัดส่วนที่เยอะของพอร์ต จะทำให้คุณขายหุ้นเพราะความกลัวของคุณ ไม่ใช่เพราะระบบลงทุนของคุณบอกให้ขาย
ดังนั้น ก่อนที่จะซื้อหุ้น คุณควรกำหนดจำนวนเงินที่คุณสามารถยอมรับขาดทุนได้ให้อยู่ในระดับที่ไม่เสี่ยงมากไป ตัวอย่างเช่น คุณยอมรับขาดทุนได้ 20,000 บาท โดยที่จุดตัดขาดทุนของคุณคือ เมื่อราคาหุ้นตกลงไปต่ำกว่าต้นทุน 5 บาท ดังนั้น คุณควรซื้อหุ้นตัวนี้จำนวน 4,000 หุ้น
“นักลงทุนมักจะให้ความสำคัญเกือบทั้งหมดไปที่จุดเข้าซื้อ (entry price) ทั้งๆที่โดยส่วนมากแล้ว ขนาดของการเข้าซื้อ (entry size ) ในแต่ละครั้งมีความสำคัญกว่าจุดเข้าซื้อ เพราะหาก entry size แต่ละครั้งใหญ่มากเกินไป เวลาที่หุ้นปรับตัวลงอย่างไม่มีนัยสำคัญ มันก็มักจะทำให้คุณกลัวและขายหุ้นที่ยังมีแนวโน้มดีนั้นทิ้งไป ดังนั้น ยิ่งขนาดของการเข้าซื้อใหญ่มากไปเท่าไร ความกลัวจะเข้ามาครอบงำการตัดสินใจของคุณ แทนที่จะตัดสินใจจากแผนการและประสบการณ์ที่พิจารณาอย่างดีแล้ว”
– Steve Clark -
3. ซื้อขายมากเกินไป (Overtrading)
การที่เราจะซื้อขายหุ้นบ่อยขนาดไหนนั้นขึ้นอยู่กับแนวทางการลงทุนของเรา แต่ไม่ว่าคุณจะใช้แนวทางลงทุนแบบไหนก็ตาม การซื้อขายน้อยครั้งย่อมดีกว่าเสมอ (less is more)
อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิดไป เพราะไม่ว่าคุณจะทำการบ้านหรือเตรียมตัวมาอย่างดีแค่ไหนก็ตาม แต่ตลาดหุ้นนั้นก็มักจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอยู่บ่อยๆ ดังนั้น คุณควรจะมีไอเดียหรือหุ้นที่จะเลือกลงทุนมากกว่า 1 ตัวอยู่เสมอ
แต่การที่คุณซื้อๆขายๆในหุ้นทุกตัวที่เกิดสัญญาณ ทำให้เงินลงทุนและพลังงานของคุณถูกกระจายออกไปในหุ้นหลายตัวมากจนเกินไปนั้น คงไม่ใช่การตัดสินใจที่ฉลาดนัก
คุณควรยึดมั่นอยู่กับสิ่งที่คุณรู้และเข้าใจ เลือกใช้วิธีการที่คุณทำแล้วได้ผล อย่าหลงไปตามกระแสข่าวลือหรือการลงทุนที่คุณไม่ได้เปรียบ และหลีกเลี่ยงการลงทุนใดๆก็ตามที่คุณไม่ได้มีความเข้าใจในสิ่งนั้นเลยแม้แต่น้อย
ในบางครั้ง การเทรดที่ดีที่สุดก็คือ การไม่เทรดเลย และตั้งมั่นอยู่กับหุ้นที่เราถือ ผมรู้ดีว่าในช่วงตลาดกระทิงดุนั้น มันมีสิ่งที่เย้ายวนใจมากที่จะทำให้คุณซื้อๆขายๆบ่อยครั้ง เมื่อหุ้นเกือบทุกตัวขึ้นไปทะลุ High เดิม คุณรู้สึกเหมือนเด็กที่อยู่ในร้านขนมหวานแล้วไม่รู้จะเลือกหยิบขนมชิ้นไหนดี
จงเลือกหุ้นเพียงไม่กี่ตัวในจังหวะเวลาที่เหมาะสม อย่าพยายามที่จะไล่ซื้อหุ้นทุกๆตัว เพราะคุณไม่สามารถทำได้ (ยกเว้นว่าคุณเป็นคอมพิวเตอร์!!!)
เบื้องหลังของความผิดพลาดในข้อที่ 2 และ ข้อที่ 3 มักจะเกิดจากความมั่นใจที่มากเกินไป
ถึงแม้้ว่าความมั่นใจนั้นเป็นสิ่งสำคัญในการทำตามแผนและระบบลงทุนของคุณ แต่ถ้ามีความมั่นใจที่มากเกินพอดี (Overconfidence) มันจะก่อให้เกิดผลเสีย เพราะความมั่นใจที่มากเกินไปนั้น เป็น 1 ในเหตุผลสำคัญที่ว่า ทำไมนักลงทุนและนักเก็งกำไรที่มีประสบการณ์จึงยังสามารถขาดทุนได้
เมื่อไรก็ตามที่คุณรู้สึกว่า ความสำเร็จของคุณในตลาดมาจากการที่คุณเป็นอัจฉริยะ ไม่ได้มาจากความคิดที่รอบคอบและไตร่ตรองอย่างระมัดระวังในการลงทุน ก็เท่ากับว่าคุณใกล้ถึงเวลาที่จะขาดทุนแล้ว
4. เฝ้าดูราคาหุ้นมากเกินไป (Watching your stocks too closely)
ถ้าคุณเป็นนักลงทุนแบบ day trader นั่นคือสิ่งคุณควรทำ แต่ถ้าคุณใช้กรอบการลงทุนที่ยาวนานกว่านั้น การเฝ้ามองราคาหุ้นตลอดเวลาจะก่อให้เกิดผลเสียซะมากกว่า
เมื่อคุณตัดสินใจใดๆแล้วคุณต้องให้เวลากับมัน เพื่อให้หลักการหรือไอเดียการลงทุนของคุณนั้นได้โชว์ผลลัพธ์ของมันจริงๆออกมาเสียก่อน
“การเฝ้ามองราคาหุ้นบนหน้าจอทั้งวันนั้น ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆและเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ผมเชื่อว่าการเฝ้าดูทุกคำสั่งซื้อขายจะทำให้คุณขายหุ้นก่อนเวลาอันควร (ขายหมู) และ มักทำให้คุณซื้อหุ้นในราคาที่สูงเกินไปหรือขายหุ้นในราคาที่ต่ำเกินไปของวันนั้น รวมถึงทำการซื้อขายมากเกินไป (Overtrading) ผมแนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงการเฝ้ามองราคาหุ้นตลอดเวลา และหันไปทำสิ่งอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อการลงทุนและต่อตัวของคุณเองในช่วงเวลาซื้อขาย เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเหล่านั้น”
- Steve Clark -
การเฝ้ามองราหาหุ้นอย่างใกล้ชิดจะทำให้เกิดผลเสียต่อผลตอบแทนของคุณ เมื่อคุณเข้าซื้อหุ้นแล้ว คุณไม่ควรซื้อขายเพียงเพราะเห็นคำสั่งซื้อขายเล็กๆน้อยๆที่สวนทางกับ Position ของคุณ การเฝ้ามองราคาหุ้นมากเกินไปนั้น ก็เปรียบเหมือนคุณนั่งอยู่ในร้านเบเกอรี่แสนอร่อยขณะที่คุณกำลัง diet
“หากคุณใช้เวลาอยู่ในร้านตัดผมสักพักหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็วคุณจะคิดว่าคุณต้องตัดผม ทั้งๆที่คุณหัวล้าน”
– Warren Buffett -
โซรอส เคยกล่าวไว้่ว่า
“ถ้าคุณออกไปทำงานทุกวัน เพียงเพราะคิดว่าคุณต้องทำอะไรซักอย่าง ผลก็คือ มันทำให้คุณมักจะทำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์อะไรเพื่อไม่ให้เบื่อไปวันๆ ซึ่งผมคิดว่าคุณควรจะอยู่เฉยๆดีกว่า ปกติแล้วผมจะไปทำงานเฉพาะเวลาที่มีงานให้ทำ ในเวลาที่มันควรค่าแก่การทำจริงๆ ผลก็คือ ผมเรียนรู้ที่จะสามารถแยกแยะได้ว่า วันไหนที่มีงานสำคัญกว่าวันอื่นๆ และรู้ว่าเวลาไหนที่ควรมุ่งมั่นกับงานเป็นพิเศษ”
ดังนั้น ถ้าคุณเป็นนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรที่ไม่ใช่ Day Trader คุณควรหาสิ่งอื่นทำแทนที่จะนั่งเฝ้าดูราคาหุ้นทั้งวัน อย่างเช่นการอ่านหนังสือ ออกกำลังกาย หรือ อะไรก็ตามที่ทำให้ไม่ต้องยุ่งกับการดูราคาหุ้นระหว่างวันมากเกินไป
ความไม่รู้ไม่ใช่อุปสรรคของคนส่วนใหญ่ในตลาด เพราะทุกคนต่างก็สามารถศึกษาหาความรู้ได้เหมือนๆกัน แต่เป็นความพยายามที่จะนำความรู้ต่างๆมาประยุกต์ใช้อย่างจริงจังต่างหาก เหมือนกับที่ทุกคนรู้ดีว่า ควรทำตัวอย่างไรเพื่อลดน้ำหนัก แต่จะมีสักกี่คนที่มีวินัยมากพอที่จะทำตามแผนของตนเองได้อย่างจริงจังและสม่ำเสมอ…

โค๊ด: [Select]
http://tradding2onlinemoney.blogspot.com/2013/11/2.html

30
 การเทรด เปรียบเสมือนการเร่งเวลา ของชีวิตคน, ภายในเวลาหลักนาที การเทรดจะรวมความท้าทายที่มนุษย์ต้องเจอตลอดชีวิต มาทดสอบ ตั้งแต่ ความจำเป็นที่ต้องตัดสินสิ่งต่างๆ, วางแผน และ การประเมินคุณค่าของสิ่งต่างๆ ภายใต้สภาวะที่มีความเสี่ยง และ ความไม่แน่นอน, ในการฝึกฝนการเทรด เราจำเป็นที่จะต้องเผชิญหน้ากับตัวเอง และ เอาชนะตัวเอง, ในชีวิตจริงเองก็มีเรื่องราวที่ ได้รางวัลเมื่อเราพัฒนาตัวเองสำเร็จ และ มีบทลงโทษเมื่อขาดการพัฒนาตนเองอยู่ตลอด

มีบทเรียนชีวิตมากมาย ที่เราสามารถสะท้อนออกมาจากการเทรด เช่น
1. ต้องมี การวาง Stop-Loss ในทุกกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็น การงาน, ความสัมพันธ์, และ เรื่องส่วนบุคคล, คนที่ประสบความสำเร็จ จะรู้จักตัดเรื่องที่กำลังล้มเหลวทิ้งไป และ ทำต่อในเรื่องที่กำลังสำเร็จไปได้ด้วยดี
2. การใช้ความหลากหลาย เป็นเรื่องที่มักจะได้ผล ทั้งในเรื่องของชีวิต และ การเทรด, การบริหารความเสี่ยง โดยการใช้ทรัพยาการจากหลายๆแหล่งที่ไม่เกี่ยวข้องกัน เป็นวิธีที่ดี ไม่ว่าจะใช้กับแง่มุมใดของชีวิต
3. ไม่ว่าจะเป็นในชีวิต หรือในตลาด, การเปลี่ยนแปลง จะสร้างประโยชน์ให้กับผู้ที่เตรียมตัวล่วงหน้าอย่างดี, การไม่วางแผน เท่ากับ กำลังวางแผนสู่ความล้มเหลวนั่นเอง
4. การประสบความสำเร็จในการเทรดและชีวิต มาจากการรู้ข้อได้เปรียบของตัวเอง, เมื่อโอกาสมาถึง ต้องผลักดันความได้เปรียบนั้นออกมา และ ใช้ให้เต็มที่, และ เมื่อความได้เปรียบนั้นหมดไป ก็ให้นั่งรอเฉยๆต่อไป
5. Risk (ความเสี่ยง) และ Reward (ผลตอบแทน) นั้น มาคู่กันเสมอ, ไม่ว่าจะเป็นชีวิตคน หรือ ในตลาด, การจะได้ผลตอบแทนที่ดีมา ต้องมีการบริหารความเสี่ยง อย่างพิถีพิถันก่อนเสมอ
6. ความสุข คือกำไรที่เราเก็บเกี่ยวจากชีวิตของเรา, กิจกรรมทุกอย่างในชีวิต ควรจะมีการทบทวนเป็นระยะๆว่า ผลตอบแทนที่ได้มาจากการลงทุนในเรื่องนั้น คุ้มค่าหรือไม่, เทียบกว่า การลงแรง ลงเวลากับเรื่องใดๆนั้น ให้ความสุขเราได้มากน้อยเพียงใด
7. จงอ้าแขนยอมรับการเปลี่ยนแปลง, เพราะแม้ว่า การเปลี่ยนแปลง จะ นำมาซึ่งความอันตราย แต่ก็จะมาพร้อมกับโอกาสด้วยเสมอ
8. ทุกแนวโน้ม และวัฎจักรจะมีที่สิ้นสุดเสมอ, ใครที่มีการประเมินอนาคตล่วงหน้าได้ดี จะได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้
9. ไม่ว่าจะเป็นในการเทรด หรือในชีวิต, การตัดสินใจที่เลวร้ายที่สุด จะมาจาก อย่างใดอย่างหนึ่ง ระหว่าง เชื่อมั่นมากเกินไป หรือ ขาดซึ่งความเชื่อมั่น
10. สูตรสำเร็จ ทั้งในวงการเงิน และ ชีวิต คือ อย่าถือการลงทุนใดๆ ที่ถ้าให้คุณซื้อใหม่ตอนนี้ คุณไม่อยากซื้อ

(Note ผู้แปล : นี่เป็นบทเรียนที่ ผุ้แต่งได้ให้ข้อคิดไว้กับ Trader Feed Site, หากนำข้อคิดเหล่านี้มาทบทวนดีๆ จะเห็นได้ว่าหลักการหลายๆอย่าง เป็นเรื่องที่ค่อนข้างชัดเจน แต่เราอาจจะลืมคิดไป และ เมื่อถึงเวลาก็ถูกอารมณ์ครอบงำ จนไม่สามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้องอย่างที่ควรจะทำ, เหมือนกับตอนเทรดซึ่งขาดวินัยเพราะ ถูกอารมณ์ครอบงำ, ฉะนั้นในชีวิต ก็ต้องมีสติ และวินัย ที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องมากกว่า ไปกระทำตามสิ่งเร้าที่เข้ามายั่วยวนให้ดี)

โค๊ด: [Select]
http://tradding2onlinemoney.blogspot.com/2015/07/part-11.html

หน้า: 1 [2] 3 4 ... 17
SMF 2.0.15 | SMF © 2011, Simple Machines
SMFAds for Free Forums