• Bookmark
• Tweet
• Share
• PM

สวัสดีจ้า เชื่อว่าหลายคนรอคอยวันหยุดยาวกัน เพื่อที่จะได้กลับไปอยู่กับครอบครัว และมีเวลาพักผ่อน ก่อนกลับมาลุยงานกันอีกรอบ สำหรับสายเทรด Forex วันนี้มาดู กลยุทธ์สำหรับในการเทรด Forex ซึ่งบอกได้เลยว่ามีมากมาย ขึ้นกับว่าพวกเราเลือกใช้กลยุทธ์ใดสำหรับในการเทรด โดยกลยุทธ์การเทรดมีดังนี้

 

● การเทรดระยะสั้น (Scalping)

ส่วนใหญ่จะเล่นในช่วงระยะเวลาสั้นๆไม่เกิน 2-3 ชั่วโมง ซึ่งอาจจะมากกว่า หรือ น้อยกว่านี้ ข้อดีของการเทรดอย่างนี้ก็คือ รู้กำไร-ขาดทุนแน่ชัด และไม่จำเป็นต้องเสียเวลาวิเคราะห์ตลาดในระยะยาวให้ปวดหัว ส่วนข้อเสียของการเล่นแบบ Scalpingหมายถึงจะต้องเฝ้าหน้าจอ รวมทั้งมีความเสี่ยงสูงที่จะหมดตัว ดังนั้นคนที่จะเทรดระยะสั้นจึงต้องมีประสบการณ์และความชำนาญในตลาดไม่น้อย



● การซุ่มรอระยะที่ใช่ (Sniper)

เป็นการอาศัยความแม่นยำสูง ต้องรอคอยให้ช่วงเวลาที่ใช่ที่สุดมาถึงแล้วก็ค่อยลงทุนแบบจัดเต็ม ซึ่งการลงทุนแบบนี้ถ้าหากคุณประสบความสำเร็จจะได้กำไรมหาศาล แต่ว่าถ้าหากไม่ก็เสี่ยงล้มได้เลย คุณก็เลยจะต้องแม่นยำเป็นอย่างมากในการดูตลาด Forex ให้ออก



● การเทรดรายวัน (Day Trade)

กลยุทธ์การซื้อขายที่เน้นทำกำไรและเทรดให้จบในวันเดียวเพื่อหลีกเลี่ยงค่า Swap (ค่าดอกเบี้ยถือข้ามคืน) ทำให้คนที่ใช้กลยุทธ์นี้จะต้องสนใจข่าว ตามข่าวก่อนออกออเดอร์เสมอ โดยจะเน้นทำกำไรในช่วงที่มีข่าวสำคัญประกาศ ดังนั้นเทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์นี้ก็เลยจะต้องมีเวลาสำหรับติดตามข่าวสารแล้วก็เฝ้าจออย่างสม่ำเสมอ



● การเทรดตามรอบสวิงใหญ่ๆ(Swing Trade)

เหมาะมากสำหรับเทรดเดอร์ที่ไม่ต้องการถือในระยะยาว เพราะว่าเป็นการเทรดที่เน้นจังหวะการเข้าเพียงแค่นั้น จึงไม่ต้องสนใจเทรนด์หรือแนวโน้มของตลาดมากนัก ข้อสำคัญก็คือคุณจะต้องมีความแม่นยำในการหาจุดเข้าด้วย



● การเทรดตามเทรนด์ (Trend Following)

สิ่งสำคัญของการใช้กลยุทธ์สไตล์นี้คือ การอ่านเทรนด์ให้ขาด มองเทรนด์ใหญ่เป็นหลัก โดยการเทรดแบบนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาว่าง สามารถลงทุนในระยะยาวได้ และก็มีเงินทุนหนา อย่างไรก็ตามแต่การเทรดแบบนี้ต้องอาศัยความอดทนเป็นอย่างมาก ห้ามใจร้อนเด็ดขาด ต้องรอไปจนกว่าจะเห็นว่ามันสุดเทรนด์แล้วจึงค่อยปิดออเดอร์รอบเดียว



● การเทรดแบบ Breakout

การที่กราฟนั้นดิ่งทะลุแนวต้านจากที่คาดการณ์เอาไว้ เทรดเดอร์ก็เลยสามารถใช้ประโยชน์ในการเทรดได้ ทำให้จังหวะการเทรดนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องมาจากการพุ่งทะลุแนวต้านทำให้สามารถหาราคา Breakout ที่แท้จริงเจอ คุณจึงทำกำไรได้ทัน เพราะการเกิด Break Out นั้นจะเกิดตั้งแต่ช่วงต้นเทรนด์นั่นเอง



● การเทรดตาม Demand&Supply

ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า Demand หมายถึง "อุปสงค์" หรือ ความต้องการซื้อ ส่วน Supply หมายถึง "อุปทาน" หรือ ความต้องการขาย การเทรดแบบนี้จึงเหมาะมากสำหรับเทรดเดอร์ที่มีเวลาในการดูแนวโน้มตลาดและมีความแม่นยำในการหาจุดเข้าด้วย



● การเทรดตามแนวรับ-แนวต้าน (Fibo)

สิ่งสำคัญในการเทรดชนิดนี้คือความแม่นยำในการตีแนวรับและก็แนวต้านจากกรอบรวมทั้งมีความเข้าใจในการเคลื่อนไหวราคาของ Forex เป็นอย่างดี ผู้ที่ใช้กลยุทธ์นี้จึงต้องมีความแม่นยำในการดูตลาด Forex ให้ออก



● การเทรดแบบ Price Pattern

การเทรดตามรูปแบบราคา มีความเสี่ยงสูงมากถ้าหากเทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์การเทรดนี้อ่านความเคลื่อนไหวของตลาด Forex ได้ไม่แม่นพอ การเทรดแบบนี้จึงเหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่มีเวลาในการศึกษาแบบการเทรดและสามารถอ่านความเคลื่อนไหวของตลาดได้อย่างชัดเจน



● การเทรดตามรูปแบบแท่งเทียน (Price Action)

การเทรดชนิดนี้เป็นที่นิยมมากมายก่ายกองเนืื่องจากใช้งานได้ง่าย และก็ช่วยทำให้การเทรดง่ายขึ้นถึงแม้ไม่มีประสบการณ์สำหรับการเทรด ถ้าเกิดคุณใช้เครื่องมืออื่นๆพร้อมกันกับกราฟแท่งเทียนไปด้วยอย่างเส้นแนวโน้ม รวมทั้ง เส้นแนวรับ-แนวต้าน ก็จะยิ่งทำให้ท่านหาแนวโน้มจากกราฟแท่งเทียนได้เร็วยิ่งขึ้น



● การเทรดโดยคำนวนค่ากลาง (Pivot Price)

เป็นการเทรดโดยอิงจากชุดข้อมูลจุดสูงสุด, ต่ำสุด แล้วก็ราคาปิดของช่วงก่อนหน้า โดยกลยุทธ์การเทรดชนิดนี้ได้รับความนิยมเป็นอันมากในการเทรดรายวัน เพราะเหตุว่าช่วยทำให้การหาค่ากลางระหว่างวันนั้นทำได้ง่ายขึ้น



● การเทรดจากค่าความผันผวน (votalility)

การเทรดในช่วงที่ตลาดมีระยะทางในการเคลื่อนไหวสูง ซึ่งเทรดเดอร์ที่จะเทรดอย่างงี้จะต้องมีเวลาว่างสำหรับเพื่อการเทรดเพื่อมองตลาด Forex สูง ทั้งยังควรมีความแม่นยำสำหรับการหาจุดเข้าถูกด้วย โดยตอนที่เหมาะกับการเทรดแบบนี้คือช่วงที่ตลาดของแต่ละประเทศนั้นเปิดให้ทำการซื้อขายพร้อมกัน



● การเทรดด้วยอินดิเคเตอร์ (Indicator)

การเทรดประเภทนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเนื่องจากใช้งานง่าย และก็สามารถวิเคราะห์ 1 ใน 5 ของตัวแปรอย่างราคาเปิด, ราคาสูงสุด, ราคาต่ำสุด, ราคาปิด รวมทั้งปริมาณการซื้อขายได้ อย่างไรก็ตามแต่ว่า การเทรดด้วยวิธีนี้คือการพึ่งพาระบบ AI คุณจึงไม่สามารถเชื่อได้ทั้งหมด ต้องวิเคราะห์ทิศทางตลาดด้วยตนเองเพิ่มด้วย

[ladyMP]

• Bookmark
• Tweet
• Share
• PM

สวัสดีจ้า เชื่อว่าหลายคนรอคอยวันหยุดยาวกัน เพื่อที่จะได้กลับไปอยู่กับครอบครัว และมีเวลาพักผ่อน ก่อนกลับมาลุยงานกันอีกรอบ สำหรับสายเทรด Forex วันนี้มาดู กลยุทธ์สำหรับในการเทรด Forex ซึ่งบอกได้เลยว่ามีมากมาย ขึ้นกับว่าพวกเราเลือกใช้กลยุทธ์ใดสำหรับในการเทรด โดยกลยุทธ์การเทรดมีดังนี้

 

● การเทรดระยะสั้น (Scalping)

ส่วนใหญ่จะเล่นในช่วงระยะเวลาสั้นๆไม่เกิน 2-3 ชั่วโมง ซึ่งอาจจะมากกว่า หรือ น้อยกว่านี้ ข้อดีของการเทรดอย่างนี้ก็คือ รู้กำไร-ขาดทุนแน่ชัด และไม่จำเป็นต้องเสียเวลาวิเคราะห์ตลาดในระยะยาวให้ปวดหัว ส่วนข้อเสียของการเล่นแบบ Scalpingหมายถึงจะต้องเฝ้าหน้าจอ รวมทั้งมีความเสี่ยงสูงที่จะหมดตัว ดังนั้นคนที่จะเทรดระยะสั้นจึงต้องมีประสบการณ์และความชำนาญในตลาดไม่น้อย



● การซุ่มรอระยะที่ใช่ (Sniper)

เป็นการอาศัยความแม่นยำสูง ต้องรอคอยให้ช่วงเวลาที่ใช่ที่สุดมาถึงแล้วก็ค่อยลงทุนแบบจัดเต็ม ซึ่งการลงทุนแบบนี้ถ้าหากคุณประสบความสำเร็จจะได้กำไรมหาศาล แต่ว่าถ้าหากไม่ก็เสี่ยงล้มได้เลย คุณก็เลยจะต้องแม่นยำเป็นอย่างมากในการดูตลาด Forex ให้ออก



● การเทรดรายวัน (Day Trade)

กลยุทธ์การซื้อขายที่เน้นทำกำไรและเทรดให้จบในวันเดียวเพื่อหลีกเลี่ยงค่า Swap (ค่าดอกเบี้ยถือข้ามคืน) ทำให้คนที่ใช้กลยุทธ์นี้จะต้องสนใจข่าว ตามข่าวก่อนออกออเดอร์เสมอ โดยจะเน้นทำกำไรในช่วงที่มีข่าวสำคัญประกาศ ดังนั้นเทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์นี้ก็เลยจะต้องมีเวลาสำหรับติดตามข่าวสารแล้วก็เฝ้าจออย่างสม่ำเสมอ



● การเทรดตามรอบสวิงใหญ่ๆ(Swing Trade)

เหมาะมากสำหรับเทรดเดอร์ที่ไม่ต้องการถือในระยะยาว เพราะว่าเป็นการเทรดที่เน้นจังหวะการเข้าเพียงแค่นั้น จึงไม่ต้องสนใจเทรนด์หรือแนวโน้มของตลาดมากนัก ข้อสำคัญก็คือคุณจะต้องมีความแม่นยำในการหาจุดเข้าด้วย



● การเทรดตามเทรนด์ (Trend Following)

สิ่งสำคัญของการใช้กลยุทธ์สไตล์นี้คือ การอ่านเทรนด์ให้ขาด มองเทรนด์ใหญ่เป็นหลัก โดยการเทรดแบบนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาว่าง สามารถลงทุนในระยะยาวได้ และก็มีเงินทุนหนา อย่างไรก็ตามแต่การเทรดแบบนี้ต้องอาศัยความอดทนเป็นอย่างมาก ห้ามใจร้อนเด็ดขาด ต้องรอไปจนกว่าจะเห็นว่ามันสุดเทรนด์แล้วจึงค่อยปิดออเดอร์รอบเดียว



● การเทรดแบบ Breakout

การที่กราฟนั้นดิ่งทะลุแนวต้านจากที่คาดการณ์เอาไว้ เทรดเดอร์ก็เลยสามารถใช้ประโยชน์ในการเทรดได้ ทำให้จังหวะการเทรดนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องมาจากการพุ่งทะลุแนวต้านทำให้สามารถหาราคา Breakout ที่แท้จริงเจอ คุณจึงทำกำไรได้ทัน เพราะการเกิด Break Out นั้นจะเกิดตั้งแต่ช่วงต้นเทรนด์นั่นเอง



● การเทรดตาม Demand&Supply

ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า Demand หมายถึง "อุปสงค์" หรือ ความต้องการซื้อ ส่วน Supply หมายถึง "อุปทาน" หรือ ความต้องการขาย การเทรดแบบนี้จึงเหมาะมากสำหรับเทรดเดอร์ที่มีเวลาในการดูแนวโน้มตลาดและมีความแม่นยำในการหาจุดเข้าด้วย



● การเทรดตามแนวรับ-แนวต้าน (Fibo)

สิ่งสำคัญในการเทรดชนิดนี้คือความแม่นยำในการตีแนวรับและก็แนวต้านจากกรอบรวมทั้งมีความเข้าใจในการเคลื่อนไหวราคาของ Forex เป็นอย่างดี ผู้ที่ใช้กลยุทธ์นี้จึงต้องมีความแม่นยำในการดูตลาด Forex ให้ออก



● การเทรดแบบ Price Pattern

การเทรดตามรูปแบบราคา มีความเสี่ยงสูงมากถ้าหากเทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์การเทรดนี้อ่านความเคลื่อนไหวของตลาด Forex ได้ไม่แม่นพอ การเทรดแบบนี้จึงเหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่มีเวลาในการศึกษาแบบการเทรดและสามารถอ่านความเคลื่อนไหวของตลาดได้อย่างชัดเจน



● การเทรดตามรูปแบบแท่งเทียน (Price Action)

การเทรดชนิดนี้เป็นที่นิยมมากมายก่ายกองเนืื่องจากใช้งานได้ง่าย และก็ช่วยทำให้การเทรดง่ายขึ้นถึงแม้ไม่มีประสบการณ์สำหรับการเทรด ถ้าเกิดคุณใช้เครื่องมืออื่นๆพร้อมกันกับกราฟแท่งเทียนไปด้วยอย่างเส้นแนวโน้ม รวมทั้ง เส้นแนวรับ-แนวต้าน ก็จะยิ่งทำให้ท่านหาแนวโน้มจากกราฟแท่งเทียนได้เร็วยิ่งขึ้น



● การเทรดโดยคำนวนค่ากลาง (Pivot Price)

เป็นการเทรดโดยอิงจากชุดข้อมูลจุดสูงสุด, ต่ำสุด แล้วก็ราคาปิดของช่วงก่อนหน้า โดยกลยุทธ์การเทรดชนิดนี้ได้รับความนิยมเป็นอันมากในการเทรดรายวัน เพราะเหตุว่าช่วยทำให้การหาค่ากลางระหว่างวันนั้นทำได้ง่ายขึ้น



● การเทรดจากค่าความผันผวน (votalility)

การเทรดในช่วงที่ตลาดมีระยะทางในการเคลื่อนไหวสูง ซึ่งเทรดเดอร์ที่จะเทรดอย่างงี้จะต้องมีเวลาว่างสำหรับเพื่อการเทรดเพื่อมองตลาด Forex สูง ทั้งยังควรมีความแม่นยำสำหรับการหาจุดเข้าถูกด้วย โดยตอนที่เหมาะกับการเทรดแบบนี้คือช่วงที่ตลาดของแต่ละประเทศนั้นเปิดให้ทำการซื้อขายพร้อมกัน



● การเทรดด้วยอินดิเคเตอร์ (Indicator)

การเทรดประเภทนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเนื่องจากใช้งานง่าย และก็สามารถวิเคราะห์ 1 ใน 5 ของตัวแปรอย่างราคาเปิด, ราคาสูงสุด, ราคาต่ำสุด, ราคาปิด รวมทั้งปริมาณการซื้อขายได้ อย่างไรก็ตามแต่ว่า การเทรดด้วยวิธีนี้คือการพึ่งพาระบบ AI คุณจึงไม่สามารถเชื่อได้ทั้งหมด ต้องวิเคราะห์ทิศทางตลาดด้วยตนเองเพิ่มด้วย