แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - Tamol

หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 17
76
<a href="https://www.youtube.com/watch?v=VqP3ZC0kT_k" target="_blank">https://www.youtube.com/watch?v=VqP3ZC0kT_k</a>

หลังจากดูคลิปวิดีโอนี้เสร็จ อยากบอกว่า ยินดีต้อนรับนักลงทุน  นักเล่นหุ้น Forex ที่ประสบความสำเร็จในอนาคต คุณมั่นใจได้เลยว่าคุณต้องเป็น 10 ใน 100 คนที่ร่ำรวยจากการเล่นหุ้นแน่นอน

โค๊ด: [Select]
https://www.youtube.com/watch?v=VqP3ZC0kT_k

77
เคล็ดลับพื้นฐานสำหรับการเป็นนักลงทุน Forex มืออาชีพ

วันนี้เรามาเริ่มจากพื้นฐานง่าย ๆ กันครับ ปรับพื้นฐานก่อนเพราะส่วนใหญ่ที่เรา ๆ ท่าน ๆ มักพลาดกันเสมอๆ ก็มาจากพื้นฐานไม่แน่นนี่แหละครับ ถ้ารักษาหลักการพื้นฐานเหล่านี้ได้ ท่านก็จะอยู่ในตลาดได้นาน ได้สั่งสมประสบการณ์จนกลายเป็นมืออาชีพ อย่างที่ฝันได้ในที่สุด เรามาเริ่มกันเลยครับ

ข้อแรก อันนี้สำคัญมาก เราจะอยู่ในตลาดได้นานแค่ไหน ต้องข้อนี้เลยครับ คือ ต้องรู้แพ้รู้ชนะ รู้อภัย พูดง่าย ๆ ก็คือ คนเราไม่มีใครเก่งไปตลอดหรอกครับ เมื่อเราพลาดแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือ หยุดเสียหาย ครับ หรือที่เรียกกันว่า cut loss นั่นเอง เราต้องหยุดครับ อย่าไปคิดว่า เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง ไอ้คำว่าเดี๋ยวนี่แหละครับ ทำคน จนมาเยอะต่อเยอะแล้ว จำไว้ครับ อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ เราระวังไว้ก่อนดีกว่า อย่าลืมนะครับ พลาดปุ๊ป อย่าช้า หยุดเสียหายทันทีครับ

ข้อสอง เราต้องมีหลักการในการเข้าไปทำกำไร คือ ก่อนที่เราจะเทรด ต้องวางแผนให้แน่นอนก่อน เช่นว่าเราจะเทรด ที่เท่าไหร่ เมื่อไหร่เราจะเข้าซื้อ เมื่อwไหร่เราจะขาย และที่สำคัญมากคือ ต้องทำตามกฎที่เราตั้งไว้อย่างเคร่งครัดนะครับ มิฉะนั้น ท่านก็จะไม่รู้เลยว่า ที่เราเทรด ๆ กันไปนั้น จริง ๆ สูตรไหนกันแน่ที่ทำให้เรามีกำไร

ข้อสาม อย่าทำตัวเป็นพวกขี้แพ้ชวนตี พูดง่าย ๆ ก็คือ อย่าให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล จริง ๆ ข้อนี้ คล้าย ๆ กับข้อแรกครับ คือ คนเรามันจะมีนิสัยอย่างนึงคือเมื่อเราแพ้เราจะยิ่งเอาคืน และตอนเอาคืนนี่แหละ ที่เราจะยิ่งแพ้หนักเข้าไปอีก บอกตัวเองเสมอครับ อันนี้เกมส์ชีวิต แพ้แล้วบางทีท่านอาจจะไม่มีโอกาสให้แก้ตัวนะครับ เพราะฉะนั้น คิดดีๆ นะครับ ก่อนที่จะกดอะไรลงไป

ข้อสี่ อย่าเปิดหลาย ๆ ออเดอร์ครับ เราอย่าโลภ บางท่านพอเล่นได้ปุ๊ป ก็คิดว่า เฮ้ย! ง่ายหว่ะ นี่มันเงินหมูๆ ชัดๆ เอาเลย ทุ่มเต็มที่ เปิดทีพร้อมกันหลายสัญญา ปรากฏว่า เกิดแอคซิเดนท์ ไม่ทันได้ดู เรียบร้อยโรงเรียน forex ไปเลยครับท่าน โทษฐานหวังรวยทางลัด เชื่อเถอะครับ แม้แต่ธุรกิจที่รวยเร็วที่สุด ยังต้องใจเย็นในการทำ

ข้อห้า เป็นข้อคิดเตือนในสำหรับมือใหม่ หรือแม้กระทั่งมือเก๋าทั้งหลายครับ ว่าอย่าสวนกระแส บางท่านเล่นได้สักพัก เจอกับความฝันผวนบ่อย ๆ เข้า เริ่มคิดว่า เฮ้ย! ไอ้แบบนี้ มาสวนกระแสแน่ ๆ แล้วก็เลยเทรด สวนทางกับกระแส กลัวว่าจะตกขบวน ผลสุดท้าย ได้ตามขบวนแมงเม่าไปจนได้

ที่จะฝากไว้ก็มีแค่นี้แหละครับ ขอให้ท่านนักเทรดทั้งหลาย จงมีแต่ร่ำรวย ๆ นะครับ

โค๊ด: [Select]
http://www.thaiforexschool.com/viewfulldetial.php?id=418&&name=%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%20Forex%20%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B5

78
รู้เขา รู้เรา เทรด forex ให้ได้กำไร

เทรดเดอร์ forex หลายๆ ท่านคงเคยได้ยินคำกล่าวใน ตำราพิชัยสงครามของซุนวู ที่ว่า "รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง" มาบ้าง เราจะมาดูว่าเราจะเอามาประยุกต์ใช้กับการเทรด Forex อย่างไร

ก่อนอื่น เริ่มจาก "รู้เรา" ก่อน เพื่อจะประเมินว่าเราพร้อมที่จะเข้าสู้ในสงคราม(การเงิน) ในครั้งนี้หรือไม่ สิ่งที่ต้องรู้เราก็คือ



ตัวของเทรดเดอร์เอง ต้องรู้ว่า

1. อาวุธของตัวเอง (เครื่องมือสัญญาณทางเทคนิค) เราจะเลือกใช้อันไหน ใช้อย่างไร มีจุดอ่อนหรือไม่ และต้องเข้าใจก่อนว่าอาวุธในมือเรา มันจะแผงฤทธิ์ ได้ดีในตอนไหน

ยกตัวอย่างเช่น
- เราเลือกใช้ : Moving Averages เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ โดยใช้แบบ EMA เรียกว่า Exponential Moving Average ตั้งค่าที่ 50 (EMA50) และ 10 (EMA10)
- เราก็ต้องรู้ว่า เส้นค่าเฉลี่ยสามารถบอกได้ถึง จุดซื้อเมื่อ EMA10 ตัด EMA50 ขึ้น จุดขายเมื่อ EMA10 ตัด EMA50 ลง สามารถบอกได้ถึงแนวรับ แนวต้าน เมื่อราคาวิ่งมาชนเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
- จุดอ่อนของ Moving Averages ช่วงเกิด Sideway จะเกิดการหลอก เราก็ไม่ควรเข้าเทรดในช่วงนี้

และสิ่งหนึ่งที่ควรจำใว้ให้ดีก็คือ "อย่าใช้ indicator นำทางนะครับ indicator มีหน้าที่ไว้ช่วยคอมเฟิร์มสัญญาณซื้อ หรือ ขาย ของเราเท่านั้น"


2. ระบบ กลยุทธ์ของเราคืออะไร สร้างระบบให้เหมาะกับตัวเอง แล้วต้องรู้ว่าจะใช้ระบบนั้นตอนใหน

ก่อนจะเริ่มวางระบบ อยู่ๆจะวางระบบเลยไม่ได้ พื้นฐานต้องมี มีความเข้าใจแล้วพอสมควร มองและแยกให้ออกว่า ระบบที่ดีนั่นต้องมีปัจจัยอะไรมาร่วมด้วย ที่จะทำให้ได้กำไร มากกว่าขาดทุน

ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น

ระบบเหรด Forex ทางเทคนิค
1. ระบบเทรด Forex ที่ใช้สองเส้น EMA ตัดกัน, EMA50 และ EMA10
2. ใช้กับคู่ EUR/USD
3. วางแผนที่จะเล่นที่ระดับ 15 m โดยวิเคราะห์แนวโน้ม 1h 4h
4. เล่นจบภายใน 1 ชั่วโมง ถึงระดับ 3 ชั่วโมง หรือ ราคาบวก 25 จุด
5. เริ่มเทรดตามระบบเมื่อเวลา 12.00-16.00 และ ช่วงเวลา 19.00-23.00 นอกเหนือจากช่วงนี้ไม่เทรด


แผนการเทรด Forex
1. มีการกำหนด จุดเข้า หรือ สัญญาณในการเข้าเทรด เช่น ดู 1h 4h แล้วพบว่ายังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น จึงกลับมาดูที่ระดับ 15 m พบว่า EMA10 ตัด EMA50 ขึ้น จึงเข้าซื้อ และปิดออเดอร์นี้เมื่อ EMA10 ตัด EMA50 ลงหรือราคาบวก 25 จุด เป็นต้น
2. มีการกำหนดจุด ขาดทุน ( Stop Loss) เช่น กำหนด Risk Reward Ratio (R:R) ไว้ไม่ต่ำกว่า 1:1 หมายถึงถ้าตั้ง Target ไว้ที่ 25 pip ค่า Stop Loss ก็ควรจะอยู่ที่ 25 pip เช่นกัน
3. มีการกำหนดเป้าหมายกำไร (Target) เช่น จบรอบของการตัดกันของ EMA10 กับ EMA50 หรือราคาบวก 25 จุด
4. มีการวางแผนทางการเงิน ( Money Management) เช่น เทรดไม่เกิน 5 - 10% ของทุน
5. มีการบริหารความเสี่ยง ( Risk Management) การจัดสรรการเทรดให้เหมาะสม
ระบบ และ แผนการเทรดที่ดีจะช่วยให้คุณตัดอารมณ์ ออกจากการเทรด

**หมายเหตุ นี่เป็นเพียงการยกตัวอย่างประกอบบทความเท่านั้น ยังไม่ผ่านการทดสอบระบบ เพื่อใช้งานจริงนะครับ


3. ต้องรู้จักตัดอารมณ์ของตัวเองไม่ให้มาเกี่ยวข้องขณะเทรด Forex (การควบคุมอารมณ์ของตนเองให้ปฏิบัติตามแผน ตามระเบียบวินัยการลงทุนตามระบบ รู้กลยุทธ์ที่วางเอาไว้)

- อย่าปล่อยให้ราคาไหลโดยหวังว่ามันจะกลับมาที่เดิม ต้องยอมรับความผิดพลาดด้วยการ Stop Loss
- อย่าเทรดตามคนอื่นโดยเด็ดขาด ควรเทรดตามระบบ ตามสัญญาณ หรือตามแผนที่ของตัวเองที่วางไว้
- ควบคุมความโลภ ( Greedy) อย่าเทรดเพียงเพราะตอนนั้นราคาที่เราเห็นอาจจะกำลังไหลสุดๆ จนเราเกิดอารมณ์โลภหรืออยากจนเสียสมดุล
- รู้จักรอเมื่อตลาดไม่เป็นไปตามระบบ หรือแผนที่วางเอาไว้ ไม่แน่ใจไม่ต้องเทรด รอตลาดเป็นผู้เฉลยว่าราคาจะไปทางใด แล้วเราค่อยตามไป
- อย่าพยายามเอาคืนเวลาพลาดพลั้งไปแล้ว มันจะเกิดผลกระทบต่อเป็นลูกโซ่กับการตัดสินใจครั้งต่อไป ควรออกจากตลาดสักระยะหนึ่ง ไปหากิจกรรมอย่างอื่นทำแล้วค่อยกลับมาเทรด และจดจำข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น นำมาเป็นบทเรียน


ต่อไปก็ต้อง "รู้เขา" เพื่ออ่านเกมคู่ต่อสู้ อ่านรูปแบบของตลาด

เราควรมองตลาดที่จะเข้าตี มอง Forex คู่ที่จะเข้าเทรดให้ออกว่าเป็นอย่างไร นิ่ง ผันผวน มีเทรน หรือเกิด side way หรือเป็นอย่างไร เพื่อเลือกยุทธวิธีในการเข้าทํา ตอนนี้มันใช่ตลาดที่เหมาะกับระบบของเรามั้ย

 

นอกจากนี้ เพื่อนๆ ควรมีการเก็บข้อมูลว่า คู่ที่เราเทรด เฉลี่ยหนึ่งวันวิ่งประมาณกี่จุด ราคามักจะวิ่งในช่วงเวลาไหน

ใครถนัดจะเล่นแบบไหน ใช้สัญญาณอะไร อย่างไรก็แล้วแต่ สิ่งหนึ่งที่บอกว่าเราได้มาถูกทางแล้วคือ การที่เราได้ทำอะไรที่เราเห็นอยู่ทุกๆ วัน เป็นเรื่องง่ายๆ แต่ได้ผล ยิ่งทำยิ่งง่ายขึ้นแต่เข้าใจ ไม่ใช่ยิ่งทำยิ่งคิดยิ่งยุ่งยากซับซ้อนออกไป มากไป จนสับสน

มาถึงตรงนี้เพื่อนๆ เทรดเดอร์ทุกคน ควรจะมีอาวุธที่เหมาะกับตัวเอง (เครื่องมือสัญญาณทางเทคนิค) มีระบบเทรด Forex เป็นของตัวเอง มีการเก็บข้อมูลที่เพียงพอสำหรับระบบของตน เพราะไม่มีใครจะสร้างสิ่งที่เหมาะกับเพื่อนๆ ได้นอกจากตัวของเพื่อนๆ เอง

 
โค๊ด: [Select]
http://www.thaiforexschool.com/viewfulldetial.php?id=392&&name=%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B2%20%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B2%20%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%94%20forex%20%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A3

79
เคล็ดลับที่ควรรู้ 12 ข้อ สำหรับการเทรด Forex

1. เรียนรู้พื้นฐาน

ฟังดูเป็นเรื่องพื้นๆ แต่เทรดเดอร์มือใหม่ส่วนมากมักจะกระโดดเข้าไปในสมรภูมิก่อนที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร และแน่นอนว่ามักจะเกิดความผิดพลาดและเสียหายขึ้นกับพวกเขาเหล่านั้น อย่างที่เราเห็นกันบ่อยๆว่ามือใหม่ล้างพอร์ตกันบ่อยๆ ล้างแล้ว ล้างอีก แล้วพวกเขาก็เที่ยวค้นหาอะไรซักอย่างที่จะมาช่วยเค้าให้หลุดพ้นจากจุดนี้ จริงๆแล้วสิ่งที่มือใหม่ควรทำเป็นอันดับแรกก็คือ "เรียนรู้พื้นฐาน" ซะก่อนที่จะโดดลงมาเล่นในตลาดอย่างเต็มตัว



2. คุณจะไม่ได้รวยในทันที ประสบการณ์ทำให้คุณรวย

ถ้าคุณเข้ามาในตลาด Forex เพราะคิดว่ามันจะทำให้คุณรวยได้อย่างรวดเร็ว บอกได้เลยว่าคุณคิดผิดแล้ว คุณจะอยู่ในตลาดได้ไม่นานแล้วก็ต้องออกจากตลาดไป เพราะ "การเทรดคือทั้งหมดที่เกี่ยวกับประสบการณ์" ก็เหมือนกับมืออาชีพในอาชีพอื่นๆ ที่คุณจะต้องเรียนรู้การทำงานในอาชีพนั้นๆ เมื่อสะสมประสบการณ์ไปเรื่อยๆ งานที่คุณทำก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น และคุณก็จะกลายเป็นมืออาชีพ  เส้นทางที่จะทำให้คุณเทรดเดอร์มืออาชีพนั้นเป็นเส้นทางที่ยาวไกล ต้องจริงจังและอยู่กับมันให้ได้อย่างน้อย 1-3 ปี ก่อนที่จะทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง จำไว้ว่าการเทรด Forex เป็นอาชีพ ดังนั้นถ้าเทรดเดอร์มือใหม่อยากจะทำกำไรให้ได้เหมือนเทรดเดอร์เก๋าๆที่เทรดมานานๆ ก็จงเรียนรู้ ฝึกปฏิบัติ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เพื่อวันนึงข้างหน้าคุณจะทำได้เหมือนมืออาชีพที่คุณเห็นในวันนี้



3. ผู้เชี่ยวชาญเป็นเรื่องตลก

การรับฟังความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญนั้นเป็นสิ่งที่ดีแน่นอน แต่ปัญหาที่มีในตลาดเงินก็คือ มีเทรดเดอร์มือใหม่ที่สามรถทำไรได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ และคิดว่าตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญเกิดขึ้นทุกสัปดาห์ และมากกว่านั้นคือผู้เชี่ยวชาญที่อายุ 30-60 ปี แต่งตัวภูมิฐานในชุดสูท ที่อ้างว่าเป็นผู้ประกอบการมืออาชีพ และเรียกร้องให้คุณซื้อหนังสือของพวกเขา คนเหล่านี้มักเป็นคนที่ล้มเหลวจากการทำรายได้จากตลาด และหันมาสร้างรายได้จากการสอนเทรดเดอร์คนอื่นๆด้วยวิธีที่ล้มเหลว ผู้เชี่ยวชาญที่ประกาศตัวเอง มีแนวโน้มที่จะ:

ให้ข้อมูลเก่าที่ไม่สามารถใช้การได้พวกเขาจะเป็นเทรดเดอร์อาชีพที่เทรดอย่างเดียว และพยายามขายหนังสือให้คุณ
เรียกร้องในราคาที่แพงแสนแพง และสิ่งที่ได้มาบางทีก็ใช้การอะไรไม่ได้
พยายามที่จะพิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นเทรดเดอร์ที่ทำกำไรได้โดยการโพสต์ภาพของบัญชี ซึ่งเราไม่รู้ว่ามันเป็นของจริงหรือเปล่า
เป็นคนที่เก่งคำนวณ เพื่อให้ตัวเป็นคนที่ประสบความสำเร็จและน่าเชื่อถือมากขึ้น เช่น เทรดได้กำไรสองครั้ง แต่ ขาดทุนแค่ครั้งเดียว
ดังนั้นควรต้องระวังเหล่าผู้เชียวชาญที่ไม่เชี่ยวชาญไม่จริงเหล่านี้ไว้ด้วยสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ ควรเช็คให้แน่ใจว่าอันไหนของจริงหรือ ของปลอม อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ



4. วิเคราะห์ด้วยตัวเอง

การเชื่อคนอื่นแบบสุ่มสี่สุ่มห้าจะทำให้คุณเป็นคนตาบอด อย่าลืมว่าเป้าหมายของคุณคือการเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่การเทรดตามซิกที่คนอื่นๆให้มา

การที่จะเป็นเทรดเดอร์ได้นั้น คุณต้องเลือกวีการเทรดเพื่อที่จะทำกำไรและเรียนรู้ที่จะวิเคราะห์ตลาดด้วยตัวเอง ความสามารถในการวิเคราะห์ของคุณจะทำให้คุณกลายเป็นเทรดเดอร์มือโปร การวิเคราะห์ด้วยตัวเองจะช่วยให้คุณ:

เป็นคนที่พึ่งพาตัวเอง
เรียนรู้ในการเทรดอย่างจริงจัง
ถ้าคุณเลือกที่จะหลับหูหลับตาเทรดตามกูรู แล้วคุณจะทำกำไรได้อย่างไรเมื่อกูรูหยุดแจกเคล็ดลับ หรือเคล็ดลับนั้นไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป คุณจะเข้าใจได้อย่างไรว่าทำไมเคล็ดลับมันทำงานในตอนแรก แต่ตอนนี้มันกลับใช้การไม่ได้แล้ว ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวคุณน่าจะเป็น "การพึ่งพาตนเอง"

 

5. จ้าวตำนานเดโม่

ถ้าคุณอยากจะเป็นนักมวยมืออาชีพแล้วคุณไปซื้อเกมส์ต่อยมวยมาเล่น แล้วเริ่มการฝึกต่อยมวยด้วยวีดีโอเกมส์ แล้วมันจะช่วยให้ต่อยมวยเป็นได้ยังไง ? ก็เหมือนกับการเทรดด้วยบัญชีเดโม่ ที่ทำให้คุณหวังว่าจะเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ

การเทรดด้วยบัญชีเดโม่เป็นเวลา 3 เดือนแล้วไม่ประสบความสำเร็จเมื่อมาเทรดปัญจริงก็เพราะ 2 เหตุผล คือ

ทำให้มือใหม่มีความมั่นใจแบบผิดๆ และทำให้ซึบซับนิสัยที่ไม่ดี เพราะในการเทรดบัญชีเดโม่และบัญชีจริงจะมีความกดดันที่แตกต่างกัน การเทรดบัญชีเงินจริงจะมีความกดดันมากกว่าหลายเท่า ในขณะที่การเทรดบัญชีเดโม่แทบจะไม่มีความกดดันเลย ก็แน่นอนละเพราะถึงเสีย เราก็ไม่ได้เสียเงินจริง เราๆท่านๆคงเคยได้ยินคำพูดนี้อยู่บ่อยครั้ง "หมูสนามจริง สิงห์สนามซ้อม"
ประสิทธิภาพของบัญชีเดโม่ มักจะดีกว่าบัญชีจริง ซึ่งรวมถึงความรวดเร็วในการเปิดปิดออเดอร์ รวมทั้งปัจจัยอื่นๆอีกหลายอย่าง
ทางออกที่ดีที่สุดคือการใช้บัญชีเดโม่ในการเรียนรู้พื้นฐานและการทดสอบระบบหรือหาวิธีการซื้อขาย และเมื่อต้องซื้อขายจริงคุณควรจะเทรดด้วยบัญชีเงินจริง วันนี้คุณสามารถเปิดบัญชีซื้อขายกับโบรคเกอร์ต่างๆได้ด้วยเงินเพียงเล็กน้อย อาจจะเริ่มต้นเปิดบัญชีขั้นต่ำที่ $10-$50  ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่เปิดบัญชีซื้อขายจริง

 

6. กำจัดแนวโน้มความสูญเสียแต่เนิ่นๆ

สิ่งสี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเทรดเดอร์มืออาชีพเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าเขาเหล่านั้นไม่ยึดกฎข้อนี้อย่างเคร่งครัดพวกเขาอาจมาไม่ถึงจุดนี้

ถ้าคุณเกิดเทรดเสียติดต่อกันถึง 3 ครั้ง ควรจะหนีห่างออกจากราฟ แล้วใช้เวลาอยู่ห่างกราฟซัก 2-3 วัน และกลับมาเทรดใหม่เมื่อหัวของคุณโล่งและพร้อมที่จะกลับเข้าสู่ตลาดใหม่อีกครั้ง เพราะแนวโน้มของความสูญเสียนั้นอันตรายมาก การเริ่มต้นด้วยการเทรดเสียเล็กๆน้อยๆ สามรถนำไปสู่ความสูญเสียที่ใหญ่มากกว่าเดิมหลายเท่า

 

 

7. ทำตามคนส่วนใหญ่

เรามักจะได้ยินกันบ่อยๆว่า 90% ของเทรดเดอร์มือใหม่นั้นต้องล้มเหลวและเดินออกจากตลาดไป และสิ่งที่จะช่วยได้ก็คือ การเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตัวเองด้วยการศึกษาระบบการเทรด หรือศึกษาเกี่ยวกับเครื่องมือต่างๆที่จะใช้ในการเทรดให้มากพอ ทำความเข้าใจหลักการทำงาน เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และไม่เป็นผู้ตาม 

ถ้าคุณเป็นมือใหม่ก็ลองคิดถึงเหตุผลดังต่อไปนี้:

ส่วนใหญ่แล้วเทรดเดอร์มือใหม่มักจะล้มเหลว
ถ้าคุณทำตามคนส่วนใหญ่ คุณก็จะล้มเหลวเหมือนคนส่วนใหญ่
ถ้าคุณเป็นคนส่วนใหญ่ คุณก็มีแนวโน้มที่จะล้มเหลวเหมือนพวกเขา
ดังนั้นแล้ว คุณไม่ควรที่จะทำตามคนส่วนใหญ่ทีล้มเหลวเหล่านั้น

 

8. ทำตามวิธีการของคุณ

วิธีการหรือระบบเทรดทุกแบบจะมีทั้งข้อดีและข้อด้อย ไม่มีวิธีการใด ระบบใด หรือรูปแบบใดที่จะสามารถทำกำไรได้ 100% ตลอดทั้งปี เช่น ปีนี้มีอัตราความสำเร็จทำกำไรได้เฉลี่ยที่ 80% แต่บางช่วงของปีก็ทำได้แค่เพียง 60% และบางช่วงก็ทำได้ถึง 100%

ในแต่ละปีจะมีช่วงที่ดีที่ทำกำไรได้ง่าย และช่วงที่ไม่ดีที่ทำให้คุณเทรดเสียได้ง่ายกว่าปรกติปะปนกันเป็นเรื่องปรกติ ที่สำคัญคือ เมื่อคุณเจอช่วงเวลาที่เลวร้าย จงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นในระบบเทรดของคุณ ปัญหาของมือใหม่ก็คือ จะละทิ้งระบบและวิธีการเทรดของตน แล้วไปแสวงหาระบบการทำกำไรใหม่ๆไปเรื่อยๆ



9. ทำให้การเทรดเป็นเรื่องง่ายซะ

มันไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำให้การเทรดเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ตัวอย่างเช่นบางคน อาจจะใช้เวลาเพียง 2-5 ชั่วโมงในการเทรดในแต่ละสัปดาห์ แล้วใช้เวลาที่เหลือไปสนุกกับการใช้ชีวิต ดังนั้นวิธีการเทรดของคุณก็ไม่มีความจำเป็นว่าจะต้องซับซ้อน เพราะมันก็ไม่ได้การันตัว่ายิ่งยุ่งยากแล้วจะทำให้ได้กำไรมากขึ้นซะหน่อย จริงมั้ย? และการทำให้การเทรดง่ายขึ้นนั้น จะช่วยให้ซ

การเทรดนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น
คุณทำงานน้อยลง
ทำให้คุณเรียนรู้ได้เร็วขึ้น(เพราะคุณมีเวลาเหลือเฟือที่จะใช้ศึกษาเพิ่มเติม)

10. เทรดแค่คู่เงินเดียว

กุญแจสำคัญที่จะเปลี่ยนมือใหม่ให้เป็นมือโปรคือ ทำให้การเทรดเป็นเรื่องง่าย และวิธีที่ง่ายที่สุดอย่างหนึ่งก็คือการเทรดคู่เงินเพียงคู่เดียวในช่วงเวลานั้นๆ เพราะมันจะช่วยให้คุณสามารถพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่คู่เงินเพียงคู่เดียว คุณจะเรียนรู้ถึงพฤติกรรมราคาของคู่เงินนั้นและเข้าใจความเคลื่อนไหวของมันได้ ถ้าคุณเทรด 5 คู่ในเวลาเดียวกันมันจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากในการศึกษาพฤติกรรมราคาของแต่ละคู่เงิน เพราะแต่ละคู่จะมีพฤติกรรมราคาที่แตกต่างกันไป เพราะว่า:

มีปฏิกิริยาต่อข่าวที่แตกต่างกัน
มีอัตราการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกัน บ้างก็ช้า บ้างก็เร็ว
มีการเคลื่อนไหวมากๆต่างกันตามช่วงเวลาต่างๆของวัน เช่นบางคู่จะเคลื่อไหวมากในช่วงตลาดสหรัฐ แต่บางคู่จะเคลื่อนไหวมากในช่วงทำการของตลาดเอเชีย
ต้องมีการจัดการที่แตกต่างกันเวลาที่ถือออเดอร์ บางคู่จะวิ่งเป็นเทรนยาวๆ สามารถถือได้นาน แต่บางคู่จะผันผวนมากจะถือยาวไม่ได้
ดังนั้น มือใหม่ไม่ควรที่จะเล่นทีเดียวกลายคู่ เพราะจะเพิ่มความเครียดให้มากเกินไป ควรเล่นทีละคู่ ค่อยๆศึกษาไปทีละคู่ เมื่อคุณรู้แล้วว่าคู่ไหนเป็นอย่างไรจึงค่อยเพิ่มคู่เทรดมากขึ้นเท่าที่คุณคิดว่าจะมารถจัดการกับมันได้

 

11. เทรดในทามเฟรมเดียว

เพราะการเทรดในทามเฟรมเดียวเป็นสิ่งที่ทำให้การเทรดของคุณง่ายขึ้น การเทรดในทามเฟรมเดียวมีประโยชน์หลายอย่าง :

 ช่วยให้คุณมีสมาธิในการเทรดในกรอบเวลานั้นๆ และลดความสับสนในการเทรดพร้อมกันในหลายทามเฟรมได้
 คุณดูกราฟน้อยลง เพราะจะดูแค่ทามเฟรมเดียว จึงช่วยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการวิเคราะห์กราฟ สามารถหาสัญญาณที่ชัดเจนได้
 ไม่ต้องวิเคราะห์กราฟมากเกินไปในหลายทามเฟรม ซึ่งอาจจะให้สัญญาณที่ขัดแย้งกัน แล้วคุณก็จะสับสนกับสัญญาณเหล่านั้นได้
 มันทำให้ชีวิตของคุณง่ายขึ้น
จำให้ขึ้นใจว่า สิ่งเหล่านี้คือการทำทุกอย่างให้มันง่ายขึ้นในการเทรด หากคุณเทรดคู่เดียวในทามเฟรมเดียว ก็เท่ากับคุณต้องดูกราฟเดียว มือใหม่ไม่จำเป็นที่จะต้องทำอะไรให้ซับซ้อนยุ่งยาก จนกว่าคุณจะกลายเป็นมือโปรและทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง

 

12. กราฟที่สะอาดตา

ส่วนมากมือใหม่อยากจะใช้ Indicators ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เอามาใส่จนเต็มกราฟไปหมด เพราะคิดว่ามันจะช่วยบอกได้ถึงจุดเข้าออกที่แม่นยำ ซึ่งมันไม่จริง เมื่อเทรดเดอร์มีประสบการณ์มากขึ้น Indicators ในกราฟของพวกเขาจะลดลงไปเรื่อยๆ เพราะ Indicators ยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งให้สัญญาณที่สับสนมากขึ้นเท่านั้น:

เพิ่มความยุ่งเหยิงให้กราฟ ยากที่จะอ่านสัญญาณได้
ทำให้เกิดความสับสนในการตัดสินใจ
เพิ่มแนวโน้มว่าจะมีสัญญาณที่ขัดแย้งกันมากขึ้น
กราฟดูรก สกปรก เกินไป
 

เราจะเห็นได้ว่ามือโปรส่วนใหญ่จะเทรดด้วยกราฟที่สะอาด แม้ว่าจะมี Indicators บ้างแต่ก็ไม่มาก อาจจะแค่เส้น Moving Average ดูสัญญาณแท่งเทียน แนวรับแนวต้าน เพียงแค่ เรื่องพื้นฐานแค่นั้นเค้าก็ทำกำไรกันได้แล้ว แล้วคุณล่ะ ก่อนที่จะโดดลงมาในตลาดเต็มตัว เรียนรู้พื้นฐานกันหรือยัง
โค๊ด: [Select]
http://www.thaiforexschool.com/viewfulldetial.php?id=208&&name=%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%2012%20%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%20%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%94%20Forex

80
กฎ 10 ข้อ เพื่อการอยู่รอดในการเก็งกำไร

การเป็นเทรดเดอร์ในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวนเป็นส่วนประกอบหลัก เราต้องยอมรับว่าพวกเราเป็น "นักเก็งกำไร" มากกว่าที่จะเป็นเทรดเดอร์ระยะยาว เพราะคงมีน้อยคนที่จะถืออเดอร์ข้ามเดือน หรือน้อยครั้งมากที่จะถือข้ามสัปดาห์ นั่นก็เป็นเพราะความผันผวนของตลาด ราคาอ่อนไหวได้ง่ายต่อข่าวต่าง ๆ ที่มีผลกระทบกับราคาของสกุลเงินต่างๆ

ในการลงทุน เราทุกคนต้องการผลกำไร แต่ที่จำเป็นต้องทำให้ได้ก่อนผลกำไรก็คือ "การอยู่ให้รอด" ในวันนี้เราลองมาดู กฎ 10 ข้อในการอยู่ให้รอดในการเก็งกำไรของ Rarry Williams กันค่ะ

 

1. จำไว้ให้ขึ้นใจว่า "ความอยู่รอดคือจุดเริ่มต้น" การเก็งกำไรเป็นธุรกิจที่เสี่ยงสูงมากๆ มันไม่เกี่ยวว่า เราจะชนะ หรือแพ้ มันเกี่ยวกับคำว่าเราจะอยู่รอดอย่างไรเมื่อราคาตลาดอยู่ที่จุดต่ำๆ หรือจุดสูงๆ ถ้าคุณอยู่รอดไม่ได้ คุณไม่สามารถชนะได้

อย่างแรกสุดของการอยู่รอด คุณต้องมีแนวทาง หรือวิธีการเก็งกำไรที่ทำได้จริง

ความรู้สึกไม่ใช่แนวทางการเก็งกำไร โอกาสหรือพื้นที่ในการเก็งกำไรจะมาจากความจริงที่สามารถทำได้จริง

นักเก็งกำไรระยะสั้น และระยะยาวอาจมีแนวทางการทำกำไรต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือวิธีการ และเครื่องมือที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้จริง

นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้เวลาเยอะมากในการซื้อ laptop แต่ตัดสินใจเร็วมากในการวางเงินเดิมพันจริงๆ ในตลาดทุน ปัญหาโดยทั่วไป คือมีเทคนิคเยอะมากที่มันใช้ทำเงินจริงๆไม่ได้ อย่างนึงคือ คุณต้องใช้เวลาให้มากหน่อยในการเรียนรู้ และตัดสินใจในการเข้าเก็งกำไร ในช่วงวิกฤตต่างๆ

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้คุณจะมี การบริหารเงินที่ดี MM มีระบบที่ดี มีรูปแบบการเก็งกำไรที่ทำได้จริง แต่คุณก็ยังต้องควบคุมตัวเองให้ได้ดีด้วย

 

2. ทั้งหมดนี้ มันคือเกมส์ของอารมณ์ และมันจะเป็นไปตลอด อะไรก็แล้วแต่ที่มันเกี่ยวข้องกับเงิน และยิ่งเป็นเงินของเรา มันทำให้เราตัดสินใจอย่างไร้เหตุผล ความกลัว อารมณ์ต่างๆทำให้นักเทรดเดอร์ทั้งหลายพลาดกับการลงทุนที่ดี หรือหากมีการเดิมพันที่สูงมาก เมื่อการบริหารเงินถูกคอบงำโดยอารมณ์ โดยปราศจากเหตุผล

 

3. ความโลภ เมื่อความโลภมีผลต่อเรามากกว่าความกลัว สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคุณก็คือ เมื่อคุณเป็นนักเก็งกำไร คุณจะมีความกลัวลดลงกว่าคนทั่วไป เพราะคุณถูกดึงดูดในเรื่องการทำเงินให้ได้ ในขณะที่คนอื่นจะกลัวการขาดทุน


ความโลภเป็นอุปสรรคต่อนักเทรดทั่วไป ความโลภจะทำให้คุณมีความหวังมากเกินไป ความโลภจะทำให้คุณผลีผลามเข้าในจังหวะที่เสียเปรียบ และออกเร็วเกินไป ความหวังคือศัตรูตัวหลักเพราะมันทำให้คุณฝันถึงกำไรมหาศาล และก้าวไปสู่โลกแห่งความฝัน เชื่อผมเถอะ !!! โลกของการเก็งกำไร มันมีจริง และคนมากมายศูนย์เสียเงินที่ตัวเองเก็บมาทั้งชีวิต ชีวิตคู่พัง ครอบครัวแตกแยก จากการได้เสียอย่างมากมายในตลาดนี้

แน่นอน การชนะของเราที่เกิดจากการเก็งกำไร อาจจะชั่วครั้ง ชั่วคราว มันพร้อมจะจากเราไป เหมือนกับเราถูกฟ้องล้มละลาย หรือโกงเลยทีเดียว

ผมไม่สามารถบอกวิธีที่แน่นอนในการจัดการกับความโลภได้ แต่สิ่งที่ผมบอกคุณได้อย่างเดียวคือ คุณต้องควบคุมตัวเองให้ได้ ไม่งั้นคุณจะไม่มีทางรอดจากตลาดแน่นอน

 

4. ความกลัว เป็นสาเหตุให้คุณไม่กล้าทำในสิ่งที่คุณควรจะทำ ไม่กล้าตัดสินใจเมื่อความได้เปรียบมาถึง แน่นอนมันตรงข้ามกับความโลภที่เป็นสาเหตุให้คุณทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ

นักจิตวิทยาบอกว่า ความกลัวทำให้คุณไม่กล้าขยับ ถึงแม้โอกาสที่ดีจะวิ่งเข้าหาคุณอย่างมากมายขนาดไหน แต่พวกเขาก็จะมองผ่าน และไม่ทำอะไรกับมันเลย และแย่ยิ่งกว่านั้นคือเขาพลาดโอกาสที่ดีไปแล้ว ถ้าถามผม ผมก็ไม่รู้ แต่ผมบอกได้อย่างเดียวคือ เมื่อไหร่ก็ตาม ที่ผมกลัวมากเท่าไหร่ โอกาสชนะของผมที่จะได้กำไรกลับมีมากขึ้น แต่นักลงทุนทั่วไปที่กลัวมักจะทำให้ตัวเองพลาดตำแหน่งที่ได้เปรียบ

 

5. Money management คือการสร้างความมั่นคั่ง แน่นอน คุณสามารถทำเงินจากการเป็นเทรดเดอร์ หรือ นักลงทุนก็ได้ แต่ผมบอกได้เลยว่ากำไรส่วนใหญ่มันไม่ได้มาจาก เทคนิคการเทรด รูปแบบการลงทุน มากเท่ากับวิธีการบริหารเงินหรือการจัดการเงิน

ผมยกตัวอย่าง ผมทำเงินจาก $10,000 เหรียญเป็น 1 ล้านเหรียญใน 1 ปี ในการแข่งขันรายการนึงด้วยเงินจริง ด้วยวิธีง่ายๆคือ เมื่อกำไรเยอะขึ้นคุณก็เทรดเยอะขึ้น และเมื่อกำไรลดลงคุณก็ต้องเทรดด้วยขนาดที่น้อยลง
และ 10 ปีต่อมา ลูกสาวเขาอายุ 16 ปี ก็ชนะรางวัลการเทรด โดยทำเงินจาก 10000 เหรียญ เป็น 1 แสนเหรียญ ผมบอกได้เลยว่าไม่มีสูตรลับใดๆ ไม่มีกราฟมหัศจรรย์ใดๆ เธอแค่ทำตามรูปแบบการบริหารเงินเหมือนที่ผมได้ทำ

 

6. การทำกำไรมหาศาล ไม่ได้มาจากการเดิมพันที่สูง มีเรื่องราวมากมายของนักเทรด อย่าง jesse livermore, john gates, niederhoffer, frankie joe และอีกมากมาย คนพวกนี้เดิมพันสูงมาก และสูญเสียเงินตัวเองหมดในท้ายที่สุด

การลงทุน หรือเก็งกำไรที่ฉลาดจะไม่เดิมพันสูง บางคนบอกว่าไม่มีทางที่คุณจะชนได้หากคุณเดิมพันต่ำ อันที่จริงคุณสามารถชนะได้ และทำกำไรมหาศาลเมื่อคุณเดิมพันไม่เยอะ ย้อนกลับไปดูข้อ 5 ท้ายที่สุด เมื่อคุณเดิมพันสูง เวลาคุณเสีย คุณก็เสียเยอะเช่นกัน

มันเหมือนการเล่น รูเร็ต คุณสามารถเล่นได้บ่อยโดยคุณไม่แพ้เลย แต่ถ้าคุณเล่นบ่อยมากเท่าไหร่ บ่อยจนเพียงพอต่อผลลัพธ์อย่างเดียวที่คุณไม่มีทางหนีได้ คือ จุดจบ ความตาย และเมื่อคุณเดิมพันสูง คุณก็จะหมดตัวเร็วเท่านั้น

ตัวผมก็เคยผ่านมาแล้ว เชื่อผมเถอะ ผมเดิมพันน้อยลง ควบคุมความเสี่ยงให้ได้ ไม่มีวิธีใดหรอกที่จะอยู่รอดในตลาดโดยปราศจากการควบคุมความเสียหาย

 

7.พระเจ้าอาจช้า แต่พระเจ้าไม่เคยปฏิเสธ ผมไม่เคยรู้เลย เมื่อไหร่ผมจะทำเงินได้ มันอาจจะเป็นการเทรดครั้งแรก หรือครั้งสุดท้ายของผมเองก็ได้ แต่คุณต้องเตรียมรบ ให้ได้นานที่สุด

ผมคิดว่าความเชื่อในเรื่องของพลัง คือ ปัจจัยในการสำเร็จของนักเทรด มันช่วยให้เรามีวิสัยทัศน์ในการเก็งกำไร สรุปคร่าวๆ ขอให้เรามีความพยายาม และเชื่อในพลังของตัวเอง และมุ่งมั่น ความสำเร็จจะตามมา



8. ผมเชื่อเสมอว่า การเทรดในปัจจุบัน "ผมจะขาดทุน" อันนี้คือเคล็ดลับความเชื่อในการเก็งกำไร ให้ประสบความเสำเร็จของผมเลยทีเดียว นักเทรดทั่วไป เชื่อเสมอว่า เทรดครั้งต่อๆไป ในอนาคตพวกเขาจะเทรดได้ดีขึ้น และจะเป็นผู้ชนะ แต่ไม่ใช่ผม  ผมเชื่อว่า หลักๆแล้ว หลักการจริงๆแล้ว คือการเป็นผู้แพ้ ผมถามคำถามคุณ คุณคิดว่า คนที่มีการตั้งจุด stop loss อย่างผม และเทรดอย่างถูกต้อง หรือคนที่เทรดด้วยความเชื่อโดยปราศจากเหตุผล คุณคิดว่าใครจะแพ้ ระหว่างผม หรือ คนที่คิดในแง่ดี

ถ้าคุณยังไม่เข้าใจ ผมจะบอกคุณว่าการที่ผมคิดว่าผมเป็นผู้แพ้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ผมจะปกป้องตัวเอง ในทุกรูปแบบ และทุกเวลา และผมจะไม่อยู่ในความหวังลมๆแล้งๆ และความไม่จริง

 

9. โชคจะมาหาคุณจากการเพ่งความสนใจเพียง 1 ตลาด หรือ 1 เทคนิค คนที่เทรดหลายๆอย่าง จะไม่ประสบความสำเร็จในการเทรด ทำไม? นักเทรดจะต้องตั้งใจในรายละเอียดของการเทรด โดยปราศจากอารมณ์

การไขว้เขว้อาจหมายถึงต้นทุนคุณที่เพิ่มขึ้น ขาดการใส่ใจ นั่นจะทำให้คุณ ไม่ได้เข้าในจุดที่ควรจะเข้า หรือเพิกเฉยในการเทรดซึ่งนำมาซึ่งต้นทุนที่สูงขึ้น

เหมือนกับพวกที่โยนบอลขึ้นไปในอากาศ มันค่อนข้างยากที่คุณจะควบคุมบอลที่โยนขึ้นไปในอากาศ อย่างเช่นบอล 3 ลูก แน่นอนคุณอาจจะฝึกได้ แต่เมื่อเพิ่มลูกบอลขึ้นเรื่อยๆ น้อยคนมากๆที่จะทำได้ และควบคุมลูกบอลพวกนี้ได้

ดูอย่างพวกนักกีฬาสิ พวกเขามุ่งมั่นอยู่แค่กีฬาอย่างเดียว หรือพวกศิลปิน นักดนตรี ไม่มีหรอกที่จะเป็นดาวดังจากการร้อง country western and opera ดังนั้น ยิ่งคุณมุ่งมั่นได้มากเท่าไหร่ในสิ่งที่คุณทำ คุณจะยิ่งประสบความสำเร็จมากมายในด้านนั้นๆ

 

10. เมื่อสงสัย ให้กลับไปอ่านข้อหนึ่งใหม่

 
โค๊ด: [Select]
http://www.thaiforexschool.com/viewfulldetial.php?id=376&&name=%E0%B8%81%E0%B8%8E%2010%20%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%20%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A3

81


วันนี้เป็นบทความสั้น ๆ ต้อนรับวันพ่อครับ เมื่อคืนหากใครได้เทรด EUR/USD ละก็ผมมั่นใจว่า 90% จะต้องเหวอหรือถึงกับเงิบแน่นอน ทั้ง ๆ ที่ ทองวิ่งขึ้นแต่ EUR/USD กลับวิ่งลง ถึงกระนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรแต่ก็ sell ตามไปแต่แล้วอยู่ดี ๆ ก็วกกลับขึ้นมาชนิดว่าถ้าใครทิ้งกราฟไว้แล้วไปทำอย่างอื่นกลับมาเห็นอีกที port ของตัวเองก็ไปเสียแล้ว ผมเกรงว่ากราฟเมื่อวานอาจจะกำลังทำให้ใครหลาย ๆ คนกำลังเสียจุดยืนทางความคิดของตัวเอง หรือ กำลังโทษว่าระบบของตัวเองไม่ดีอยู่ ก่อนที่จะสรุปอย่างนั้นผมอยากลองให้อ่านบทความนี้ดูก่อนครับ

จุดตัดสินใจของคุณคืออะไร?

คุณควรที่จะต้องรู้ให้ได้ว่าอะไรคือจุดตัดสินใจสำหรับคุณ เนื่องจากการขาดจุดตัดสินใจที่ชัดเจนนั้น นอกจากมันจะทำให้ผลการลงทุนของคุณย่ำแย่แล้ว มันยังมักจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมายหลายอย่าง เช่น อาการเครียดและสับสนเวลาที่ตลาดผันผวนหนักๆ, การเทรดมากเกินไปโดยไม่จำเป็น, การขาดความมั่นใจในการตัดสินใจ หรือการใช้เวลาอยู่กับตลาดมากเกินความจำเป็นของแนวทางการลงทุนนั้นๆ ซึ่งหากว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่มักรู้สึกเช่นนี้แล้ว มีความเป็นไปได้อย่างมากว่า คุณก็อาจไม่สามารถจะแยกเอา Signal ออกมาจาก Noise (ข้อมูลขยะ) ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งคุณควรรีบแก้ไขมันเสียเพื่อประโยชน์ของคุณเอง เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องตกอยู่ในวังวนของข้อมูลขยะต่างๆรอบตัวคุณไปอีกนาน และนี่ก็เป็นแนวคิดง่ายๆขั้นตอนง่ายๆเพื่อช่วยสร้างจุดตัดสินใจสำหรับการเทรดของคุณครับ



 

- ทำความเข้าใจให้ดีว่าแนวทางการเทรดของคุณคืออะไร

- ถามตัวเองดูว่าอะไรคือข้อมูลที่จำเป็นสำหรับคุณจริงๆ

- ระบุให้ชัดเจนว่าอะไรคือสัญญาณที่สำคัญจากข้อมูลเหล่านั้น

- ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปเสียให้หมด อย่าได้เสียดายหรือตื่นเต้นกับมันอีกต่อไป

- วางแผนว่าคุณจะทำอะไร ,แบบไหน, อย่างไร เมื่อสัญญาณเหล่านั้นเกิดขึ้น ทั้งในส่วนของการซื้อ, ขาย, Money      Management และอื่นๆที่คุณจะคิดได้

โดยเมื่อคุณคิดว่าคุณมั่นใจแล้วว่ามันได้ครอบคลุมสิ่งที่จำเป็นทั้งหมดแล้ว คุณก็ควรฝึกฝนที่จะเสพข้อมูลข่าวสารเฉพาะที่จำเป็น และทำตามสัญญาณที่มีนัยสำคัญเท่าที่จะทำได้ให้มากที่สุด อย่าตื่นเต้นตกใจไปกับสิ่งต่างๆที่จะวิ่งเข้ามา และถึงแม้มันอาจทำให้เราต้องรู้สึกแปลกๆหรืออึดอัดบ้างในช่วงแรกๆ แต่คุณก็ควรพยายามฝึกฝนมันเอาไว้ โดยเมื่อเวลาผ่านไปแล้ว คุณก็น่าจะค่อยๆเคยชินกับมันไปได้เองครับ

 ผมเชื่อว่าการที่เราสามารถจะแยกเอา Signal ออกมาจาก Noise เพื่อหาจุดตัดสินใจจากข้อมูลที่เรามีอยู่ได้แล้วนั้น จะเป็นประโยชน์กับทุกๆคนอย่างแน่นอน อย่างลืมลองไปนั่งทบทวนดูให้ชัดเจนว่า อะไรคือสิ่งที่จำเป็นจริงๆหรือมีนัยะจริงๆสำหรับเราดูนะครับ น่าจะทำให้คุณรู้สึกสับสนและเหนื่อยกับตลาดน้อยลงได้มากเลยทีเดียว

โค๊ด: [Select]
http://www.thaiforexschool.com/viewfulldetial.php?id=414&&name=%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88%20(Decision%20Point)

82
อดทนอย่างที่ 4: อดทนกับการต่อสู้กับตัวเอง

ปัจจุบันมีเทรดเดอร์เกิดใหม่มากมายเพราะการเข้ามามีบทบาทของอินเตอเนตทำให้คนสามารถหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น หลาย ๆ คนเมื่อเทรดไปแล้วและเริ่มได้กำไรจะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเก่ง ตัวเองแน่ หากคิดอยู่คนเดียวและไม่ไปทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็คงไม่เป็นไรนัก แต่มีหลาย ๆ คนที่กำลังผยองในตัวเองมักจะชอบไปดูถูกวิธีการเทรดของผู้อื่นโดยที่หลงลืมไปว่าแท้จริงแล้วการเทรดเป็นการต่อสู้ของตัวเอง เราต้องต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงนิสัยแย่ ๆ ที่เราจำเป็นต้องเปลี่ยนเพื่อให้การเทรดของเราดีขึ้น เช่น คุณไม่เก่งเลข คุณก็ต้องฝึกคำนวณการบริหารจัดการทุนอยู่บ่อย ๆ หรือ คุณเป็นคนประมาทก็ต้องฝึกให้ตัวเองระมัดระวังรอบคอบกับการเทรดให้มากขึ้น การเปลี่ยนนิสัยของคนตอนโตนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และมันยิ่งยากเข้าไปอีกเมื่อคุณต้องฝึกตัวเองให้อดทนต่อสิ่งที่ตัวเองไม่ชิน ไม่คุ้นเคย
 

อดทนอย่างที่ 5: อดทนต่อการทำกำไร

เป็นอีกหนึ่งความอดทนที่ถือว่าทำได้ยากยิ่ง เพราะนอกจากจะต้องสู้กับความมั่นใจในตัวเองแล้วยังต้องสู้กับความกลัวที่จะเสียกำไรและที่อันตรายที่สุดคือความโลภขณะที่ตัวเองกำลังทำกำไรอยู่ การจะวัดนิสัยใครสักคนเราสามารถดูเขาได้ในจังหวะที่เขากำลังทำกำไรนี่ละครับ ดูว่าเขาโลภแค่ไหน และสามารถอยู่ในกฎระเบียบของตัวเองได้มากแค่ไหน ผมมีเพื่อนเทรดหลายคนที่ก่อนเทรดพูดอีกอย่างแต่พอกราฟวิ่งจริง ๆ กลับทำอีกอย่าง สุดท้ายก็ลงเอยที่การล้างพอร์ตครับ เมื่อความโลภของเราไม่สมดุลกับเงินในพอร์ตมันจะก่อให้เกิดผลเสียที่ตามมามากมาย

มีคนเคยพูดว่า “เพราะเราไม่รู้อนาคต ดังนั้นตอนนี้เมื่อเราเห็นกราฟวิ่งเราจึงต้องกอบโกยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” สำหรับผมแล้ว ผมไม่เห็นด้วยกับคำพูดนี้ จริงอยู่ที่คำพูดนี้อาจจะใช้ได้ในระยะสั้น แต่ในระยะยาวแล้วหากคุณคิดจะยึดการเทรดเป็นอาชีพจริง ๆ คุณต้องมองระยะยาวครับ ความโลภจะทำให้เราใช้งานมาร์จิ้นเยอะเกินไปและเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับตัวเองเพิ่มขึ้น ถึงแม้คุณจะมีโอกาสได้ที่เยอะขึ้นแต่ก็มีโอกาสล้างพอร์ตสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว เมื่อคุณติดนิสัยที่จะเอาในระยะสั้น ๆ ให้ได้มากที่สุด มันจะมีสักวันที่คุณพลาดและเมื่อวันนั้นมาถึงสิ่งที่คุณทำมาทั้งหมดอาจจะมลายหายไปในวันนั้นเพียงวันเดียว

ดังนั้นการอดทนในการทำกำไรของผมคือคุณต้องอดทนทำตามระบบที่คุณคิดมาให้ได้ ถึงแม้ว่ากราฟจะวิ่งต่อไปอีกแต่หากคุณได้ตามเป้าแล้วคุณก็ไม่มีความจำเป็นต้องเทรดต่อแล้วครับ ระบบจะดีไม่ดีอยู่ที่ตัวผู้เทรดว่าเข้าใจตัวเองดีพอหรือยังว่าตัวเองมีข้อดีข้อเสียมากน้อยแค่ไหน ยิ่งเรารู้จักตัวเองมากเราก็จะมีโอกาสลดความเสี่ยงให้ตัวเองได้มากขึ้นครับ ที่สำคัญคือต้องรู้จักคำว่า พอ ให้เป็น พยายามฝึกควบคุมความโลภในใจตัวเองให้ได้ หากขายหมูก็ไม่ต้องไปเสียใจเสียดายเพราะคุณทำดีที่สุดแล้ว จำไว้ว่า

”เรามีอดีตไว้เรียนรู้ แต่เราต้องอยู่กับปัจจุบัน”

คุณไม่ต้องไปคิดถึงอนาคตครับว่า อนาคตกราฟมันจะเป็นยังไง สิ่งที่คุณต้องตั้งคำถามในทุก ๆ วันคือ วันนี้คุณจะทำยังไงกับกราฟ คิดถึงอดีตมากไปก็ยึดติดไม่ได้ไปไหน คิดถึงอนาคตมากไปก็กังวลกลัวไม่เป็นไปตามที่คิด ดังนั้น เงียบซะแล้วลงมือเทรดกับปัจจุบัน หากปัจจุบันคุณมั่นใจว่าคุณทำเต็มที่แล้ว คุณก็ไม่ต้องไปเสียใจกับมัน ไม่ว่าผลของความพยายามนั้นจะออกมาอย่างไร สิ่งที่คุณจะได้มันคือประสบการณ์ที่จะพาชีวิตคุณไปยังก้าวต่อไป 
โค๊ด: [Select]
http://www.thaiforexschool.com/viewfulldetial.php?id=372&&name=%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%94%20(%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%9A)

83
วันนี้เอาไปเลยครับสำหรับข้อ 3 เต็ม ๆ สำหรับการอดทนที่ผมถือว่าสำคัญที่สุดกว่าข้ออื่น ๆ

อดทนอย่างที่ 3: อดทนต่อการบริหารเงินในพอร์ต

กับหัวข้อนี้ผมคงต้องพูดยาวหน่อย เพราะหัวข้อนี้คือหัวใจหลักของการเทรดเลย แทบจะทุกสำนักเลยจะสอนให้คุณฟังเสมอ ๆ ว่าคุณต้องมี Stop Loss สำหรับผมแล้วการตั้ง Stop Loss ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับมือใหม่ที่บริหารเงินในพอร์ตยังไม่เป็น เพราะมันจะช่วยยับยั้งความสูญเสียที่เกิดจากความไม่รู้กับเค้าได้ แต่ในอีกมุมหนึ่ง Stop Loss ก็เป็นตำแหน่งรายได้ชั้นดีสำหรับโบรกเกอร์เลยทีเดียว จะเรียกว่าการหากินจากความปลอดภัยก็ไม่ผิดอะไรนัก เหตุผลที่เป็นอย่างนั้นเพราะ ไม่มีใครยอมตั้ง Stop Loss ในจุดที่ตัวเองเสียเปรียบและโบรกเกอร์เขาก็รู้ดีว่าจุดเหล่านั้นมันอยู่ประมาณไหน การที่จะให้ราคาไปสวิงโดน Stop Loss ของคุณจึงเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ๆ

ความจริงแล้วการที่ Forex สามารถเริ่มเทรดได้ตั้งแต่เงินน้อย ๆ ก็เป็นเหมือนดาบสองคม ข้อดีคือใคร ๆ ก็สามารถเทรดได้ด้วยเงินก้อนเล็ก ๆ แต่ข้อดีนี้หากมองในแง่ของการบริหารพอร์ตแล้ว ยิ่งเงินน้อยการเติบโตของพอร์ตของคุณก็ยิ่งน้อยตาม แต่เผอิญว่าความโลภของคนมันไม่ได้เล็กเหมือนพอร์ต มันจึงส่งผลให้คุณเริ่ม overlot และก็นำไปสู่การล้างพอร์ต ถามว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น คำตอบคือ เงินในพอร์ตกับความโลภของคุณมันไม่สมดุลกันครับ ยกตัวอย่างง่าย ๆ คือ เหมือนคุณซื้อรถ ECO Car ในราคาที่ถูกซึ่งแน่นอนครับเครื่องยนต์คุณก็จะเล็กมาก แต่คุณอยากจะวิ่งให้ได้ความเร็วแบบรถสปอร์ตมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่รถคุณจะไปสู้รถสปอร์ตได้ นอกจากจะสู้ไม่ได้แล้วการที่คุณเอารถเล็ก ๆ อย่างนั้นไปทำความเร็วสูง ๆ ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุให้คุณอีกต่างหาก ในขณะที่รถสปอร์ตถูกออกแบบมาให้รับความเร็วได้สบาย

มันไม่ต่างอะไรกับการเทรดเลยครับ เงินในพอร์ตคุณมีเล็กนิดเดียวแต่เงินที่คุณอยากได้มันเยอะ มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะสามารถรวยได้จากเงินก้อนน้อย ๆ และการที่เราล้างพอร์ตบ่อย ๆ จากเงินก้อนเล็ก ๆ มันยังบ่มเพาะนิสัยเสีย ๆ ในการเทรดของเราโดยไม่รู้ตัว ทำให้คุณกลายเป็นคนใจร้อน เทรดด้วยอารมณ์ และสุดท้ายคุณก็คิดว่าการเทรดเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ใช่ครับผมกำลังพูดว่าหากคุณอยากรวยจากการเทรดคุณต้องลงเงินก้อนใหญ่ไม่ต่างอะไรจากตลาดหุ้นแต่ปัญหามันก็ติดอยู่ที่ว่าหากประสบการณ์คุณไม่มากพอคุณก็ลงเอยที่ล้างพอร์ตเหมือนพอร์ตเล็ก ๆ อยู่ดี

การลงเงินในพอร์ตเล็ก ๆ ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร เพียงแต่คุณต้องรู้จักเจียมตัวครับว่า คุณมีเงินแค่นี้ พอร์ตคุณสามารถวิ่งได้เท่าไหร่ ต้องทำให้ความโลภของคุณมันสมดุลกับเงินในพอร์ตของคุณครับ ดังนั้นผมจึงมองว่าการเทรดในพอร์ตเล็ก ๆ ควรเป็นการเทรดเพื่อเรียนรู้ครับแต่หากจะเอาจริงก็ต้องมีเงินใหญ่ ๆ สักก้อนเพื่อเทรดครับ

หลังจากที่เราพูดเรื่องวิธีคิดในการบริหารพอร์ตไปแล้วทีนี้เรามาดูที่เรื่องของมาร์จิ้นกันบ้าง จากประสบการณ์การเทรด่วนตัวผมคิดว่า Forex เป็นเกมส์ของการบริหารมาร์จิ้น 90% เลยทีเดียวเพราะไม่ว่าคุณจะเรียนวิชาสายอะไรมาก็ตาม แต่เราก็ใช้คำสั่งเดียวกันนั่นก็คือปุ่ม F9 หรือ New Order และทางเลือกของคุณก็มีอยู่แค่ 2 ทางคือ Buy กับ Sell ความหนึ่งคนมองภาพ ๆ เดียวมีความคิดหนึ่งอย่าง คนล้านคนมองภาพเดียวกันก็มีความคิดล้านอย่างเช่นกัน การมองภาพก็เหมือนกับการที่คุณมีระบบ มีวิธีเทรด และการตีความหมายของภาพก็คือกระบวนการหลังจากที่คุณได้วิเคราะห์จากระบบแล้วว่ามันควรจะเป็นแบบนี้ แน่นอนครับแม้แต่การโยนเหรียญหัวก้อยเพื่อเทรดก็ถือว่าเป็นระบบ ๆ หนึ่งแต่สิ่งที่จะวัดว่าใครที่ประสบความสำเร็จก็คือต้องดูที่ วิธีการบริหารพอร์ต ของเขา



คำว่าวิธีการบริหารพอร์ตมันไม่มีวิธีที่ตายตัวครับ มันขึ้นกับอุปนิสัย + ความเสี่ยงที่รับได้ ของเทรดเดอร์คนนั้น ๆ บางคนอาจจะใช้ Stop Loss เพราะทำใจไม่ได้ที่ต้องคัทมือเองแต่บางคนอาจจะไม่ต้อง Stop Loss เพราะคิดว่ามันเป็นการจำกัดกรอบการวิ่งของกราฟและสามารถทำใจกับการคัททิ้งด้วยมือตัวเองได้ และนี่คือที่มาของคำว่า การอดทนในการบริหารพอร์ต การที่กราฟเปลี่ยนแปลงไปมันทำให้ความคิดของเทรดเดอร์เปลี่ยนแปลงตามและเมื่อความคิดของเราเปลี่ยนแปลงตามการกระทำและการตัดสินใจของเราก็จะเปลี่ยนด้วย เมื่อกราฟไม่เป็นไปอย่างที่คุณคิดคุณจะทำอย่างไรละ?

ตั้ง Stop Loss ไว้แล้วกลัวอะไร?
กราฟจะเหวี่ยงไปชน Stop Loss ไหม?
ถ้าชนแล้วดันวิ่งกลับไปในทิศทางที่เราคิดละ?
ปล่อยลากดีไหม?
ลากแล้วเราจะไปปิดที่ไหนละ?
ลากแล้วเราจะกล้าคัททิ้งไหม?

คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่เกิดขึ้นทุกครั้งเวลาที่กราฟติดลบและมันจะส่งผลหนักขึ้นหากคุณเทรดใน lot ที่สูงเกินกว่าพอร์ตคุณจะรับได้ บางครั้งการที่เรากำหนดเป้าว่าจะต้องได้วันละเท่าไหร่ ๆ เป็นการบังคับตัวเองมากเกินไปเพราะบางวันกราฟไม่ได้วิ่งในแบบที่คุณต้องการคุณก็ต้องจำเป็นที่จะต้งอดทนในการบริหารพอร์ตของคุณ คุณต้องรู้จักอดทนรอ มาร์จิ้นเป็นเหมือนกับน้ำที่อยู่ในแก้วใบหนึ่ง หากคุณค่อย ๆ กินน้ำทีละนิดคุณก็สามารถกินน้ำจากแก้วนั้นได้นานขึ้น แต่หากว่าคุณกินน้ำไว น้ำในแก้วนั้นก็จะหายไปอย่างรวดเร็วก็เหมือนกับการที่เราเทรด lot น้อย ๆ พื้นที่ที่จะปล่อยให้กราฟลากมาร์จิ้นไปก็จะมีมากขึ้นแต่หากว่าคุณลง lot หนักมากเท่าไหร่ พื้นที่วิ่งของมาร์จิ้นก็จะมีน้อยลง แคบลงมากเท่านั้น เพราะแบบนี้ละครับผมถึงบอกว่าผู้เทรดจะต้องปรับความโลภของคุณให้สมดุลกับพอร์ตของคุณ แต่หากว่าประสบการณ์คุณถึงมันก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งเพราะคุณจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่าตัวเองรับความเสี่ยงได้แค่ไหน การเทรดเพียง 10% ของพอร์ตเป็นเพียงทฤษฎีในอุดมคติที่เทรดเดอร์มือใหม่สมควรทำ แต่หากคุณมั่นใจในฝีมือการเทรดของคุณคุณจะเพิ่มเป็น 30% ก็ไม่มีใครว่าครับ เพราะคุณพอใจในความเสี่ยงนั้นและรับมันได้ทุกอย่างมันก็จบ


ปล. การปั่นเงินจากก้อนเล็ก ๆ เป็นก้อนใหญ่ ๆ เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ และถ้าทำได้ก็จะดีมาก ๆ ครับแต่ก็เหนื่อยหน่อยนะ

โค๊ด: [Select]
http://www.thaiforexschool.com/viewfulldetial.php?id=367&&name=%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%94%20(%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD)

84
หลาย ๆ คนเคยได้ยินมาว่า การเทรดต้องมีความอดทน ต้องใจเย็น ๆ ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป หากคุณเป็นเทรดเดอร์คุณต้องเคยได้ยินมาว่า การเทรดนั้นต้องอาศัยประสบการณ์ ไม่ใช่จะเทรดได้ในเวลาอันสั้น ทุก ๆ คนด็เข้าใจดีละครับแต่เวลาปฏิบัติจริง ๆ การรอคอยมันช่างยาวนานเหลือเกิน บวกกับการยั่วยวนของกราฟบางครั้งก็สามารถทำให้มือใหม่ตัดสินใจใช้ทางลัดเช่น การเอาเงินก้อนใหญ่ ๆ มาเทรดเลย หรือ การระดมทุนเทรดเพราะมั่นใจในตัวเองกับกราฟ ณ ตอนนั้น ๆ มากเกินไป สุดท้ายเป็นเหตุให้ตัวเองต้องไม่มีที่ยืนในวงการในที่สุด เรื่องแบบนี้เป็นอะไรที่เกิดทุก ๆ ปีสำหรับการเทรด Forex ซึ่งผมเห็นมาจนชินตาแล้ว เวลากราฟเป็นเทรนวิ่งสวย ๆ ก็จะมีคนออกมาตั้งตัวเป็นอาจารย์มั่ง ระดมทุนมั่ง ยกตัวอย่างอย่างเรื่องของ Easycash เมื่อต้นปีนี้ สุดท้ายแล้วก็ลงเอยเหมือนเดิม

ความอดทนของคนมักจะถูกความโลภเข้ามาบดบังจนสุดท้ายก็เลือกที่จะตัดสินใจทำอะไรผิด ๆ ลงไปและก็ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง คำที่ใคร ๆ พูดถึงเรื่องของความอดทนนั้นเป็นความจริงครับการเป็นเทรดเดอร์มันไม่ง่ายคุณต้องอดทนกับอะไรหลาย ๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตคุณหลังจากที่คุณตัดสินใจเลือกทางนี้

อดทนอย่างที่ 1: อดทนต่อการถูกสบประมาทของคนรอบข้าง

คนส่วนใหญ่ถูกสอนให้มองเรื่องกรอบของความมั่นคงมาก่อนเพราะเขามีความเชื่อว่า คนเราเมื่อจบมาก็ต้องทำงาน ทำงานแล้วก็ต้องมีครอบครัว และมีลูกสืบไป เป็นความจริงครับที่ว่าหากเรามองเรื่องครอบครัวเป็นหลัก ความมั่นคงก็ย่อมต้องมาก่อน เพราะคุณต้องคิดเรื่องค่าใช้จ่ายของลูกและคู่ชีวิตของคุณ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากคุณจะถูกสบประมาทจากคนรอบข้างเพราะการเทรดไม่มีอะไรมารับประกันว่า คุณจะสำเร็จวันไหน ซึ่งมันขัดกับความเชื่อเรื่องความมั่นคงอย่างรุนแรง หากคุณกำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่และคุณกำลังลังเล ผมอยากให้คุณกลับไปถามคำถามนี้กับตัวเองเพียงคำถามเดียวครับคือ

"คุณยอมตายกับอาชีพนี้ คุณยอมเสียสละเพื่อการเทรด ได้รึเปล่า?"



อดทนอย่างที่ 2: อดทนที่จะเรียนรู้

การเทรดเป็นเหมือนศาสตร์อีกแขนงหนึ่งที่ต้องใช้เวลาเพื่อศึกษาไม่ต่างอะไรกับวิชาพื้นฐานทั่วไปในโรงเรียนหรือมหาลัยเพียงแต่วิชานี้ไม่ได้มีการเปิดสอนอย่างชัดเจนหรือได้รับการรับรองจากหน่วยงานของรัฐบาลเป็นเรื่องเป็นราว แต่เทรดเดอร์ก็สามารถเรียนรู้เองได้ ทั้งจากในหนังสือในประเทศและหนังสือต่างประเทศ (อันนี้ผมแนะนำ) หรือ จะหาอ่านในอินเตอเนตก็ได้ ถามว่าต้องอดทนอ่านไปถึงเมื่อไหร่ คำตอบคือ คุณต้องไม่หยุดที่จะหาความรู้เรื่องการเทรดให้ตัวเองตลอดเวลาครับหากคุณเลือกจะเป็นเทรดเดอร์ ถ้าการเทรดมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยคงไม่มีใครทำหรอกครับ เพราะฉะนั้นคุณจะต้องอดทนเอาไว้ให้มาก ๆ ผมบอกเลยครับว่า 2 ปีเป็นอย่างต่ำ ถ้าเอาตามหลักสูตรที่ปัจจุบันนี้มีเยอะมากจากอาจารย์คนนั้นบ้างคนนี้บ้าง ผมคิดว่า

ปีแรกจะเป็นปีที่คุณเรียนร็เรื่องพื้นฐานทุกอย่าง อันนี้คุณสามารถเรียนรู้มันได้ในปีเดียวแต่แน่นอนครับหากคุณไม่ได้ใช้มันคุณก็จะลืมมัน

ปีที่สอง จะเป็นปีที่คุณจะเริ่มจำได้ว่ากราฟแบบนี้ควรเอาเรื่องไหนมาใช้ เอาอะไรมารวมกับอะไรได้บ้าง อาจจะต้องมีการกลับไปเปิดอ่านเรื่องที่ลืมไปแล้วบ้าง

ปีที่สาม หากคุณยังอดทนเทรดมาถึงปีที่สามได้ คุณจะเริ่มจำทุกอย่างได้อย่างอัตโนมัติและจะเริ่มประยุกต์เป็น

สิ่งเหล่านี้เมื่อถูกกระทำอย่างซ้ำ ๆ มันจะกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า “ประสบการณ์” ซึ่งเมื่อไหร่ที่คุณนึกถึงมันคุณไม่จำเป็นต้องไปเปิดอ่านหนังสือหรือหาความรู้มาใหม่ แต่คุณสามารถใช้ได้ทันทีนั่นเป็นเพราะความคิดและการกระทำของคุณมันได้รวมกันกลายเป็นหนึ่งเดียวและทำให้คุณกระทำการบางอย่างเองโดยที่คุณบางทีก็หาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมถึงทำงั้น บางทีคุณเลือกกดปุ่ม F9 เพียงเพราะคุณมีความคิดว่า “อืม แถว ๆ นี้ละ”

ยังมีต่อกับความอดทนอีก 3 ประการโดยเฉพาะประการที่ 3 ในวันพรุ่งนี้ถือว่าเป็นความอดทนที่เป็นหัวใจของการเทรดเลยก็ว่าได้

โค๊ด: [Select]
http://www.thaiforexschool.com/viewfulldetial.php?id=365&&name=%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%94

85
ในสองบทความก่อนเราได้พูดถึงตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จทั้ง 7 แบบไปแล้ว วันนี้เราจะไปดูตัวอย่างของคนที่ประสบความล้มเหลวบ้างว่าอะไรที่ทำให้พวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในการเทรด ส่วนมากแล้วคนที่ล้มเหลวจากการเทรดมักจะไม่โทษตัวเองก่อน แต่มักจะโทษปัญหารอบข้างเพราะคิดว่าความคิดตัวเองนะดีแล้วถูกต้องแล้ว เอาละครับ ทีนี้เราลองมาดูตัวอย่างที่ว่านั่นกัน

คนที่ 1: ปล่อยลากแต่ไม่รู้ว่าควรคัทตรงไหน

เจ้าของกระทู้เล่าว่า ลูกค้าที่เป็นตัวอย่างในกรณีนี้มี 2 คน คนแรกนี่ตอนที่ราคาลงมาถึงแนวรับแรกพอบอกให้คัททิ้งเค้าบอกว่า เขารับได้ เค้าทนไหว ชิว ๆ พอลงมาถึงแนวรับที่ 2 ก็ยังพูดคำเดิม แต่พอเริ่มจะถึงแนวต้านที่ 3 เท่านั้นละครับเริ่มร้อนตัวกว่าจะตัดสินใจคัทก็สายเกินไปแล้ว ส่วนอีกคนนี่ในเย็นแต่ดันลง lot หนักเลยทำให้ตอนคัทต้องคัททิ้งทั้งน้ำตา ตัวอย่างแบบนี้มีให้เห็นบ่อย ๆ ในตลาด Forex ครับส่วนมากจะเกิดกับคนที่มีความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป นอกจากจะมั่นใจในตัวเองมากเกินไปแล้ว ยังใจร้อนเกิดไป และลง lot หนักเกินไป พอเห็นกราฟสวิงแรง ๆ ก็เริ่มเสียวและสุดท้ายก็คัททิ้งและราคาก็กลับมาที่เดิมทำให้เสียเงินฟรี ๆ

คนที่ 2: ตอนกราฟลงหนัก ๆ ไม่กล้า Buy ซึ่งก็สายไปแล้ว

บ่อยครั้งครับที่พอกราฟตกหนัก ๆ มาก ๆ คนมักกลัวกัน ซึ่งก็ไม่แปลก ไม่ผิดปกติ และ มักจะชอบตลาดเขียว ๆ ก็เพราะ แบบนี้ไง คนแบบนี้ไม่แปลกเพราะเป็นคนส่วนใหญ่ของตลาด ที่ไม่กล้ามองต่าง มองตรงกัน ....แบบนี้เข้าป่าไปเก็บเห็ด สายตาต่างจ้องมองไปทางเดียวกัน ไปเจอเห็นดอกเดียวกันแย่งกันจนเห็ดเละ แต่อีกคน เขาคิดต่าง ฉีกเส้นทาง กล้าในจุดที่คนอื่นกลัวกัน มักจะเจอเห็ดกลุ่มใหญ่ นั่งเก็บจนล้นมือไปหมด เพราะไม่มีคนแย่ง กว่าคนจะมาเห็นเราหิ้วไปขายที่ตลาดได้เงินมาละ หรือ เอาไปทำกินก็อิ่มกันมาละ ที่พลาดที่สุดคือพลาดที่สุดคือ มาซื้อตอนคนอื่นจะเป็นจังหวะขาย นั่นแหล่ะครับก็รับของไปเลยก็เฝ้าดอยสูงไป

คนที่ 3: ยึดมั่นถือมั่นยึดติดกับความคิดโดยไม่อิงความเป็นจริง

คนที่ 3 สำหรับผมนี่ผมเรียกว่า เส้นผมบังภูเขา ครับ เพราะความจริงแล้วความมั่นใจในตัวเองเป็นสิ่งที่ดีและควรมีสำหรับคนที่เทรดแต่การที่ยึดมั่นในความคิดตัวเองมากเกินไป มันก็ทำให้เราพลาดได้เหมือนกัน บางคนยิ่งกว่านั้นคือไปฟังความเห็นของคนอื่นมาแล้วก็เชื่ออย่างนั้นและไม่ยอมจะเปลี่ยนแปลงความคิดนั้น ยืมจมูกคนอื่นหายใจ ลอกการบ้านถ้าถูกก็รวย พอเขาพลาดก็เจ็บ พวกนี้หาปลากินเองไม่เป็นแต่อยากรวย !!! หรือ ประเภทเชื่อคนอื่นไม่เชื่อตัวเอง มากไปก็ไม่ดี หรือ เชื่อตัวเองมากไปก็แย่

 

แต่ละคนพลาดตรงไหน?

คนที่ 1: คนนี้พลาดตรงที่เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะคัททิ้งตรงไหน การปล่อยกราฟวิ่งสามารถทำได้ครับแต่เราก็ต้องมีขอบเขตให้มัน ถ้าคุณเป็นคนที่ทำใจคัทมือเองไม่ได้ก็ใช้ Stop Loss หรือถ้าทำใจได้ก็ไม่ต้องตั้งแล้วพอถึงจุดที่คุณคิดว่าพอร์ตคุณเอาไม่ไหวแล้วก็คัททิ้งไป ต้องใจกล้าที่จะคัททิ้งด้วยนะครับ นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมไม่แนะนำให้ใคร ๆ overlot ในการเทรด เพราะความโลภ ความเสียดาย มันจะทำให้ money management ของคุณเสียครับ แต่หากคุณไม่ overlot กราฟก็จะมีพื้นที่ให้มาจิ้นได้วิ่งมากขึ้น มีโอกาสให้คุณได้แก้เกมส์มากขึ้นด้วยเช่นกัน

คนที่ 2: ประเภทนี้พบบ่อยครับโดยเฉพาะคนที่เข้าวงการมาใหม่ ๆ มนุษย์เรามักจะเลือกเชื่อในสิ่งที่ตาตัวเองเห็น เมื่อคุณยังไม่เห็นว่ากราฟมันขึ้นคุณก็จะยังไม่เชื่อ ไม่ยอมเข้า จนกว่าคุณจะเห็นแท่งเขียว ๆ ทะลุขึ้นมาคุณถึงจะเริ่มเชื่อว่ามันขึ้นจริง ๆ และนั่นละครับคือสาเหตุที่ทำให้คนทุกคนคิดเหมือนกัน ความจริงแล้วเราสามารถเข้าในจังหวะที่มันชะลอตัวได้ครับก็คือจากสัญญาณกลับตัวทั้งหลายนั่นละ เพียงแต่หลังจากนั้นคุณจะวาง MM อย่างไร ทนให้มันลากได้แค่ไหน และสุดท้ายคนที่มีความอดทนสูงก็จะได้รับผลตอบแทนจากความอดทนของเขาไปครับ

คนที่ 3: อย่างที่เคยบอกไปครับว่าการเชื่อมั่นในตัวเองเป็นสิ่งที่ดี ที่ผมบอกว่ามันเป็นเส้นผมบังภูเขาเพราะ เราควรจะรับฟังความเห็นของคนอื่นเพื่อเอามาปรับปรุงให้มันเข้ากับเราได้ แต่เราไม่ควรจะเชื่อเขามาทั้งหมด การเทรดก็เหมือนการที่คุณเป็นพระราชา คุณนั่งอยู่บนบัลลังก์คนเดียว เพื่อน ๆ หรือ คนรอบข้างคุณก็คือ ขุนนาง หน้าที่ของคุณคือการตัดสินใจจากความเห็นของคุณและขุนนาง อันไหนเห็นดีก็เอามาใช้ อันไหนไม่ดีก็ไม่เอามาใช้เพราะสุดท้ายการตัดสินใจก็อยู่ที่คุณครับ จากกรณีนี้ผมขอยกตัวอย่าง โจโฉ จากวรรณคดี สามก๊ก มาครับ โจโฉ มีขุนนางที่มีความฉลาดอยู่คนหนึ่งนั่นคือ สุมาอี้ โจโฉชอบฝีมือความคิดของสุมาอี้แต่ไม่ชอบนิสัยของสุมาอี้ มีครั้งหนึ่ง สุมาอี้เคยเสนอแผนสำหรับทหารในช่วงที่ไม่ได้รับให้ไปช่วยชาวบ้านทำนาในยามที่ไม่มีศึกสงครามเพื่อช่วยกระตุ้นเรื่องเศรษฐกิจภายในแคว้น โจโฉเห็นดีด้วยก็เลยเอาวิธีนี้ไปใช้และมันก็ได้ผลครับ เห็นไหมครับถึงแม้ว่าเราจะไม่ชอบคน ๆ นั้นแต่หากความคิดของเขาดีเราก็สามารถเลือกเอามาใช้ได้ แต่ถ้าเราเห็นว่ามันไม่เข้าท่าก็ไม่ต้องเอามาใช้ครับ อย่าไปเชื่อและทำตามคนอื่นซะหมด เพราะอย่าลืมว่าไม่มีใครรู้เรื่องการเงินไปได้ดีกว่าตัวของเราเอง

ออกทะเลไปซะไกลทีนี้มาพูดเรื่อง เชื่อความคิดมากกว่าความจริง กันบ้าง ข้อเสียหนึ่งของการเชื่อมั่นในตัวเองมากไปคือ บางทีเราเลือกที่จะเชื่อความคิดของตัวเองโดยที่ไม่มองว่ากราฟกำลังเป็นอะไร จุดนี้เหมือนการขุดกับดักฝังตัวเองครับแต่เป็นกับดักทางความคิด เราต้องใช้ความคิดหลังจากที่เรายอมรับความเป็นจริงแล้วเช่น เรามองว่ากราฟกำลังเริ่มชะลอตัว นี่คือความเป็นจริง ความคิดเราที่เราต้องคิดเลยคือ

จะเข้าตรงไหน?

เข้าเพราะสัญญาณอะไร?

มีอะไรที่มีนัยสำคัญบ้าง ?

จะลง lot เท่าไหร่?

เงินในพอร์ตเราพอให้รองรับการการไปต่อของราคาในทิศทางเดิมไหม?

หากชะลอตัวแล้วไปต่อในเทรนเดิมเราจะทำอย่างไรกับตัวที่สวน?


ต้องใช้แบบนี้ครับคือเอาความคิดมาอ้างอิงความเป็นจริง อย่าไปคิดแทนกราฟครับ เพราะกราฟไม่ได้วิ่งตามความคิดเรา

โค๊ด: [Select]
http://www.thaiforexschool.com/viewfulldetial.php?id=360&&name=%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%20Forex%20(%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%9A)

86
คนที่ 5: มุ่งแต่ปัจจุบัน

รายนี้ ไม่สนเดย์เทรด ไม่แคร์หุ้นพื้นฐานดี ไม่ศัทธาในปันผล ไม่มองอดีตไม่มองอนาคต มองแค่ว่า ปัจจุบันนี้ เมื่อไหร่ วันดีคืนดี หุ้นพรวดพราดลงแบบ panic หรือ เกิดวิกฤต นี่ แกซื้อทันตัวไหนแกซัดไม่เลี้ยง เน้นตัวเล็กๆที่ลงแรงๆและมี vol. คือ มีเท่าไรอัดเต็ม แล้วถือรอ หากเทียบเป็น Forex แล้วเทรดเดอร์คนนี้น่าจะเป็นสาย Price Action แน่ ๆ เพราะเค้าไม่สนใจอะไรเลยนอกจากราคาในปัจจุบัน ความจริงแล้วเทรดเดอร์สาย Price Action เป็นอะไรที่เรียบง่ายที่สุดในบรรดากลยุทธ์ต่าง ๆ แต่อีกสิ่งที่เทรดเดอร์สาย Price Action ต้องมีอย่างเหมาะสมนั่นก็คือเรื่องของการบริหารจัดการทุนที่ดีด้วยเช่นกัน

คนที่ 6: รักษาต้นทุนและถอนกำไร

คนนี้แกไม่เน้นพอร์ตโต แต่แกเน้นได้เรื่อยๆ ได้ทุกรอบทุกวันยิ่งดี คนนี้เล่นกับมาร์จินเป็นหลัก วิธีบริหารคือเมื่อ equity เพิ่มขึ้น มากกว่าทุน เขาจะขาย แล้วถอนเงินออก เช่น equity เริ่ม วาง 4 ล้าน ผ่านไปเพิ่มเป็น 4.5 ล้าน ช่อง debt เป็น 0 เขาจะถอน เจ้า 500,000 นั่นแหล่ะ เขาจะรักษาพอร์ตให้เงินต้นคงอยู่ ไม่หายพอร์ตไม่เคยโต แต่ไปเพิ่มทรัพย์สินข้างนอกโดยการ เอาเงินก้อนที่ได้แต่ละรอบไปจัดสรร ทำนั่นนี่ แบ่งซื้อทองซื้อที่เก็บ จนที่ดินบางแปลงขายได้กำไร2-3 เท่าก็มี เงินที่เจียดไปซื้อทาวเฮาส์ คอนโดปล่อยเช่าก็งอกเงย วิธีนี้กับ Forex ก็จะสามารถใช้ได้เหมือนกันครับแต่ไม่เป็นที่นิยมสำหรับเทรดเดอร์ที่เริ่มต้นด้วยเงินเทรดน้อย ๆ (ต่ำกว่า 3000$ ลงไป) เพราะจะรู้สึกว่าได้กำไรน้อยและไม่อยากจะถอนเงินออกมาใช้และที่สำคัญคือน้อยคนที่จะทำกำไรได้สม่ำเสมอ วันนี้อาจจะถอนวันต่อไปอาจจะติดลบยาวหรือบางคนเกิดความโลภเอากำไรที่ได้เป็นตัว overlot สุดท้ายน่าจะลงเอยยังไงน่าจะรู้ ๆ กันนะครับ

คนที่ 7:  เทพเจ้าแห่ง Money Management

คน ๆ นี้เป็นนักบัญชีครับเขาเลยเก่งในเรื่องของการบริหารจัดการเงินเป็นอย่างมาก คนนี้ไม่สนวิธีการเทรดแบบใด ๆ ทั้งสิ้นว่าง่าย ๆ คือแถบจะตัด Method ทิ้งไปเลยสนใจแต่เรื่องของ Money Management มองว่าถ้าขึ้นเท่านี้จะได้เท่าไหร่ ลบเท่านี้รับได้แค่ไหน ถ้าบวกประมาณนี้แล้วปิดจะทำอย่างไรกับพอร์ตต่อไป
 

เอาละทีนี้เรามาวิเคราะห์เป็นคน ๆ กันครับ

คนที่ 5: ถือว่าคนนี้แนวคิดดีตั้งแต่ต้นครับ เพราะว่าการเทรดเราต้องอยู่กับปัจจุบันครับอย่าไปพยายามคิดแทนกราฟเพราะบางทีมันก็ไม่เป็นไปตามที่เราคิดถึงแม้ว่าเราจะถูกสอนมาว่า Hammer คือรูปแบบกลับตัวแต่ในความเป็นจริงแล้วอาจจะเป็นเพียงการชะลอตัวก็ได้ครับ คำถามนะมันอยู่ที่ว่า.......
ตอนที่มันชะลอตัวคุณมีแผนการเงินอย่างไร?
ตอนที่มันชะลอตัวคุณนิ่งแค่ไหน? คุณมั่นคงกับความคิดตัวเองแค่ไหน?
ตอนที่มันชะลอตัวมันอาจจะวิ่งไปในทิศทางเดิมต่ออีกสักหน่อย คุณอดทนรอได้ไหม?

สำหรับคนที่ 5 นี้นอกจากจะแนวคิดดีแล้ว การบริหารเงินยังถือว่าเยี่ยมยอดอีกด้วยจึงไม่แปลกครับที่เขาจะสามารถทำกำไรในตลาดหุ้นได้

คนที่ 6: วิธีของคนที่ 6 สำหรับผมผมมองว่าเหมาะกับคนเทรดยาวมากกว่าครับ เพราะตลาด Forex ที่เราเล่นไม่เหมือนกับตลาดหุ้น หากฝีมือคุณไม่ถึงแล้วถอนรายวัน มันจะเป็นการจำกัดตัวเองมากไปเช่นคุณอาจจะไม่ถนัดเทรดใน sideway แต่เพราะคุณบอกกับตัวเองว่าต้องถอนทุกวัน ตรงนี้ละที่จะทำให้คุณเสียเงิน ดังนั้นวิธีนี้จึงเป็นวิธีที่ดีแต่ต้องใจเย็น แต่สำหรับคนที่มีทุนสูง ๆ แล้ววิธีนี้เป็นวิธีที่ดีมากเพราะนอกจากคุณจะได้กำไรแล้วมันยังส่งผลดีในแง่ของสุขภาพจิตเพราะคุณสามารถถอนมาแล้วใช้ได้เลย สมมุติว่าคุณมีทุน $5000 เทรดที่ 10% ของทุนก็คือ 0.5 lot คุณสามารถถอนออกมาใช้วันละ $100 ได้สบาย ๆ

คนที่ 7: ไม่ว่าคุณจะรวยหรือจนขอเพียงคุณมี Money Management ที่ดีผมกล้ารับประกันว่าคุณไม่มีทางอดตายแน่นอน MM เป็นสิ่งที่จำเป็นเสมอตราบใดที่เงินยังไม่กลายเป็นกระดาษชำระนะครับ วิธีของคนที่ 7 ไม่ได้ผิดอะไรครับ ผมยังมองว่าดีด้วยซ้ำ เพราะถ้ามองแบบนี้คุณสามารถเล่นตัวไหนก็ได้ เทรดอะไรก็ได้ แม้แต่เล่นการพนัน (บางประเภท) ให้ชนะยังสามารถทำได้เลยครับ

นี่ละครับ 7 คน 7 อย่าง 7 แบบ สิ่งที่ผมสังเกตเห็นจากพวกเขาทั้ง 7 คนที่เขามีเหมือนกันเลยมีอยู่ 2 อย่างคือ พวกเขามีการบริหารจัดการทุนที่แน่นอนและสามารถปฏิบัตตามได้ด้วย ถึงแม้แต่ละคนจะมีวิธีการเทรดที่แตกต่างกันออกไปไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรก็แล้วแต่ แต่สิ่งที่ทุกคนมีร่วมกันก็คือการบริหารจัดการเงินที่ดีจึงทำให้ตัวเองสามารถอยู่รอดในตลาดได้ สิ่งสำคัญอีกอย่างที่พวกเขามีคือ ความเชื่อมั่นในความคิดตัวเอง ถึงแม้ตัวเจ้าของบทความจะเป็นที่ปรึกษาที่ดีแต่หากตามไปอ่านบทความจริง ๆ ของเขาจะเห็นเลยว่า บางคนฟังแต่เลือกที่จะไม่ทำตาม นั่นแปลว่าพวกเขาพร้อมที่จะยอมรับผลที่ตามมาเรียบร้อยแล้ว ปรึกษาได้แต่สุดท้ายการตัดสินใจต้องอยู่ที่เราไม่ใช่ตัดสินใจตามคนอื่น เชื่อตัวเองหน่อยครับ คนที่เขาประสบความสำเร็จเขาก็มี 32 ประการเป็นมนุษย์เดินดินเหมือนคุณนี่ละ เจ้าของบทความได้พูดไว้ว่าอย่างนี้ครับ

“เคยถามค่ะว่า ทำไมไม่อ่านบทวิเคราะห์ที่ส่งให้คะ เขาตอบว่า " อ่านไปมากๆ แล้วเขว สู้อ่านเนื้อข่าวแล้วมาประเมินตาม ที่เรามองเราคิดจะดีกว่าเพราะไม่มีอคติในเนื้อข่าว แต่ ในบทวิเคราะห์นั้น คนวิเคราะห์เขาใส่ความเป็นเขาลงไปค่ะ ดังนั้น เขาประเมินกะเราประเมินเอง ผลลัพธุ์จริงออกมาต่างกันเพราะ “ไม่มีใครจะรู้การเงินของเราได้ดีเท่าตัวเรา””

โค๊ด: [Select]
http://www.thaiforexschool.com/viewfulldetial.php?id=357&&name=%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%20Forex%20(%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD)

87
บทความนี้ผมเขียนมาจากกระทู้หนึ่งในเว็ป พันทิป ซึ่งน่าจะเป็นห้องที่เกี่ยวกับวงการหุ้นตัวบทความจริง ๆ ชื่อ “7 วิธีการเทรดหุ้นในตลาดหุ้นให้ได้กำไรและโอกาสขาดทุนเป็นศูนย์” โดย user ชื่อ ภูพิงค์กับอิงดาว บทความนี้เค้าเขียนขึ้นมาจากการสังเกตลูกค้าของเขา (จขกท. เป็น มาร์เก็ตติ้งหรือมาร์) เขาสังเกตว่าลูกค้าที่ประสบความสำเร็จและลูกค้าที่ไม่ประสบความสำเร็จมีอะไรหลาย ๆ อย่างเหมือนกัน ผมเลยเขียนบทความนี้ขึ้นมาโดยประยุกต์วิธีการในตลาดหุ้นมาเป็นของ Forex เพื่อจะเป็นแนวทางให้กับใครหลาย ๆ คนครับ

คนที่ 1: อดทนอย่างใจเย็น

ตัวเจ้าของกระทู้เล่าว่าลูกค้าคนนี้เป็นประเภทถือทนมาก ๆ ถือแล้วไม่ยอมขาย สาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะตัวลูกค้าคนนี้ทำธุรกิจอย่างอื่นด้วยเลยไม่มีเวลามาดูกราฟ ไม่มีเวลานั่งเฝ้า อ่านบทวิเคราะห์ก็ไม่เป็น แต่สิ่งที่เค้าทำคือเค้ามองความเป็นจริงที่อยู่ใกล้ตัวของเขา ถึงแม้ว่าตัวคุณเจ้าของกระทู้จะโทรไปให้คำแนะนำเค้าบ้างแต่เค้าก็เลือกที่จะเชื่อตัวเองและเทรดตามวิถีทางที่ตัวเองถนัด หากเทียบเป็นตลาด Forex ลูกค้าคนนี้คงจะเป็นสายเทรดยาว (Long Term Trader) โดยที่เขาดูกราฟไม่เป็น ดูข่าวไม่เป็น แต่สิ่งที่เขามีคือความใจเย็นที่จะอดทนรอได้ในยามที่กราฟไม่เป็นใจและมีความมั่นใจในการบริหารเงินของตัวเอง

คนที่ 2: รักเดียวใจเดียว

คนนี้เป็นคนที่ชอบเล่นหุ้นอยู่ตัวเดียวด้วยเหตุผลที่ว่าเคยเอาเงินไปให้เพื่อนเทรดให้แล้วไม่ประสบความสำเร็จเลยเอามาจัดการเองซะเลย เจ้าของกระทู้เคยเสนอแผนการเทรดตัวอื่นหลาย ๆ ตัวไปให้แต่เขาก็ไม่สนใจ คนนี้พอจะมีเวลานั่งเฝ้ากราฟด้วย วิธีการเทรดของเขาคือใช้วิธีถัวซื้อไปเรื่อย ๆ ในงบที่จำกัดเช่น เห็นกราฟลงอีกก็ซื้อ ลงอีกก็ซ้ำอีก ในงบประมาณที่ตัวเองเอาอยู่หากเป็น Forex แล้ววิธีนี้ถือว่าคนคนนี้จะต้องมีการบริหารจัดการเงินที่ดีมากในระดับหนึ่งเลย เพราะถ้าลงอีกก็ซื้ออีกนั่นแปลว่าเขาไม่ได้ใช้วิธีการเทรดเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจสักเท่าไหร่ แต่ที่เขาเน้นคือ เงินของเขารับไหวไหมและพฤติกรรมของกราฟตัวนั้นเพียงตัวเดียว หากเปรียบเป็นนักพนันในคาสิโนแล้วคนประเภทนี้จะเล่นเกมส์อยู่เกมส์เดียวเพราะมีความเชื่อว่า ถ้าเราสามารถพยากรณ์พฤติกรรมของคนในเกมส์นั้นได้เราจะได้เปรียบและการที่ไม่กระจายเงินไปเล่นนั้นนิดนี้หน่อยก็ทำให้คนมีเงินมากพอที่จะทนถือได้นาน ๆ

คนที่ 3: เล่นแต่ของเคย ๆ

คนนี้หลักการง่าย ๆ ใกล้ ๆ เคียงกับคนที่สองคือ เล่นเฉพาะกราฟที่ตัวเองคุ้นเคยเท่านั้นและหลักการของเขาก็ยังไม่ยุ่งยากอีกด้วยคือ ไม่ไล่ ไม่คัน ไม่ง้อ ลงก็ซื้อ ไม่ลงก็ไม่เล่น คนนี้เขามีงบจำกัดเลยไม่เทรดแบบกระจายพอร์ต จะเห็นได้ว่าคน ๆ นี้มีวิถีที่ชัดเจนคือ เชื่อมั่นในตัวเองสูง ถึงจะมีงบที่จำกัดแต่ก็รู้มีวิธีที่จัดการงบของตัวเองให้เกิดประโยชน์สูงสุด มี Mind และ Method ที่แน่นอนเลยก่อให้ Money ของเขาเกิดประโยชน์สูงสุดไปในทางที่เขาต้องการนั่นเอง

คนที่ 4: ค่อย ๆ สะสม

ลูกค้าของคุณเจ้าของกระทู้คนนี้ไม่ได้มีทุนมากมายเหมือนคนก่อนหน้า แถมยังมีเรื่องภาระค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวอีก เงินที่นำมาลงทุนเลยมีไม่มากนัก มีแต่ใจที่ชื่นชมวอเรน บัฟเฟตเป็นไอดอล วิธีการเทรดของเค้าก็ถือเค้าเทรดทุกตัวที่เค้าสนใจแน่นอนว่าบางตัวก็ไปได้สวย บางตัวก็ติดห้วยติดดอย แต่ถึงแม้ว่าเขาจะมีภาระทางการเงินมากมายแต่เค้าก็ยังสามารถแบ่งเงินมาเติมพอร์ตในการลงทุนของตัวเองได้ทุกเดือน เทคนิคนี้สำหรับตลาด Forex ก็สามารถใช้ได้เหมือนกันครับเพียงแต่ว่าคุณต้องไม่ใจร้อนล้างพอร์ตไปก่อนนะครับ จากตัวอย่างนี้จะเห็นเลยว่าคนที่ 4 มีความมุ่งมั่นในการเก็บเงินที่จะนำมาลงทุนมาก นี่เป็นข้อดีอย่างนึงที่ทำให้เขามีทุนเทรดทั้ง ๆ ที่ทำงานไปด้วยและก็มีประสบการณ์การอยู่ในตลาดไปด้วยครับ
 

ผมขอสรุปสิ่งที่ 4 คนนี้มีเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีในการเทรดครับ

คนที่ 1: คนนี้มีความอดทนสูงเป็นอับหนึ่งครับรองลงมาคือเค้ามีทุนรองรับพอสำหรับการเทรดยาวของเค้า ข้อดีของเค้าคือเค้าไม่ต้องมากังวลเรื่องสวิงเล็กสวิงน้อยใน Time Frame เล็ก ๆ มากและที่สำคัญคือเค้ามีความเชื่อมั่นในตัวเอง ฟังคนอื่นได้แต่เลือกที่จะตัดสินใจเองถึงแม้ว่าที่ปรึกษาจะมีประสบการณ์มากกว่าก็ตาม

คนที่ 2: คนนี้เด่นที่เรื่องของการเทรดตัวเดียวและมีการบริหารเงินทุนที่เหมาะกับวิธีการเทรดของเค้าถึงแม้ว่าวิธีการเทรดของเค้าอาจจะดูเหมือนการพนันไปนิดนึงแต่ถ้าการบริหารทุนของเค้าสามารถรองรับพฤติกรรมการเทรดแบบนี้ได้ก็ถือว่าโอเคครับเพราะสไตล์ใครสไตล์มันแต่ละคนรับความเสี่ยงได้ไม่เท่ากันอยู่ละ

คนที่ 3: เป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่มีงบในการเทรดอย่างจำกัดวิธีการเทรดของเค้ามีกฎที่ชัดเจนและตัวเค้าเองก็สามารถปฏิบัติตามกฏได้อย่างเคร่งครัด คนที่สามารถปฏิบัติตามกฏการเทรดของตัวเองได้อย่างเคร่งครัดจริง ๆ สิ่งหนึ่งที่ผมรับประกันได้เลยก็คือคุณจะไม่ล้างพอร์ตอย่างรวดเร็วแน่นอน

คนที่ 4: คนนี้เป็นตัวอย่างที่ในเรื่องของการบริหารจัดการทุน ไม่เพียงเฉพาะทุนในการเทรดเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงการบริหารเงินในชีวิตประจำวันของเขาอีกด้วย ผมค่อนข้างชอบคนที่ 4 ที่สุดด้วยเหตุผลที่ว่าถึงแม้ว่างบเขาจะมีจำกัดแต่เขาไม่เคยปล่อยให้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการหยุดการเรียนรู้เรื่องการลงทุนของเขา ดังนั้นถ้าถามว่าเทรด Forex จำเป็นต้องเฝ้าหน้าจอไหม บางทีลุกลากจอไปทำอย่างอื่นบ้างก็ช่วยเราได้เหมือนกันไม่ให้เป๋ไปกับกราฟ คนนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของคำว่า “ไม่มีคำว่าสายสำหรับการเรียนรู้” การจะเป็นนักลงทุนที่ดีไม่ได้ใช้เวลาแค่ 3-4 เดือนแต่มันต้อง 3-4 ปีขึ้นไป ดังนั้นสำหรับเทรดเดอร์หน้าใหม่ที่เข้ามาผมอยากให้ดูคนนี้ไว้เป็นตัวอย่างนะครับ
คุณไม่ต้องรีบร้อนที่จะรวย
ไม่จำเป็นต้องลาออกจากงานประจำมาทำ
ไม่จำเป็นต้องไปยืมเงินคนอื่นมาลงทุน
ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคนอื่นในการเทรด
คุณก็สามารถเป็นเทรดเดอร์ที่เก่งได้หากคุณรู้จักคำว่า “อด-ทน-รอ”

โค๊ด: [Select]
http://www.thaiforexschool.com/viewfulldetial.php?id=356&&name=%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%20Forex

88
หมอบัณฑิต ศรไพศาล ผู้เชี่ยวชาญสุขภาพจิต พูดว่าความเครียดเกิดขึ้นจากการที่ความต้องการหรือความคาดหวังของเรานั้นสูงกว่าความสามารถ  การเทรดหรือลงทุนนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่พูดถึงและยอมรับกันทั่วไปว่าทำให้เกิดความเครียดแก่ผู้เทรดค่อนข้างสูงโดยเฉพาะในยามที่กราฟร่วง ความคิดหรือความเชื่อนี้ ผมคิดว่ามีส่วนจริงอยู่มาก คนที่เข้ามาในตลาดแห่งนี้มีเป้าหมายอย่างเดียวกันคือต้องการอยากได้เงินเพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคตของตัวเอง อยากสบาย และก็คิดว่าการเทรดไม่เห็นต้องทำอะไร นอกจากนั่งจ้องจอ กดปุ่ม ๆแล้วก็ได้เงินมาง่าย ๆ แต่เมื่อมาเทรดจริง ๆ แล้วจึงได้รู้ว่า ไม่มีอะไรในโลกได้มาโดยง่ายแม้แต่การเทรดเองก็เช่นกัน เมื่อการเทรดไม่เป็นไปตามที่เราคิดความเครียดก็ตามมา เมื่อเริ่มเครียดอารมณ์ก็จะเข้ามาแทนที่เหตุผล และนั่นก็นำไปสู่หายนะในการเทรดของเรานั่นเอง

“คุณต้องเลิกเครียดนะ” จะใช้คำนี้คงจะเป็นไปไม่ได้เพราะความเครียดก็ถือว่าเป็นอารมณ์หนึ่งของมนุษย์เช่นกัน แต่เรามีวิธีที่จะช่วยให้คุณไม่รู้สึกเครียดมากเท่าที่ควรนักหากผู้เทรดรู้จักคำว่า “ปล่อยวาง” การปล่อยวาง คือปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง  ข้อนี้สำคัญที่สุดในการคลายเครียด เพราะเป็นการตัดต้นตอของความทุกข์ทั้งมวลลงได้  เมื่อยึดมั่นถือมั่นมากก็ต้องทุกข์มาก  ถ้าปล่อยวางลงได้มากก็เบามากสุขมาก  แล้วความเครียดก็ลดลงหรือหายไปเลย ยึดมั่นสิ่งใด  ก็ทุกข์เพราะสิ่งนั้น เมื่อยึดมั่นในสิ่งใด  ก็เป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น  ฉะนั้น  พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า...

“สพ.เพ ธม.มานาลํ อภินิเวสาย"  แปลว่า  "สิ่งทั้งปวงไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่น" 

หลักการนี้สามารถเอามาใช้ในการเทรดได้จริง ๆ นะครับ ส่วนมากแล้วเมื่อเราได้รับการสอนอะไรมา เราจะเชื่ออย่างนั้นและคิดว่ามันต้องเป็นไปตามนี้ยกตัวย่างง่าย ๆ อย่างเช่นเรื่องของ ลักษณะรูปแบบของแท่งเทียน จากที่เราได้เรียนมาหากเกิด Shooting Star หมายความว่ากราฟจะกลับตัว เมื่อทุกคนเชื่อเช่นนั้นสิ่งที่ทุกคนจะทำเหมือนกันเมื่อเห็น Shooting Star ก็คือ “สวน” ลงมาเลย และพอกราฟกลับวิ่งขึ้นไปต่อ คุณก็จะเกิดความสงสัยว่า “ทำไมมันไม่กลับตัวอะ” และก็จะคิดต่อไปว่า “แบบนี้รูปแบบแท่งเทียนมันเชื่อถือไม่ได้ ไปใช้อย่างอื่นดีกว่า” เหตุผลที่คุณคิดแบบนี้เป็นเพราะคุณยึดติดยึดมั่นกับความเชื่อที่คุณได้เรียนมาและเมื่อไม่เป็นไปตามที่คุณคิดกลไกการป้องกันตัวเองของมนุษย์คือ “คุณจะโทษสิ่งอื่นก่อนที่จะโทษตัวเอง”

แต่หากผู้เทรดรู้จักปล่อยวาง ยอมรับในความผิดพลาดของตัวเองและหาหนทางแก้ไข “รู้ในสิ่งที่เรียนมาแต่ไม่ยึดติดกับสิ่งที่เรียน” ก็จะทำให้ผู้เทรดมองกราฟในมุมที่กว้างยิ่งกว่าเดิมได้หากเรากล้าตั้งคำถามกับสิ่งที่ตัวเองรู้และหาคำตอบ ดังนั้นผมคิดว่าเราจะต้องไม่ตั้งความหวังสูงเกินไป นั่นคืออย่าหวังผลตอบแทนสูงกว่าความสามารถของตน ในขณะเดียวกันเราต้องสร้างความสามารถในการลงทุนให้สูงซึ่งจะทำให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายนั้นได้ไม่ยาก และนี่คือเคล็ดในการที่จะลงทุนอย่างไม่มีความเครียดได้

โค๊ด: [Select]
http://www.thaiforexschool.com/viewfulldetial.php?id=318&&name=%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%94

89
พูดคุยForexทั่วไป / Trading & Working
« เมื่อ: 29/ก.ค./2015 05:47:10 »
ส่วนใหญ่แล้วคนที่เข้ามาเทรดมักจะเป็นนักศึกษาไปจนถึงคนที่พึ่งเริ่มทำงานใหม่ ๆ ด้วยความฝันที่ว่าการเทรดจะเป็นอีกหนทางหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเองขึ้นมาได้ สำหรับคนที่เจอ Forex ตั้งแต่สมัยยังเป็นนักศึกษายังถือว่าโชคดีเพราะถึงแม้ว่าจะมีงานจากมหาลัยเข้ามาแต่ก็ยังพอจะจัดสรรเวลามาศึกษาเรื่องการเทรดได้ นอกจากนี้ด้วยความที่เรายังอยู่มหาลัยการเรียนไปด้วยเทรดไปด้วยดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่สนุกและยังให้เราได้เรื่องประสบการณ์การอยู่ในตลาดมาโดยไม่รู้ตัว ผ่านแป๊ป ๆ ก็ อยู่ปี 2 ปี 3 แล้ว แต่สำหรับคนที่เริ่มทำงานใหม่การเทรดไปด้วยทำงานไปด้วยนั้นไม่สนุกเหมือนสมัยเรียน เพราะเมื่อมาถึงวัยนี้เราจะเริ่มคิดถึงอนาคตมากขึ้น บางคนอาจจะเป็นหนี้ กยศ (กองทุนกู้ยืมสำหรับการศึกษา) มาก่อน ก็ต้องรีบหางานเพื่อใช้หนี้ กยศ โดยทันที ยิ่งบางคนมีแฟนมีคู่รักอยู่แล้วก็ยิ่งต้องคิดถึงอนาคตที่จะวางไว้กับคนที่รัก เมื่อมาเจอ Forex ในช่วงนี้เลยยิ่งทำให้เป็นไปได้ยากขึ้นที่จะหาเงินมาลงทุนในตลาดแห่งนี้

นอกจากปัญหาเงินทุนแล้วสิ่งที่พวกเขายังจะต้องพบเจออีกคือ “ความผิดหวัง” ภาพที่คนส่วนใหญ่วาดไว้เมื่อเข้ามายังตลาดแห่งนี้แรก ๆ คือ “จะเอาตังค์” “กำไร กำไร กำไร” โดยที่ไม่ได้ตระหนักเลยว่าในตลาดแห่งนี้ก็ต้องอาศัย “ความรู้และประสบการณ์” ก่อนเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรให้ตัวเอง บางคนก็เอาเงินที่เป็นความหวังมาเดิมพันกับ Forex เลยและสุดท้ายก็พ่ายแพ้และไม่มีทางเลือกนอกจากถูกบังคับออกจากตลาดนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่อถามผมว่า “แบบนี้แล้วคนที่ทำงานไม่มีโอกาสจะได้เทรดเลยหรอ?” คำตอบก็คือ ไม่ ครับคุณยังสามารถเทรดได้ตลอดเวลา และ คุณเองก็ไม่จำเป็นจะต้องรีบร้อนอะไรด้วย คุณยังสามารถใช้ชีวิตตามปรกติได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องผิดใจกับคนรอบข้างอันเป็นที่รักของคุณเพียงแค่คุณต้องเปลี่ยนทัศนคติในการเทรดก่อนครับ

ข้อที่ 1: เปลี่ยนจากคำว่า “กำไร” เป็น “เปอร์เซนต์”

อย่างที่ได้กล่าวไปว่าคนที่เข้ามาที่นี่ส่วนใหญ่เพราะคำว่ากำไรซึ่งผมก็ไม่เถียงครับเพราะผมก็เป็นคนหนึ่งที่เข้ามาที่นี่ด้วยสาเหตุนี้เหมือนกัน แต่เมื่ออยู่ ๆ ไป ผมค้นพบว่า การที่เราสนใจแต่ผลกำไรมันจะส่งผลให้เรากลายเป็นคนโลภโดยไม่รู้ตัว เมื่อความโลภเข้ามาครอบงำคุณ คุณจะไม่สนใจเรื่องของเหตุและผล คุณจะเหมือนเด็กคนหนึ่งที่ต้องการของเล่นสักชิ้นและจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมาแม้ว่าจะต้องขโมยเงินพ่อแม่มาซื้อก็ตาม ที่ผมบอกว่าให้มองเป็นเปอร์เซนต์เพราะหากคุณมองเงินทุนของคุณเป็นเปอร์เซนต์มันจะทำให้คุณรู้สึกเหมือนกับการเล่นเกมส์ยกตัวอย่างเช่น คุณเริ่มเทรดด้วยเงิน 100$ หรือ 3000 บาท คุณตีว่า 100$ ของคุณเนี่ยคือ 100% ของคุณ ทีนี้สิ่งที่คุณต้องตั้งคำถามต่อไปก็คือ

คุณจะเอากำไรกี่ % ของพอร์ตตัวเองในแต่ละวันหรือแต่ละสัปดาห์?
หากกราฟไม่เป็นไปตามที่คุณคิดคุณยอมให้พอร์ตคุณติดลบได้กี่ % ของพอร์ต?



หากคุณมองเงินที่คุณมีเป็นเปอร์เซนต์ไม่ว่าคุณจะมีเงินน้อยหรือเงินเยอะคุณจะตีเป็น 100% หมดและคุณจะไม่รู้สึกว่าเงินที่คุณมีนั้นเล็กน้อยเลย การทำแบบนี้นอกจากจะช่วยลดความโลภในจิตใจของผู้เทรด ยังทำให้การเทรดไม่เป็นเรื่องที่เครียดสำหรับคุณมาก และ ยังไม่กระทบต่อเงินในการใช้ชีวิตประจำวันของคุณอีกด้วยเพราะตลาดแห่งนี้สามารถเริ่มลงทุนได้ด้วยเงินทุนก้อนเล็ก ๆ อยู่แล้ว ดังนั้นคุณจึงต้องใช้ข้อดีข้อนี้ทำให้คุณได้เปรียบด้วยการเริ่มศึกษาตลาดแห่งนี้จากเงินทุนก้อนเล็ก ๆ

ข้อที่ 2: การเทรดก็เหมือนกับการศึกษา

เหมือนสมัยที่คุณเคยเรียนมหาลัย คุณจะต้องเริ่มเรียนจากตัวพื้นฐานต่าง ๆ ในปีที่ 1 ก่อนก่อนจะก้าวสู่ตัวยาก ๆ ในปีถัด ๆไป การเทรดก็เป็นเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นความคิดที่หลาย ๆ คนคิดว่า ศึกษาแปป ๆ ก็เทรดเป็นเลยจึงเป็นคำตอบที่... ผิดมหันต์ !!! การศึกษาเพียงแป๊ปเดียวช่วยให้คุณ”เทรดได้” อันนี้ผมไม่เถียงแค่บอกว่าปุ่ม Buy ปุ่ม Sell อยู่ตรงไหนเด็กอนุบาลก็เทรดได้แล้วครับ แต่การที่จะ”เทรดเป็น” คุณจำเป็นต้องสละเวลาในการทำการบ้านด้วยตัวเอง หาอ่านข้อมูลเกี่ยวกับการเทรดในอินเตอเนตและเอาข้อมูลหลาย ๆ ที่มาประมวล มาสรุป และนำมาทดลองใช้ ทางลัดไม่มีสำหรับโลกแห่งการลงทุนไม่ว่าคุณจะศึกษาเรื่องการเทรดมาด้วยวิธีไหน สุดท้ายวิธีนั้นก็จะหล่อหลอมคุณขึ้นมาให้เป็นเทรดเดอร์ในแบบนั้น

แล้วมันเกี่ยวกับการเทรดและการทำงานอย่างไร?

สิ่งที่ผมพยายามจะบอกก็คือคนที่ทำงานแล้วและเทรดไปด้วยก็ยังคงสามารถทำได้ครับเพียงแต่ผมไม่อยากให้คุณรีบร้อนจนเกินไป จนเกินพอดี จนเกินกว่าที่คุณจะรับภาระไหว ผมแนะนำว่าคนที่ทำงานแล้วเทรดไปด้วยควรจะค่อย ๆ เรียนรู้ไปอย่างใจเย็น ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องกลัวครับว่าเงินในตลาดนี้จะหมด จนกว่าโลกจะแตกหรือโลกเกิดสงครามนิวเคลียร์นั่นละครับตลาดแห่งนี้ถึงจะล่ม เงินที่นำมาเทรดควรจะเป็นเงินเย็นหรือเงินที่คุณคิดว่ามันจะไม่กระทบการเงินในชีวิตครอบครัวของคุณเพื่อให้สบายใจกันทั้งสองฝ่าย คุณไม่จำเป็นต้องผิดบังคู่รักหรือครอบครัวของคุณว่าคุณเอาเงินไปทำอะไร ตราบใดที่เงินที่คุณนำมาลงทุนเป็นเงินที่คุณไม่ยืมเค้ามา ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ผมเชื่อว่าคนรอบข้างของคุณพร้อมที่จะเข้าใจและยินดีให้คุณนำเงินมาลงทุนครับ ผมบอกตามตรงตรงนี้เลยว่าเงินเพียง 100$ ไม่สามารถทำให้คุณรวยได้แน่นอนครับแต่มันสามารถทำให้คุณเข้าใจว่าการเทรดควรวางแผงความคิดอย่างไร และเมื่อ 100$ ของคุณมันโตและแข็งแรงพอจนคุณมั่นใจว่าตัวเองพร้อมแล้วค่อยจัดทัพใหญ่มาลุยก็ยังไม่สายครับ ไม่ว่าจะเงิน 100 หรือ 1 ล้าน หากคุณมองเป็นเฟอร์เซนต์อย่างที่ผมได้กล่าวไว้ได้ คุณจะเทรดได้อย่างมีความสุขแน่นอนครับ

 
โค๊ด: [Select]
http://www.thaiforexschool.com/viewfulldetial.php?id=313&&name=Trading%20&%20Working

90
ความมั่งคั่ง ความร่ำรวย หรือการเป็นเศรษฐี สำหรับคนที่ไม่ได้มีพ่อแม่ร่ำรวยมาก่อนนั้น สำหรับคนจำนวนมากดูเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก บางคนอ่านหนังสือเกี่ยวกับการออมก็มักได้รับคำแนะนำที่ทำได้ยาก เช่น บอกว่าให้กันเงินจากเงินเดือนหรือรายได้ 10-20% เก็บไว้ก่อน ไม่ใช่ใช้ก่อนเหลือแล้วค่อยเก็บ ปัญหาก็คือ รายได้นั้นไม่ค่อยพอใช้อยู่แล้ว แม้ว่าจะไม่ได้ใช้อย่างฟุ่มเฟือย เพราะค่าใช้จ่ายจำนวนมากเป็นค่าใช้จ่ายที่ลดไม่ค่อยได้ เช่น ค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าอาหาร เป็นต้น ซึ่งผมเองเห็นด้วย วิธีการที่จะทำให้เรามั่งคั่งนั้น ถ้าจะให้ปฏิบัติได้จริง ต้องไม่ทำให้เรารู้สึกลำบาก หรือรู้สึกว่าความสุขหายไปมากและเป็นเวลานาน เหนือสิ่งอื่นใด ความอยากรวยนั้นก็เพื่อที่จะทำให้มีความสุข ดังนั้น การเสียสละความสุข เพราะต้องลดค่าใช้จ่ายเป็นเวลานานนั้นจึงไม่มีเหตุผล ต่อไปนี้ เป็นแนวทางหรือจะเรียกให้เท่ก็คือ เป็นสูตรที่จะช่วยให้เรามีความมั่งคั่ง ร่ำรวย หรือแม้แต่เป็นเศรษฐีโดยเราไม่จำเป็นต้องรู้สึก “อดอยาก” และเป็นสูตรที่เหมาะมาก โดยเฉพาะกับคนที่เพิ่งเริ่มชีวิตการทำงานหลังจากที่จบการศึกษาใหม่ๆ อย่างไรก็ตาม คนที่มีอายุมากขึ้นแล้วก็สามารถประยุกต์ใช้ได้เท่าที่จะทำได้

ข้อแรก: ถ้าคิดว่าเรายังไม่รวย อย่าซื้อรถ

การซื้อรถยนต์ส่วนตัวใช้นั้น เท่ากับเรากำลังสร้างรายจ่ายที่ลดได้ยากมาก และทุกเดือนเราจะมีรายจ่ายเป็นหมื่นหรือหลายหมื่นเป็นค่าผ่อนรถ ค่าน้ำมัน ค่าประกัน ค่าซ่อม และอื่นๆ บางทีรายจ่ายนั้นอาจจะไม่เป็นตัวเงินจริง เนื่องจากเราซื้อรถด้วยเงินสด เราไม่เสียค่าผ่อนรถ แต่จริงๆแล้วเราก็มี “ค่าเสื่อม” ซึ่งก็เป็นค่าใช้จ่ายที่สูงไม่ต่างกับค่าผ่อนรถนัก หลายคนอาจจะเถียงว่า เขาสามารถประหยัดค่ารถเมล์ ค่ารถไฟฟ้า หรือค่าแท็กซี่ลง แต่ถ้าคิดคำนวณค่าใช้จ่ายทุกด้านของการมีรถยนต์ส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าการใช้รถสาธารณะนั้นประหยัดกว่ามาก และจะทำให้เรามีเงินเหลือเก็บสำหรับเทรดได้มากกว่า

ข้อสอง: อย่าซื้อบ้านถ้าไม่จำเป็น และถ้าจำเป็นก็ซื้อบ้านที่เล็กที่สุดที่จะเพียงพออยู่

สำหรับตนเองและคู่ครองและลูกที่มีอยู่ หรือที่วางแผนที่จะมีในอนาคต ทำเลของบ้านควรอยู่ในที่ที่การเดินทางไปทำงาน หรือไปเรียนสะดวกและไม่ต้องต่อรถหลายๆต่อ ซึ่งจะทำให้ “ค่าใช้จ่ายในการอยู่อาศัยและเดินทาง” ต่ำที่สุด คำว่าค่าใช้จ่ายในการอยู่อาศัยนั้น บางคนอาจจะไม่รู้สึกว่ามีเพราะเขาไม่ต้องเสียค่าเช่า แต่จริงๆแล้ว การมีบ้านที่ใหญ่จะทำให้ค่าบ้านสูง ซึ่งทำให้ต้องจ่ายค่าผ่อนบ้านแต่ละเดือนมากขึ้น ไม่นับรายจ่ายอื่นๆ ที่ตามมาจากการมีบ้านที่ใหญ่ขึ้น นี่เป็นความคิดที่อาจจะแย้งกับอีกหลายคนที่บอกว่าควรซื้อบ้านใหญ่ที่สุดที่ สามารถผ่อนได้ เพราะบ้านนั้นเป็นเหมือน “การลงทุน” และการอยู่บ้านใหญ่นั้น “มีความสุข” มากกว่า แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวผมเองนั้นพบว่า บ้านอยู่อาศัยนั้นราคามักจะไม่ค่อยขึ้น เช่นเดียวกันบ้านที่ใหญ่เกินความจำเป็นนั้น ถ้าจะเพิ่มความสุขได้ก็น่าจะน้อยและไม่คุ้มกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

 

ข้อสาม: มีลูกให้น้อย

อย่าเกินสองคนก็ดี เพราะลูกนั้นเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมากในการเลี้ยงดู และให้การศึกษา คำสมัยก่อนก็คือ มีลูกหนึ่งคนจนไปเจ็ดปี แต่สมัยนี้ผมคิดว่ายาวกว่านั้น คนในสมัยก่อนมีลูกเพราะคิดว่าเป็น “การลงทุน” นั่นคือ หลังจากที่ลูกโตเขาก็กลับมาเลี้ยงเรา ดังนั้น เขาจึงมีลูกมากแต่ในปัจจุบันความคิดนี้ก็ใกล้หรือกำลังหมดไป เราไม่หวังให้ลูกมาเลี้ยงเราแล้ว ดังนั้น ถ้าอยากรวย อย่ามีลูกมาก

ข้อสี่: รายจ่ายค่าสมาชิกตามสถานที่ต่าง ๆ

อาทิเช่น สมาชิกสถานออกกำลังกาย สมาชิกเคเบิลทีวีราคาแพง สมาชิกที่สามารถพักตามเครือข่ายโรงแรมตากอากาศหลายแห่ง เหล่านี้เป็นความบันเทิงหรือการดูแลสุขภาพ ที่เราสามารถหาซื้อได้ในราคาที่ถูกกว่ามาก เช่น แทนที่จะเข้าฟิตเนส เราสามารถไปสวนสาธารณะที่มีการเต้นแอโรบิกที่สนุกสนานทุกวันโดยที่ไม่ต้องเสียเงิน เคเบิลทีวีราคาถูกเดี๋ยวนี้บางแห่งมีรายการดีมากเกือบเท่าแบบที่มีราคาแพง แต่เสียค่าใช้จ่ายแค่เดือนละ 200 บาทก็มี พูดถึงเรื่องการพักผ่อนต่างจังหวัดแล้วก็ทำให้ผมมีข้อแนะนำอีกว่า “อย่าซื้อคอนโดหรือบ้านพักในสถานที่ท่องเที่ยว” เพราะนี่เป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงมาก เทียบกับการที่เราไปเช่าโรงแรมอยู่ คนอาจคิดว่านี่เป็น “การลงทุน” แต่จริงๆแล้ว ราคาก็มักจะไม่ค่อยขึ้นหรือถึงขึ้นเราก็มักจะไม่ขาย ในระหว่างนั้น เราก็ต้องผ่อนส่งรายเดือนหรือต้องเสีย “ค่าเสื่อม” ไปเรื่อยๆ เหนือสิ่งอื่นใด การพักโรงแรมนั้นเราไม่ต้องดูแลทำความสะอาด และเราจะไปพักสถานที่ไหนก็ได้ ซึ่งทำให้เรามีความสุขมากกว่า

ข้อห้า: ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย

ถ้าอยากรวย นอกจากปฏิบัติตามแนวทางข้างต้นแล้ว การเก็บออมเงินให้มากที่สุดโดยไม่จำเป็นต้องประหยัดเกินความจำเป็นจนทำให้เรารู้สึกไม่สบาย สิ่งนี้ทำไม่ยากถ้าเรารู้จักซื้อของแบบเน้น “คุณค่า” นั่นคือ ใช้เงินน้อยแต่สามารถตอบสนองความต้องการเกิน 90% ตัวอย่างง่ายที่สุด ก็คือ การซื้อของไม่มียี่ห้อที่มีคุณภาพดี หรือซื้อของมียี่ห้อในช่วงที่มีการลดราคามากๆ เป็นต้น

เป็นห้าข้อที่ผมมองว่ามีประโยชน์ต่อเทรดเดอร์มาก ๆ เพราะนอกจากบริหารเงินในพอร์ตแล้วเราก็ต้องบริหารเงินในชีวิตของเราด้วย ยิ่งถ้าคนที่มีครอบครัวแล้วจะเอาดีทางนี้ก็ยิ่งต้องใช้เงินอย่างระมัดระวังให้มาก ๆ พยายามซื้อของแบบเน้นที่คุณค่า และ ประโยชน์ใช้สอย มากกว่าของแพง ๆ ผมคิดว่าวิธีนี้ถึงคุณจะไม่รวยเป็นมหาเศรษฐีแต่ก็สามารถใช้ชีวิตแบบคนรวยได้ ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ อย่าลืมให้รางวัลกับตัวเองเช่น พาตัวเองไปกินร้านอาหารหรู ๆ สักเดือนละครั้ง 2 ครั้ง หรือซื้อของให้ตัวเองบ้างก็ได้ครับ และคุณจะมีชีวิตที่มีความสุขกับการเทรดและการใช้ชีวิต

โค๊ด: [Select]
http://www.thaiforexschool.com/viewfulldetial.php?id=304&&name=%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C

หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 17
SMF 2.0.15 | SMF © 2011, Simple Machines
SMFAds for Free Forums