วิธีการซื้อขายเบื้องต้น

อ่าน 1958 ครั้ง

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

วิธีการซื้อขายเบื้องต้น
« เมื่อ: 29/ก.ค./2015 11:49:05 »
การเปิดบัญชีซื้อขายเงินตราต่างประเทศ

การซื้อขายเงินตราต่างประเทศ (Forex) จะคล้ายกับตลาดตราสารหนี้ เพราะบุคคลที่สนใจในการซื้อขายจำเป็นต้องมีการเปิดบัญชี เช่นเดียวกับตลาดตราสารหนี้ บัญชี Forex แต่ละแบบและบริการที่นำเสนอมีความแตกต่างกัน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่คุณต้องค้นหาแบบที่เหมาะสมกับคุณ ต่อไปนี้เราจะกล่าวถึงปัจจัยบางอย่างที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกบัญชี Forex

วิธีซื้อขายเงินตราต่างประเทศ

  แนวทางหลักสองแนวทางที่จะซื้อขายในตลาดเงินตราต่างประเทศง่าย ๆ คือการซื้อและการขายคู่สกุลเงิน ซึ่งคุณวางตำแหน่งยาวสำหรับสกุลเงินหนึ่งและตำแหน่งสั้นสำหรับอีกสกุลเงินหนึ่ง แนวทางที่สองกระทำโดยการซื้อตราสารอนุพันธ์ที่ติดตามความเคลื่อนไหวของคู่สกุลเงินที่เฉพาะเจาะจง เทคนิคเหล่านี้คล้ายคลึงกันมากกับเทคนิคต่าง ๆ ในตลาดตราสารหนี้ แนวทางที่ง่ายที่สุดคือการซื้อและขายคู่สกุลเงิน ซึ่งกระทำเหมือนกันกับวิธีที่บุคคลส่วนใหญ่ซื้อและขาย ในกรณีนี้ คุณคาดหวังว่าค่าของคู่สกุลเงินจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดี หากคุณวางคู่สกุลเงินไว้ที่ตำแหน่งยาว คุณคาดหวังว่าค่าของคู่สกุลเงินจะเพิ่มขึ้น ตัวอย่าง สมมติว่าคุณวางตำแหน่งยาวในคู่ USD/CAD - คุณจะได้รับเงินเมื่อค่าของคู่นี้เพิ่มขึ้น และเสียเงินหากค่านั้นลดลง คู่นี้จะเพิ่มขึ้นเมื่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ดังนั้นจึงเป็นการเดิมพันที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ

  อีกทางเลือกหนึ่งคือการใช้ผลิตภัณฑ์ตราสารอนุพันธ์ เช่น ตราสารสิทธิ (Option) และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแบบมาตรฐาน (Futures) เพื่อรับผลประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงในค่าของสกุลเงิน ถ้าคุณซื้อตราสารสิทธิของคู่สกุลเงินหนึ่ง คุณจะได้รับสิทธิ์ในการซื้อคู่สกุลเงินที่ราคาตั้งไว้ก่อนจุดใดจุดหนึ่งของเวลา ในทางกลับกัน สัญญาซื้อขายล่วงหน้าแบบมาตรฐาน สร้างการบังคับให้ซื้อสกุลเงิน ณ จุดใดจุดหนึ่งของเวลา เทคนิคการซื้อขายทั้งสองประเภทนี้ใช้อย่างเป็นประจำโดยผู้ซื้อขายระดับสูงขึ้นไป แต่เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องอย่างน้อยทำความคุ้นเคยกับหลักการเหล่านี้

ประเภทของคำสั่ง

  ผู้ซื้อขายที่ต้องการเปิดตำแหน่งใหม่มักจะใช้คำสั่งตลาด หรือ คำสั่งจำกัด การผสานใช้คำสั่งเหล่านี้มีขั้นตอนเดียวกันกับการใช้คำสั่งเหล่านี้ในตลาดตราสารหนี้ คำสั่งตลาด (Market order) เปิดโอกาสให้ผู้ซื้อขายเงินตราต่างประเทศสามารถรับสกุลเงินที่อัตราแลกเปลี่ยนใด ๆ ที่ซื้อขายกันในตลาดอยู่ขณะนั้น ส่วนคำสั่งจำกัด (Limit order) ทำให้ผู้ซื้อขายสามารถระบุราคาเริ่มต้นได้ ณ จุดใดจุดหนึ่ง

  ผู้ซื้อขายเงินตราต่างประเทศที่มีตำแหน่งเปิดอยู่แล้ว อาจพิจารณา คำสั่งเป้าหมายกำไร (Take-profit) เพื่อกำหนดกำไรที่ต้องการ ตัวอย่าง ผู้ซื้อขายมั่นใจว่าอัตรา GBP/USD จะเพิ่มขึ้นถึงระดับ 1.7800 แต่ไม่แน่ใจว่าอัตราจะขึ้นสูงกว่านั้นหรือไม่ ผู้ซื้อขายสามารถใช้คำสั่งเป้าหมายกำไร ซึ่งจะปิดตำแหน่งโดยอัตโนมัติเมื่ออัตราเพิ่มขึ้นถึงระดับ 1.7800 อันเป็นจุดราคาที่ต้องการ

  เครื่องมืออีกอย่างหนึ่งที่สามารถใช้ได้เมื่อผู้ซื้อขายมีตำแหน่งเปิดคือ คำสั่งลดการสูญเสีย (Stop-loss) คำสั่งนี้ทำให้ผู้ซื้อขายสามารถกำหนดว่าอัตราสามารถลดลงได้มากสุดที่ระดับใดก่อนที่ตำแหน่งจะปิดลงและมีการสูญเสียเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ถ้าอัตรา GBP/USD เริ่มลดลง ผู้ลงทุนสามารถวางคำสั่งลดการสูญเสียซึ่งจะปิดตำแหน่งลง (เช่น ที่จุด 1.7787) เพื่อป้องกันการสูญเสียเพิ่มขึ้นใด ๆ

 คุณจะเห็นว่าประเภทของคำสั่งที่คุณสามารถใช้กับบัญชีซื้อขายการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศนั้นคล้ายคลึงกับคำสั่งที่ใช้ในบัญชีตราสารหนี้ เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเข้าใจคำสั่งเหล่านี้เป็นอย่างดีก่อนการวางตำแหน่งซื้อขายครั้งแรกของคุณ

  การซื้อขายเงินตราต่างประเทศโดยปกติแล้วกระทำผ่านนายหน้า (Broker) หรือผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market maker) ในฐานะผู้ซื้อขายเงินตราต่างประเทศ คุณสามารถเลือกคู่สกุลเงินที่คุณคาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าและวางตำแหน่งการซื้อขายอย่างสอดคล้องกัน ตัวอย่าง ถ้าคุณซื้อเงินไว้จำนวน 1,000 ยูโรในเดือนมกราคม 2005 ราคาที่คุณจ่ายไปอยู่ที่ประมาณ 1,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดปี 2005 ค่าของเงินยูโรเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น เมื่อถึงสิ้นปี เงินจำนวน 1,000 ยูโรมีมูลค่า 1,300 ดอลลาร์สหรัฐฯ ถ้าในเวลานั้นคุณเลือกที่จะสิ้นสุดการซื้อขาย คุณจะได้รับกำไร 100 ดอลลาร์

  การซื้อขายเงินตราต่างประเทศสามารถกระทำได้ผ่านทางนายหน้าหรือผู้ดูแลสภาพคล่อง คำสั่งต่าง ๆ สามารถกระทำได้เพียงไม่กี่คลิก แล้วนายหน้าการซื้อขายก็จะส่งต่อคำสั่งนั้นไปที่พันธมิตรในตลาดสหธนาคาร เพื่อวางตำแหน่งที่คุณประสงค์ เมื่อคุณปิดการซื้อขาย นายหน้าจะปิดตำแหน่งในตลาดสหธนาคารและเพิ่มเครดิตเข้าบัญชีของคุณด้วยผลกำไรหรือขาดทุน ทั้งหมดนี้สามารถเกิดขึ้นได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที
วงเงินยืม

  วงเงินยืม (Leverage) โดยพื้นฐานแล้วคือความสามารถในการควบคุมเงินทุนปริมาณมาก โดยใช้เงินทุนเพียงเล็กน้อยของคุณ ยิ่งวงเงินยืมสูงมากเท่าใด ระดับความเสี่ยงก็จะมากขึ้นเท่านั้น ปริมาณวงเงินยืมจะแตกต่างกันไปตามแต่ละบัญชี แต่โดยส่วนใหญ่จะใช้ปัจจัยที่อย่างน้อย 50:1 บางกรณีสูงถึง 250:1 ปัจจัยวงเงินยืมที่ 50:1 หมายความว่าทุกดอลลาร์ที่คุณมีในบัญชี คุณสามารถควบคุมได้สูงถึง 50 ดอลลาร์ ตัวอย่าง ถ้าผู้ซื้อขายมีเงินอยู่ในบัญชีจำนวน 1,000 ดอลลาร์ นายหน้าการซื้อขายจะให้บุคคลนั้นยืมเงินจำนวน 50,000 ดอลลาร์ เพื่อซื้อขายในตลาด วงเงินยืมนี้ยังทำให้เงินหลักประกันของคุณ หรือปริมาณเงินที่คุณจำเป็นต้องมีในบัญชีเพื่อซื้อขายที่ปริมาณใดปริมาณหนึ่ง อยู่ในระดับที่ตํ่ามาก ในการซื้อขายตราสารหนี้ โดยปกติเงินหลักประกันจะอยู่ที่อย่างน้อย 50% ขณะที่วงเงินยืมของ 50:1 มีค่าเท่ากับ 2%

วงเงินยืมถือว่าเป็นผลประโยชน์หลักของการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ เพราะนั่นทำให้คุณสามารถรับผลตอบแทนได้ในปริมาณที่มากโดยใช้การลงทุนเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม วงเงินยืมสามารถมีผลในเชิงลบในปริมาณที่มากได้เช่นกันถ้าการซื้อขายอยู่ในตำแหน่งที่ตรงข้ามความต้องการของคุณ เพราะการขาดทุนก็จะเพิ่มมากขึ้นตามระดับวงเงินยืมด้วย การใช้วงเงินยืมประเภทนี้ มีความเป็นไปได้ว่าคุณจะสูญเสียเงินมากกว่าจำนวนที่ได้ลงทุนไป - กระนั้น บริษัทส่วนใหญ่มีมาตรการป้องกันไม่ให้บัญชีมีค่าติดลบ ด้วยเหตุผลนี้ จึงสำคัญมากที่คุณต้องจำจุดนี้ไว้เมื่อเปิดบัญชี และเมื่อคุณกำหนดวงเงินยืมที่ต้องการ คุณเข้าใจในความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้

ค่าคอมมิชชั่นและค่าธรรมเนียม

ข้อดีที่สำคัญอย่างหนึ่งของบัญชี Forex คือการซื้อขายภายในบัญชีเหล่านี้สามารถกระทำได้โดยไม่มีค่าธรรมเนียม นี่เป็นข้อแตกต่างจากบัญชีตราสารหนี้ ซึ่งคุณต้องจ่ายค่าธรรมเนียมแก่นายหน้าในธุรกรรมการซื้อขายแต่ละครั้ง เหตุผลที่เป็นเช่นนี้คือคุณทำธุรกรรมกับผู้รักษาสภาพคล่องโดยตรง และไม่ต้องผ่านกลุ่มอื่น ๆ เช่น นายหน้า

การวิเคราะห์เบื้องต้น และกลยุทธ์การซื้อขายเบื้องต้น

ในตลาดตราสารหนี้ การวิเคราะห์เบื้องต้นมีจุดประสงค์เพื่อวัดมูลค่าจริงของบริษัท และเพื่อเป็นพื้นฐานการลงทุนโดยใช้การคำนวณประเภทนี้ ในบางกรณี มีการดำเนินการแบบเดียวกันในตลาด Forex รายย่อย ซึ่งผู้ซื้อขายเบื้องต้นของ Forex จะประเมินสกุลเงิน และประเทศของสกุลเงิน บริษัทที่คล้ายกัน และใช้การประกาศทางเศรษฐกิจเพื่อให้ได้ภาพรวมเกี่ยวกับมูลค่าจริงของสกุลเงินนั้น

รายงานข่าวสาร ข้อมูลเศรษฐกิจ และเหตุการณ์ทางการเมืองทั้งหมดที่ออกมาเกี่ยวกับประเทศหนึ่งล้วนคล้ายกับข่าวสารที่ออกมาเกี่ยวกับตราสารหุ้น คือนักลงทุนใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อให้สามารถมองเห็นถึงภาพรวมของมูลค่า มูลค่านี้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาเนื่องด้วยปัจจัยหลายอย่าง รวมถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจและความแข็งแกร่งทางการเงิน ผู้ซื้อขายเบื้องต้นดูที่ข้อมูลเหล่านี้ทั้งหมดเพื่อประเมินเงินตราของประเทศ

โดยตระหนักดีว่ามีกลยุทธ์เบื้องต้นของการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจำนวนเกือบนับไม่ถ้วนที่อิงจากข้อมูลพื้นฐาน มากจนสามารถรวบรวมแล้วเขียนเป็นหนังสือออกมาได้ เพื่อให้มองเห็นภาพรวมที่ดีขึ้นของโอกาสการซื้อขายที่เป็นรูปธรรม มาดูกันที่หนึ่งในสถานการณ์ที่รู้จักกันมากที่สุด นั่นคือการซื้อขายเงินตราต่างประเทศเพื่อเก็งกำไร (Carry trade)

แจกแจงหลักการซื้อขายเงินตราต่างประเทศเพื่อเก็งกำไร

การซื้อขายเงินตราเพื่อเก็งกำไรเป็นกลยุทธ์ซึ่งผู้ซื้อขายขายสกุลเงินหนึ่งที่มีอัตราดอกเบี้ยตํ่า และซื้ออีกสกุลเงินหนึ่งที่เสนออัตราดอกเบี้ยสูงกว่า พูดอีกอย่างหนึ่งคือ คุณยืมที่อัตราตํ่า แล้วปล่อยกู้ที่อัตราสูงกว่า ผู้ซื้อขายใช้กลยุทธ์นี้เพื่อจับค่าความต่างระหว่างสองอัตรา เมื่อทำการซื้อขายด้วยวงเงินยืมที่สูง แม้ว่าค่าต่างระหว่างสองอัตราจะเล็กน้อย ก็สามารถทำให้การซื้อขายนั้นมีผลกำไรที่สูงได้ พร้อมกันกับการจับค่าความต่างของอัตรา บ่อยครั้งเช่นกันที่ผู้ลงทุนจะเห็นว่าค่าของสกุลเงินที่สูงกว่านั้นเพิ่มมากขึ้นเนื่องด้วยปริมาณเงินจำนวนมากไหลเข้าสกุลเงินที่ให้ค่าตอบแทนสูง ซึ่งทำให้เงินตรามีมูลค่าสูงขึ้น

ตัวอย่างที่เกิดเขึ้นจริงคือการซื้อขายเพื่อเก็งกำไรเงินเยนเมื่อต้นปี 1999 ซึ่งขณะนั้นญี่ปุ่นลดอัตราดอกเบี้ยลงที่เกือบศูนย์ ผู้ลงทุนต่างลงทุนในอัตราที่ตํ่านี้และยืมเงินเยนญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก จากนั้น เงินเยนที่ยืมมาก็แปลงเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ แล้วใช้เพื่อซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ ที่มีอัตราค่าตอบแทนและดอกเบี้ยที่ประมาณ 4.5-5% เนื่องด้วยอัตราดอกเบี้ยญี่ปุ่นอยู่ที่เกือบศูนย์ ผู้ลงทุนจ่ายในราคาที่ถูกมากในการยืมเงินเยนญี่ปุ่นและรับค่าตอบแทนเกือบทั้งหมดจากพันธบัตรสหรัฐฯ เมื่อใช้ระบบวงเงินยืม คุณสามารถเพิ่มค่าตอบแทนได้เป็นอย่างมาก

การวิเคราะห์เชิงเทคนิค และตัวระบุด้านเทคนิค

ความเชื่ออย่างหนึ่งของการวิเคราะห์เชิงเทคนิค คือการดำเนินการด้านราคาในอดีตจะคาดการณ์การดำเนินการด้านราคาในอนาคต เนื่องด้วยตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นตลาดแบบ 24 ชั่วโมง จึงมักจะมีข้อมูลเป็นจำนวนมากที่สามารถใช้เพื่อวัดกิจกรรมราคาในอนาคต ซึ่งจะเพิ่มความสำคัญด้านสถิติของการคาดการณ์ สิ่งนี้นำสู่ตลาดที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ซื้อขายที่ใช้เครื่องมือเทคนิค เช่น แนวโน้ม แผนภาพ และตัวระบุ

เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคำนึงถึงว่า โดยทั่วไปการตีความการวิเคราะห์เชิงเทคนิคจะเป็นแบบเดียวกันไม่ว่าสินทรัพย์ที่จับตามองอยู่นั้นจะเป็นอะไรก็ตาม มีหนังสืออยู่มากมายกลายร้อยเล่มที่มุ่งเน้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ในส่วนของการสอนนี้ เราจะดูที่เพียงหลักการพื้นฐานว่าทำไมการวิเคราะห์เชิงเทคนิคจึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญยิ่งในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

ในขณะที่ส่วนการสอนของที่อื่น ๆ จะมุ่งเน้นในเทคนิคเฉพาะเจาะจงของการวิเคราะห์เชิงเทคนิค แต่เราจะมุ่งเน้นเป็นส่วนใหญ่ที่มุมมองเฉพาะของการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจากการวิเคราะห์เชิงเทคนิค

ความไม่สมํ่าเสมอของอัตราขั้นตํ่า (Minimal Rate Inconsistency)

มีผู้เล่นขนาดใหญ่จำนวนมากในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เช่น กองทุนบริหารความเสี่ยง และธนาคารขนาดใหญ่ ซึ่งล้วนมีระบบคอมพิวเตอร์ระดับสูงเพื่อติดตามอย่างต่อเนื่องถึงความไม่สมํ่าเสมอใด ๆ ระหว่างคู่สกุลเงินต่าง ๆ เนื่องด้วยโปรแกรมเหล่านี้ จึงเป็นการยากที่จะเห็นความไม่สมํ่าเสมอขนาดสำคัญใด ๆ คงอยู่นานกว่าหน่วยวินาที ผู้ซื้อขายจำนวนมากหันมาใช้การวิเคราะห์เชิงเทคนิคเพราะประกอบด้วยปัจจัยทั้งหมดที่มีอิทธิพลต่อราคา ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม จิตวิทยา ซึ่งได้มีการวิเคราะห์ปัจจัยเหล่านี้ในอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันโดยตลาดแล้ว การที่มีผู้ลงทุนอย่างมากมายและมีการปลี่ยนมือการถือเงินตราอย่างมากหลายในแต่ละวัน แนวโน้มและการไหวเวียนของเงินทุนจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญ มากกว่าการที่จะพยายามพิจารณาหาอัตราซึ่งกำหนดราคาผิด

แนวโน้มหรือขอบเขต

หนึ่งในเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการซื้อขายเชิงเทคนิคในตลาด FX คือการพิจารณาว่าคู่สกุลเงินหนึ่งจะมีแนวโน้มไปในทิศทางหนึ่งทิศทางใดหรือไม่ หรือจะมีการโคจรออกนอกเส้นทาง และยังคงเป็นการซื้อเพื่อเก็งกำไรอยู่ ทฤษฎีที่ใช้กันมากที่สุดในการพิจารณาคุณสมบัติเหล่านี้ คือการวาดเส้นแนวโน้มที่เชื่อมต่อระดับทางประวัติศาสตร์ซึ่งได้ป้องกันไม่ให้อัตราเพิ่มขึ้นสูงกว่าหรือตํ่ากว่า ระดับแนวรับและแนวต้านเหล่านี้ใช้โดยผู้ซื้อขายเทคนิคเพื่อพิจารณาว่าแนวโน้มที่มีอยู่นั้น หรือสภาพการไร้แนวโน้ม จะดำเนินต่อไปหรือไม่

โดยทั่วไป คู่สกุลเงินหลัก ๆ เช่น EUR/USD, USD/JPY, USD/CHF และ GBP/USD - ได้แสดงถึงแนวโน้มในด้านต่าง ๆ เป็นอย่างดี ส่วนคู่สกุลเงินที่ในอดีตได้แสดงถึงความเป็นไปได้สูงในการซื้อเพื่อเก็งกำไร คือสกุลเงินไขว้อื่น ๆ (คู่ที่ไม่มีดอลลาร์สหรัฐฯ) เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ซื้อขายทุกคนต้องตระหนักถึงคุณสมบัติของแนวโน้มและขอบเขต เพราะสิ่งเหล่านี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อเพียงสกุลเงินที่ซื้อขาย แต่ยังมีผลถึงชนิดของกลยุทธ์ที่ควรใช้ด้วย

ตัวบ่งชี้ที่ใช้เป็นประจำ

ผู้ชื้อขายเทคนิคใช้ตัวบ่งชี้ที่แตกต่างและหลากหลาย ร่วมกันกับข้อมูลแนวรับและแนวต้าน เพื่อช่วยในการคาดการณ์ทิศทางในอนาคตของอัตราแลกเปลี่ยน การเรียนรู้วิธีการอ่านและตีความตัวบ่งชี้ข้อมูลเทคนิคการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เป็นหัวข้อที่มีขนาดใหญ่พอสมควร

ตัวอย่างตัวบ่งชี้ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ได้แก่ สัญญาณ Bollinger bands, เครื่องมือ Fibonacci retracement, ค่าเฉลี่ยนการเคลื่อนย้าย, ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (MACD) และการสุ่มคำนวณ (Stochastic) เครื่องมือเทคนิคเหล่านี้ยากนักที่จะนำไปใช้โดยลำพังเพื่อหาสัญญาณ แต่ส่วนใหญ่จะใช้ร่วมกับตัวบ่งชี้และรูปแบบแผนภาพอื่น ๆ

สรุป

การเปิดบัญชี Forex การเปิดและปิดการซื้อขายสองถึงสามธุรกรรม และการสร้างค่าตอบแทนจำนวนสองถึงสามร้อยเปอร์เซ็นต์ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์สามารถทำได้ง่ายเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม จะต้องใช้เวลาในการศึกษาข้อมูลเทคนิค การวิเคราะห์เชิงเทคนิค ความกล้าหาญ เวลา และทรัพยากรจำนวนมาก ในการที่จะสร้างค่าตอบแทนที่น่าพอใจจากการซื้อขายเงินตราต่างประเทศในระยะยาว โดยปกติแล้ว มีเพียงธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ และผู้ซื้อขายและองค์กรส่วนบุคคลที่ฝีมือดีที่สุดเท่านั้น ที่สามารถทำผลลัพธ์ได้อย่างสมํ่าเสมอปีแล้วปีเล่า

โค๊ด: [Select]
http://www.forexha.com/howtotrade.php
  • Tamol

  • ****
  • สถานะ: ออฟไลน์
  • พลังน้ำใจ: 1 | กระทู้ 250
  • เพศ: ไม่ระบุ
วิธีเปิดบัญชี forex exness อย่างละเอียด 2023 ทีละขั้นตอน | วิธีสมัคร Forex Update 2566



 

SMF 2.0.15 | SMF © 2011, Simple Machines
SMFAds for Free Forums