forex ตลาด Forex กับตลาดหุ้น คืออะไร ใช้อย่างไร

อ่าน 1305 ครั้ง

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

นักลงทุนมือใหม่อาจจะอยากรู้ว่า forex ตลาด Forex กับตลาดหุ้น คืออะไร ใช้อย่างไร เรามาลองดูกันนะครับ

ตลาด Forex กับตลาดหุ้น คืออะไร
 

มาดูว่าทำไมตลาดค่าเงินหรือตลาด Forex นั้นมีความน่าสนใจกว่าการเทรดในตลาดหุ้น

ค่าธรรมเนียมต่ำ : ค่าธรรมเนียมการเทรดในตลาด Forex ต่ำกว่าตลาดหุ้นค่อนข้างมาก ไม่มีค่า Commission หรือค่าอื่นๆ เพิ่มเติม โดยโบรกเกอร์ Forex ส่วนมากจะเก็บค่าบริการจาก Spread เป็นหลักเพียงเท่านั้น

 

การทำธุรกิจที่รวดเร็วและทันที : การจับคู่ออเดอร์ของคำสั่งซื้อขายนั้นทำได้อย่างทันทีทันใด เราจะได้ราคาตามที่เราต้องการ

 

สามารถ Short ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด : ไม่เหมือนกับตลาดหุ้นที่อาจมีข้อจำกัดในการ Short หุ้น (Uptick rule คือต้องตั้งขาย (ตั้ง offer) หรือโยนซ้าย (bid) ไม่ได้)แต่ในตลาด Forex นั้นไม่มีข้อจำกัดนี้

 

ไม่มีตัวกลาง : ในตลาด Forex เป็นการกระจายศูนย์กลางในการเทรดไปยังหลากหลายประเทศทั่วโลก ทำให้ไม่มีตัวกลางเหมือนกับตลาดหุ้นทีต้องมีตลาดหลักทรัพย์ที่เข้ามากำกับดูแล ซึ่งข้อดีของการไม่มีตัวกลางคือ ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมให้ตัวกลาง (ค่า Fees)

 

ไม่มีใครสามารถควบคุมราคาได้ : เนื่องจากขนาดที่ของตลาด Forex ที่ใหญ่มากจนไม่สามารถที่กองทุนใดกองทุนหนึ่งจะสามารถทำราคาของค่าเงินได้ ซึ่งต่างจากตลาดหุ้นที่มูลค่านั้นมีไม่มาก ทำให้รายใหญ่บางเจ้า หรือกองทุนบางแห่ง สามารถเข้าไปทำราคาได้ การซื้อขายของพวกรายใหญ่ หรือกองทุน จะส่งผลต่อราคาหุ้น ซึ่งสิ่งนี้ไม่ค่อยเกิดขึ้นในตลาด Forex



โฟกัสง่ายกว่า : ในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีหุ้นประมาณ 2,800 ตัว ใน New York stock exchange และมีอีกกว่า 3,100 ตัว ใน NASDAQ ฟังดูมากมายมหาศาลจริงไหมละครับ แต่ปัญหาคือเราจะเลือกเทรดอะไรดีละ มาดูตลาด Forex หรือตลาดค่าเงินกันมั้ง มีเพียงไม่กี่คู่สกุลเงินให้เราเลือก ซึ่งทำให้เราโฟกัสได้ดีกว่า

 

เปิด 24 ชั่วโมง : ตลาด Forex ไม่มีการปิดระหว่างวัน เปิด 24 ชั่วโมง โบรกเกอร์ส่วนมากที่ให้บริการจะเปิดตั้งแต่เช้าตรู่ของวันจันทร์ตอนประมาณ 3.00 am ตามเวลาประเทศไทย และมาปิดอีกทีตอนประมาณตี 3 ในคืนวันศุกร์ ตามเวลาประเทศไทย เราสามารถกำหนดตารางเทรดของเราเองได้ ยืดหยุ่นตามความสะดวก ซึ่งต่างจากตลาดหุ้นที่มีเวลาเปิดปิดที่ตายตัว ไม่สามารถเทรดตอนกลางคืนได้



*หุ้นเทรดเฉพาะตอนตลาดหุ้นเปิด บ่อนฟอเรคแทงเสียกัน 24 ชั่วโมงในวันทำการ
*ฟอเรคเทรดกันไวกว่าหุ้นมาก ไวกว่าฟิวเจอร์ด้วย
*ฟอเรคมี leverage แต่หุ้นไม่มี
*liquidity ของฟอเรคสูงมาก
*สินค้าฟอเรคน้อยกว่าหุ้น
*ฟอเรคเล่นได้ทั้งขึ้นและลง หุ้นทำไม่ได้
*ฟอเรเร็วกว่า แต่ก็หมดตัวเร็วกว่า
*ข่าวบริษัทจะมีผลต่อราคาหุ้น ข่าวเศรษฐกิจจะมีผลต่อฟอเรค (GDP retail-sales industrial-production CPI)

forex เทรคค่าเงิน ที่มีหลายสกุลเงินให้เลือก
การเคลื่อนไหวของราคาจะเปลี่ยนแปลง ที่หลัก %  ทศนิยมหลักที่ 4
จึงมี leverage คือวางเงินต้นแค่ 1:2000
คือเงิน 1 usd คุมมูลค่าจริง 2,000 usd
ถ้าเป็นแบบนี้ กำไรขาดทุนจะขยาย 2,000 เท่าได้ จากเปลี่ยนแปลง % หลักที่ 4 เป็น เกือบ 1 % ต่อวันได้
ความฝันของนักเก็งกำไร ที่อยากหารายได้วันละ 1%
หรือเดือนละ 5% หักลบกำไรขาดทุน ก็เลยเข้าใกล้ความเป็นจริง ถ้าได้เฉลี่ยเดือนละ 5-10% ปีๆนึง กำไร 1-2 เท่าตัวก็เป็นไปได้

หุ้นจะมีความเปลี่ยนแปลงวันละ 0.5-1%
ทำกำไรได้แต่ขาขึ้น การซื้อถือครอง การลงทุนแบบถือยาวนาน 10 ปีจะไม่มีปัญหาอะไร
ไม่เหมือน forex ที่ต้องคิดกำไรหักบัญชีกันทุกวัน แต่หุ้นแม้จะขาดทุนยังไงเราก็เป็นเจ้าของหุ้นนั้นตลอดไป
การ trade หุ้นแบบ day trade การคัดเลือกจะยุ่งยาก หุ้นมีมากถึง 600 ตัว เวลาจะมา มาไม่ค่อยซ้ำ ต้องหาวิธีคัดเลือก
แต่การลงทุนหุ้นที่ได้กำไรดีที่สุดคือ การลงทุน เลือกกิจการที่ดีแล้วก็ถือไปเรื่อยๆ ความร่ำรวยจะมั่นคงโตไปพร้อมกับกิจการได้ยาวนาน
การเล่นรอบด้วย techni พอจะเป็นไปได้ แต่ก็มี transaction cost และความไม่แม่นยำติดตามมาเสมอ

ถ้าชอบอะไรเร็วๆ ได้เสียกันทุกวัน วันละหลายๆรอบ เล่น forex จะเหมาะสมกว่า
ถ้าชอบอะไรมั่นคง เล่นช้าๆ บางเดือนก็ไม่มีอะไรให้ทำก็เล่นหุ้น
หุ้นยังมี TFEX ที่มีลักษณะเหมือน forex ที่ใช้ leverage 1:10 ให้เล่นขาขึ้นขาลงได้ แต่สินค้าที่ให้เลือกที่นิยม
จะมีแค่ SET50, gold, single stock บางตัว
TFEX จะมีความใกล้เคียงกับ forex มากกว่า

เทรดหุ้น ก็คือการซื้อหุ้นของบริษัทนึง ถ้าซื้อมา 5 บาท แล้วราคาหุ้นขึ้นเป็น 6 บาทก็กำไรต่อหุ้นบาทนึง หากนาย ก มีหุ้นในมือก็เอามาขายต่อให้ นาย ข ได้ ซื้อมาขายไปต่อๆกันไป (มองว่ามันเหมือนเป็นทองก็ได้)
เวลาเทรดก็จะมีหลายแบบ

1 แบบวิเคราะห์พื้นฐาน เช่นดูผลประกอบการบริษัท ดู CEO ดูสภาพตลาด ว่าบริษัทจะกำไรดี เติบโตไหม ถ้าคิดว่าบริษัทนี้น่าจะโต ก็ซื้อหุ้นไว้ ถ้าเก็งแม่น ราคาหุ้นขึ้นก็ขายหุ้นได้กำไรเป็นส่วนต่าง (นอกจากนี้ก็มีพวกปันผลประจำปี) แต่ถ้าเก็งผิดก็เรียกว่าติดดอย (ซื้อไว้แพง ซื้อแล้วราคาดันตก เลยต้องถือไว้ เพราะหากจะขายก็ขาดทุน)
2 อีกแบบก็วิเคราะห์เทคนิค (กราฟ) คือดูว่าแนวโน้มเส้นราคาหุ้นนี่ มันจะขึ้นหรือลง เก็งจากกราฟเอา จะมีวิธีดูหลายแบบ เรียกว่า อินดิเคเตอร์ เช่น macd / vol เรียกว่าการวิเคราะห์เชิงเทคนิค ตัวชี้วัดพวกนี้ก็สร้างมาจากสูตร math / statistic คือดูกราฟแล้วเก็งว่า ในช่วงไหนราคาจะขึ้น จะลง (วิธีนี้มีความเชื่อในแง่กราฟสถิติ ว่าทำให้เราเก็งราคาอนาคตของสิ่งที่จะดูได้ ซึ่งหากไม่มีอะไรแปลกๆแรงๆมากระทบตลาด ก็เชื่อกันว่ามันจะเก็งแนวโน้มได้)

บางคนก็ดูสองวิธีควบกัน บางคนก็เจาะลึกไปในแบบเดียว บางคนไม่ได้ใช้อะไรเลย ใช้เดา แบบเก็งไฮโล นี่คือการเทรด (เล่น) หุ้น

ส่วน Forex ก็เป็นอนุพันธ์ประเภทนึง ที่ยังไม่มีกฎหมายรองรับการเทรดในไทย แต่ในไทยมีอนุพันธ์ประเภทอื่นที่เทรดแบบถูกกฎหมายแล้วก็มี เช่น Gold future / AFET

อนุพันธ์เทรดต่างจากหุ้นยังไง ?
คือจะเสี่ยงกว่า – ผลตอบแทนสูงกว่า ในเวลาสั้นๆทำกำไรได้เยอะ (และขาดทุนได้เยอะเหมือนกันในมุมกลับ) แล้วมันเป็น zero sum game

อย่าง Gold future ที่เทรดได้แบบถูกกฎหมายไทย มันก็คือการเก็งราคาทองในอนาคต
เวลาเก็งนี่ มันจะมีคนเก็งตรงข้ามกันเสมอ เช่น นาย ก เก็งว่าทองราคาจะสูงขึ้น นาย ข เก็งว่าราคาทองจะลดลง ใน 3 เดือนข้างหน้า

ตลาดจะจับคู่การเก็งที่ตรงข้ามกันมาทำสัญญากัน สมมุติทั้งคู่ลงกันคนละหมื่นเพื่อเก็งตรงข้ามกัน
หากสามเดือนข้างหน้า ราคาทองขึ้น นาย ก เก็งถูก ก็ได้ตังค์ นาย ข เสียตังค์ (จะมองว่าเป็นการพนันก็ใช่ แต่อันนี้ถูกกฎหมาย และจริงๆโลกนี้มันก็คือการพนันแทบทั้งนั้น หากจะมองจริงๆ)

อันนี้คือจุดต่างจากหุ้น คือมันเป็น zero – sum game มีคนได้ คนเสีย ขึ้นกับใครเก็งแม่นกว่า (ขณะที่หุ้น เป็นการซื้อหุ้นต่อๆกัน เหมือนเราซื้อทองมาเก็บไว้ แล้วราคามันขึ้นลง เราก็เลือกจะขาย ไม่ขายนั่นแหล่ะ)

จริงๆมันไม่เชิงเกิดมาเพือการเก็งกำไรแบบเดียว อนุพันธ์มันเกิดขึ้นมาเพือ ลดความเสี่ยงด้วย
เช่น การทำสัญญาล่วงหน้าสินค้าเกษตร ชาวนาทำสัญญาล่วงหน้ากับนายทุน ว่าจะขายข้าวได้ในราคาเกวียนละ 20000 ให้นายทุนในอีก 4 เดือนข้างหน้า หากสี่เดือนข้างหน้าข้าวมันราคาสูงกว่า 20k ชาวนาก็ต้องขายในราคาแค่ 20 k เพราะทำสัญญาไปแล้ว
สัญญาล่วงหน้าแบบนี้มันเลยขึ้นกับการเก็งของทั้งสองฝั่ง แล้วก็เป็นการประกันว่าชาวนาจะขายข้าวได้ และนายทุนมีข้าวจะป้อนเข้าโรงสีเพื่อไปส่งออก อันนี้คือที่มาจริงๆของระบบอนุพันธ์

ถ้าดูแบบง่ายๆ สมมุตินาย ค ซื้อหุ้นมา PTT แล้วอยากลดความเสี่ยง (กลัวหุ้นตก) ก็ทำการซื้อสัญญาอนุพันธ์สวนไว้ (สรุปคือเล่นทั้งหุ้น – อนุพันธ์) โดยสัญญาอนุพันธ์ที่ซื้อ จะเก็งว่า หุ้นตก (แล้วได้ตังค์)
ดังนั้น หากหุ้นขึ้น นาย ค ก็จะได้ตังค์จากหุ้น แต่เสียตังค์ให้อนุพันธ์ แต่หากหุ้นลง นาย ค จะได้ตังค์จากอนุพันธ์ แต่ขาดทุนหุ้น (หักลบกัน ทำให้ไม่เสี่ยงเกินไป) อันนี้คือการใช้อนุพันธ์มาปกป้องความเสี่ยง ในแง่เครื่องมือการลงทุน

(ทำไปทำไม นาย ค อาจหวังเงินปันผลรายปี ไม่ได้กะรวยจากราคาหุ้นขึ้นลง / เหตุผลอื่นๆอีกมากมาย)

ดังนั้นอนุพันธ์มันไม่ได้เป็นเรื่องน่ากลัวอะไร มันก็เกิดจากสัญญาซื้อขายล่วงหน้า – การเก็งที่แต่คนมองต่างกัน – ใช้ในการลดความเสี่ยงในการลงทุนได้ (และจะใช้ในการเล่นพนันก็ได้เหมือนกัน)

Forex ก็เป็นอนุพันธ์อีกแบบนึง คือ มันจะดูสองสกุลเงินเทียบกัน เช่น USD / JPY UK/USD สมมุติหากดู USD – EURO นาย ก เก็งว่า USD ในอนาคต น่าจะแข็งขึ้น (Euro อ่อนลง) ขณะที่นาย ข เก็งตรงข้าม
ตลาดก็จะจับคำสั่งเทรดของทั้งคู่มาแมชกัน ใครเก็งถูกได้ตังค์ (เหมือนที่อธิบาย Gold future ของไทยนั่นแหล่ะ) นี่คือพื้นฐานที่เกิดขึ้น

ปัญหาคือ ทำยังไงถึงจะเก็งแม่น (อันนี้คำถามโลกแตก)

มันก็ใช้ศาสตร์เดียวกับการเก็งหุ้นนั่นแหล่ะ คือมีสองแนวใหญ่ๆ
วิเคราะห์พื้นฐาน / วิเคราะห์เทคนิค (กราฟ) ที่อ่านพวกเทรนด์ macd / bolinger band / bla bla bla ถ้าอ่านเก่งก็เหมือนมีผู้ช่วยแนะนำให้เลือกเทรดขาไหน

ส่วนโปรแกรมที่เรียกกันว่า EA มันก็พัฒนามจากความรู้พื้นฐานเทคนิคกราฟนั่นแหล่ะ สมมุติตัวอย่างเช่น หากเรารู้ว่า macd 15 วัน ตัดกับ macd 30 วันของกราฟหุ้น PTT + volume การเทรด 600 ล้านในตลาด = สัญญาณขาขึ้น เราจะซื้อหุ้น ptt แล้วคราวนี้ขี้เกียจคอยส่งคำสั่ง กับคอยนั่งเฝ้าจอเอง ก็เลยทำเป็นโปรแกรมโดยใส่เงื่อนไขนี้ไว้ ถ้ามันเข้าเงื่อนไขนี้ก็ให้ระบบทำการซื้อหุ้น PTT นี่คือโปรแกรม (ซึ่งก็ต้องอาศัยความรู้พื้นฐานจากการวิเคราะห์กราฟนั่นแหล่ะ)

ความรู้เรื่องกราฟนี่เป็นความรู้ปกติ ไม่ได้เป็นเรื่องหลอกลวงหรือการพนัน เพราะมันก็ math – stat ปกติ เพียงแต่เอามาใช้กับกราฟหุ้น – ทอง – forex (ใช้หลักเดียวกันหมดเลย) ดังนั้นหากอ่านกราฟเป็น เทรดอะไรก็เหมือนๆกัน
เพียงแต่ จะเทรดเก่งไหม ขึ้นกับความเก่งของการวิเคราะห์กราฟของแต่ละคน

มันต้องพยายามพอควร ดังนั้นเลยเจอบ่อยๆที่เขาจะเตือนกันว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ศึกษาข้อมูลก่อนทุกครั้ง อย่าเข้าไปเทรดแบบการพนันที่ใช้แต่ดวง แต่ให้เข้าใจพวกวิธีวิเคราะห์อย่างดีเสียก่อน ไม่งั้นส่วนใหญ่เทรดแล้วขาดทุน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13/มิ.ย./2017 09:11:54 โดย นักศึกษา22 »
  • นักศึกษา22

  • ***
  • สถานะ: ออฟไลน์
  • พลังน้ำใจ: 0 | กระทู้ 201
  • เพศ: ไม่ระบุ
วิธีเปิดบัญชี forex exness อย่างละเอียด 2023 ทีละขั้นตอน | วิธีสมัคร Forex Update 2566



 

SMF 2.0.15 | SMF © 2011, Simple Machines
SMFAds for Free Forums