แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Tamol

หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 17
61
ความคิดที่แตกต่างไม่เหมือนกันอาจเป็น ชนวนให้เกิดความแตกแยกในสังคมหลายๆประเทศ แต่ถ้าลองคิดต่างอย่างสร้างสรรค์ล่ะก็ นอกจากจะไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันแล้ว เผลอๆอาจทำเงินทำทองให้ อย่างมหาศาล เปลี่ยนสถานะจากคนตกงานไร้อนาคตขึ้นแท่นเป็นสุดยอดมหาเศรษฐีอันดับท็อปๆของ โลกเพียงชั่วข้ามคืน

จะว่ากันไปแล้ว คนกล้าคิดต่างอย่างสร้างสรรค์ก็มีอยู่ไม่น้อยในสังคมโลก แต่รายที่คิดต่างมีไอเดียน่าทึ่ง ทั้งๆที่อายุยังน้อย คงไม่มีใครโด่งดังเกินหน้า มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก แฮ็กเกอร์หนุ่มจากฮาร์วาร์ด ผู้ก่อตั้ง Facebook เครือข่ายสังคมออนไลน์ขนาดใหญ่สุดของโลก จนโด่งดังเปรี้ยงปร้างไปทั่ว และได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารไทม์ให้เป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก ประจำปี 2008 ขณะอายุเพียง 23 ปี โดยปัจจุบันมีผู้ใช้เฟซบุ๊กมากกว่า 400 ล้านคน นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเมื่อ 6 ปีก่อน วันที่ 4 ก.พ. ปี 2004

ย้อนกลับไปในวัยเด็ก "มาร์ค" มีชีวิตแสนจะธรรมดา เขาเกิดในครอบครัวอเมริกันเชื้อสายยิว เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ปี 1984 โตมาในย่าน ดอบส์ เฟอร์รี รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา มีพ่อเป็นหมอฟันและนักจิตวิทยา ชีวิตวัยเด็กของเขาค่อนข้างจะสุขสบาย ไม่เคยผ่านความลำบากยากจน เขามีพี่น้อง 4 คน ทว่า เป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน เป็นเด็กเรียนเก่งออกแนวเนิร์ดๆ ชอบขลุกอยู่แต่ในห้อง
"มาร์ค" เริ่มเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นตั้งแต่เรียนชั้นประถม พอขึ้นชั้นมัธยม ก็ร่วมกับเพื่อน เขียนปลั๊กอินสำหรับโปรแกรม Winamp ในเครื่องเล่น MP3 เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างรายการเพลงโปรดส่วนตัวโดยอัตโนมัติ และหลังจากเขานำไอเดียสุดจ๊าบโพสต์บนอินเตอร์เน็ตให้ดาวน์โหลดฟรี ก็ ได้รับโทรศัพท์จากค่ายบริษั  ทยักษ์ใหญ่AOL และไมโครซอฟท์ ชักชวนให้ไปทำงานด้วย กระนั้น เขาปฏิเสธความหวังดี เพราะรู้ทันว่าจะถูกฮุบไอเดียไปฟรีๆ และตัดสินใจเข้าเรียนต่อด้านคอมพิวเตอร์ ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เพื่อรอโอกาสทองในการสร้างผลงานมาสเตอร์พีซ
ไอเดียสำคัญที่จุดประกายให้นักศึกษาวิชาคอมพิวเตอร์ วัย 20 ปีคนนี้ ลุกขึ้นทำเฟซบุ๊กเกิดจากความหมกมุ่นอยู่กับเรื่องคอมพิวเตอร์ และการเขียนโปรแกรม จนค้นพบปัญหาว่ามหาวิทยาลัยระดับโลกอย่างฮาร์วาร์ดไม่มีระบบหนังสือรุ่นทาง ออนไลน์ เขาจึงนำไอเดียไปเสนอเพื่อขอจัดทำ แต่กลับถูกมหาวิทยาลัยปฏิเสธ โดยบอกว่าไม่มีนโยบายให้นักศึกษาเข้าถึงข้อมูลดังกล่าว

กระนั้น ด้วยความคันไม้คันมือ และอยากเอาชนะ เขาจึงสวมวิญญาณแฮ็กเกอร์เจาะเข้าไปในระบบทะเบียนประวัตินักศึกษาของฮาร์วา ร์ด ดึงรูปนักศึกษาและประวัติส่วนตัวจากฐานข้อมูลมหาวิทยาลัยมาใส่ในเว็บไซต์ Facemash พร้อมกันนี้ยังเชิญชวนเพื่อนๆนักศึกษาเล่นเกม Hot or Not โดยโพสต์รูป นักศึกษาให้เพื่อนๆเข้ามาช่วยกันโหวตว่าใครฮอต หรือไม่ฮอต ผลตอบรับดีเกินคาด เพราะภายในเวลาแค่ 4 ชั่วโมง มีนักศึกษาเข้ามาโหวตถึง 450 คน สร้างสถิติคลิกชม 22,000 ครั้ง แต่แทนที่จะได้รับเสียงชมจากอาจารย์ เขากลับถูกมหาวิทยาลัยลงโทษระงับการใช้อินเตอร์เน็ต

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาลุยต่อเพื่อสร้าง Facebook โดยเขานั่งเขียนโปรแกรมอยู่ในหอพักมหาวิทยาลัย และได้รับความช่วยเหลือจากรูมเมต "ดัสติน มาสโควิตซ์" ซึ่งภายหลังได้กลายมาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งเฟซบุ๊ก และรั้งตำแหน่งวีพีด้านเอนจิเนียริ่ง แรกเริ่มเขาพยายามเชิญชวนเพื่อนๆนักศึกษาส่งรูปและข้อมูลส่วนตัวเข้ามาโพสต์ บนเว็บไซต์ ซึ่งมีคนส่งรูปเข้ามาถึง 500 รูป ต่อมาได้พัฒนาโปรแกรมโดยสร้างเว็บเพจให้ เพื่อนร่วมชั้นสามารถส่งอีเมล์เข้ามาช่วยกันเขียนความคิดเห็น และเพิ่มเติม ประวัติได้อย่างไม่จำกัด ปรากฏว่าได้รับการตอบรับอย่างดีจากเว็บไซต์ เพื่อสร้างสัมพันธ์ในหมู่นักศึกษาฮาร์วาร์ด จึงขยายความฮิตฮอตไปยังมหาวิทยาลัยอื่นๆกว่า 30 สถาบัน

ชีวิตของเขาต้องมาถึงทางแยก เมื่อเขากับเพื่อนๆชวนกันเดินทางไปดูลาดเลาที่พาโล อัลโต ซึ่งเป็นซิลิคอน วัลเลย์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อหาเงินลงทุนก่อตั้งบริษัท และพัฒนาเว็บไซต์ ตอนนั้น พวกเขายังมีแผนจะกลับมาเรียนต่อในช่วงเปิดเทอม แต่ท้ายสุด เมื่อได้รับไฟเขียวอนุมัติเงินลงทุนถึง 500,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ภาพของ "บิลล์ เกตส์" ผู้สร้างตำนานลาออกจากฮาร์วาร์ด เพื่อมาสร้างไมโครซอฟท์ จึงผุดขึ้นตรงหน้า ทำให้ตัดสินใจทิ้งปริญญา และบอกกับตัวเองว่า ถ้าไมโครซอฟท์เจ๊งเมื่อไหร่...จะกลับไปเรียนฮาร์วาร์ดทันที!!

เดี๊ยวมีต่อนะคะว่าพอรวยแล้ว กลายเป็นมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในโลก สร้างสินทรัพย์เข้ากระเป๋าได้ถึง 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ชีวิตของอัจฉริยะหนุ่มคนนี้ จะเปลี่ยนไปขนาดไหน?!

มิสแซฟไฟร์

Bump: มารู้จักหนุ่มน้อยเจ้าของเฟสบุ๊คกันต่อจ้า


" เหลือเชื่อยิ่งกว่าเหลือเชื่อ จากเด็กหนุ่มไร้ปริญญา ไม่มีรถขับ ไม่มีงานทำ บ้านก็ต้องเช่าข้าวก็ต้องซื้อมาจนถึงทุกวันนี้ ดอกผลจากความพยายามไม่ลดละ บวกกับความอัจฉริยะเหนือชั้น ทำให้แฮ็กเกอร์หนุ่มจากฮาร์วาร์ด มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวจนรวยระเบิดเถิดเทิง ขึ้นแท่นเป็นมหาเศรษฐีอายุน้อยที่สุดอันดับหนึ่งของโลก ที่สร้างฐานะด้วยลำแข้งตัวเอง ภายในเวลาแค่ 6 ปี โดยเมื่อกลางปีก่อน เพิ่งขายเศษหุ้นให้ นายทุนรัสเซียไปได้ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และปัจจุบันสร้างสินทรัพย์เข้ากระเป๋าไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ!!"

อะไรจะรวยง่ายรวยคล่องขนาดนั้น?! แต่ก็ต้องยอมรับในความเนื้อหอมของหนุ่มน้อยวัย 25 ปีคนนี้ ผู้ก่อตั้ง Facebook ให้เป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ขนาดใหญ่ที่สุดของโลก สาเหตุที่เฟซบุ๊กเนื้อหอม มีแต่นักลงทุนรุมตอมอยากจะดองด้วย ก็เพราะฐานลูกค้าของเฟซบุ๊กเติบโตอย่างรวดเร็วราวกับติดจรวด จากจำนวนผู้ใช้ในยุคก่อตั้งสตาร์ตไม่ถึงล้านคน ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการทะยานขึ้นเป็น 400 ล้านคนทั่วโลกแล้ว โดย 70% เป็นลูกค้าที่อยู่ นอกประเทศสหรัฐอเมริกา...สำหรับนายทุนใหญ่ๆแล้ว ดีดลูกคิดยังไงจึงคุ้ม ยิ่งกว่าคุ้ม เมื่อได้แลกกับการเข้าถึงฐานลูกค้าของเฟซบุ๊ก

ก็เพราะอย่างนี้เอง จึงไม่น่าแปลกใจที่รุ่นพี่ฮาร์วาร์ดเช่น "บิลล์ เกตส์" ผู้สร้างตำนานลาออกจากมหาวิทยาลัย เพื่อมาก่อตั้งไมโครซอฟท์ จะเป็นนักลงทุนรายแรก ที่ยอมควักกระเป๋าจ่ายเงิน 240 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา แม้จะมีค่ายอินเตอร์เน็ตใหญ่ๆหลายราย รวมถึง Google และ Yahoo ตามขายขนมจีบ อยากขอซื้อหุ้นเฟซบุ๊ก เพื่อแบ่งปันความรวยบ้าง แต่ด้วยวิสัยทัศน์กว้างไกลของซีอีโอหนุ่มไฟแรงแห่งเฟซบุ๊ก เขากลับตัดสินใจขายหุ้นนิดหน่อยให้กับกลุ่มนักลงทุนอินเตอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ สัญชาติรัสเซีย "ดิจิตอล สกาย เทคโนโลยีส์" หรือ DST เพื่อแลกกับการเจาะตลาดเฟซบุ๊กในแถบรัสเซีย และยุโรปตะวันออก ซึ่ง DST เป็นเจ้าธุรกิจและนายทุนใหญ่คุมตลาดอินเตอร์เน็ตทั้งภูมิภาคดังกล่าว

ดีลประวัติศาสตร์อีกครั้งของเฟซบุ๊ก ตกลงกันสำเร็จเมื่อเดือน พ.ค.ปีที่แล้ว โดยฝ่ายนายทุนหมีขาวใจป้ำยินดีจ่ายเงิน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แลกเปลี่ยนกับหุ้นบุริมสิทธิแค่ 1.96% ของหุ้นเฟซบุ๊ก ซึ่งขณะนั้นมีมูลค่ารวม 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมรับปากว่าจะไม่มีตัวแทนในบอร์ดบริหาร และไม่ก้าวก่ายเรื่องการบริหาร ซึ่งถือเป็นแนวทางสำคัญของเฟซบุ๊กตลอดมา


ถึงแม้จะร่ำรวยทั้งเงินทองและชื่อเสียงชนิด หาตัวจับยาก แต่ทุกวันนี้ ซีอีโอหนุ่มแห่งเฟซบุ๊กยังคงใช้ชีวิตสมถะไม่แตกต่างจากเดิม เขาชอบสวมสเวตเตอร์เชิ้ตสีน้ำตาล กับกางเกงสแล็กสีกากีง่ายๆ และรองเท้าแตะอาดิดาสคู่โปรด ยังคงเช่าอพาร์ตเมนต์เล็กๆ อยู่ใกล้ออฟฟิศทำงานย่านพาโล อัลโต ซึ่งเป็นซิลิคอน วัลเลย์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เหมือน เมื่อครั้งเริ่มก่อตั้งเฟซบุ๊กใหม่ๆ ภายในห้องมีแค่ฟูกนอนราคาถูก โต๊ะทำงานตัวเดียว กับเก้าอี้สองตัว ส่วนอาหารเช้าของมหาเศรษฐีหลายพันล้าน ก็ยังเป็นซีเรียลใส่นมในชามกระดาษกับช้อนพลาสติก และใครจะเชื่อว่าเขายังขี่จักรยาน หรือไม่ก็เดินไปทำงานทุกวัน...โคตรฉลาดและสมถะขนาดนี้ ถ้าไม่รวยก็บ้าแล้ว!! แลกกับหุ้นเฟซบุ๊กเพียงน้อยนิดแค่ 1.6% เมื่อปลายปี 2007 ตั้งแต่เฟซบุ๊กให้ บริการมาได้แค่ 3 ปี และมีผู้ใช้บริการเพียง 50 ล้านคน ขณะนั้น รายได้ ของเฟซบุ๊กก็ยังไม่มาก มายเท่าทุกวันนี้ โดยสามารถทำเงินเพียง 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีสินทรัพย์รวมไม่ถึง 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

กระนั้น การตัด สินใจของไมโครซอฟท์ หนุนส่งให้มูลค่าตลาดของเฟซบุ๊กเพิ่มขึ้นเป็น 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในชั่วข้ามคืน ช่วงเวลานั้น มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไมโครซอฟท์คงกินยาผิด ถึงได้ตัดสินใจขี่ช้างจับตั๊กแตนขนาดนั้น แต่นักวิเคราะห์ที่รู้จริงกลับเดาทางถูกว่า เงินแค่ 240 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยมาก เมื่อเทียบกับสิ่งที่ไมโครซอฟท์หมายมั่นปั้นมือ นั่นคือ การแลกกับสินทรัพย์มหาศาลที่มองไม่เห็นในงบดุล จากการเข้าถึงฐานลูกค้าจำนวนหลายสิบหลายร้อยล้านคนของเฟซบุ๊ก โดยเฉพาะลูกค้าต่างประเทศ และลูกค้าในวัยหนุ่มสาว ซึ่งไมโครซอฟท์ยังเข้าไม่ถึง

และผลจากความเนื้อหอมครั้งนี้ ทำให้ชื่อของ "มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก" ติดทำเนียบบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลกเป็นครั้งแรก จากการจัดอันดับของนิตยสารไทม์ เมื่อปี 2008 ขณะอายุแค่ 23 ปี และยังได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารฟอร์บส์ ให้เป็นมหาเศรษฐีหน้าใหม่อายุน้อยที่สุดในโลก ที่สร้างฐานะด้วยตัวเอง โดยมีสินทรัพย์ในครอบครอง 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
โค๊ด: [Select]
http://www.thaiforexschool.com/viewfulldetial.php?id=55&&name=%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%84%20%E0%B8%8B%E0%B8%B1%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%81%20%E0%B9%81%E0%B8%AE%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C

62
ข้อที่ 5: เริ่มตั้งแต่อายุน้อย

ในเรื่องของการลงทุนนั้น ผมคิดว่าการเริ่มตั้งแต่อายุน้อยนั้นเป็นสิ่งที่จะทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงและเป็นเศรษฐีได้ง่ายที่สุด แนวทางข้อนี้ค่อนข้างจะต้องสัมพันธ์กับข้อสอง นั่นคือ ถ้าคุณสามารถค้นพบตัวเองว่าเก่งทางไหนตั้งแต่อายุน้อย ความสำเร็จก็ไม่หนีไปไหน เพราะประสบการณ์ไม่เคยเกี่ยวระหว่างถูกหรือผิด ทั้งคู่สามารถช่วยให้เราก้าวไปสู่สิ่งที่ฝันได้ เพียงแต่เราถูกสอนมาว่า ความผิดเป็นอะไรที่ไม่ดี เป็นอะไรที่ไม่ควรทำ แต่สำหรับโลกแห่งการลงทุนความผิดพลาดคือครูชั้นยอดเลยละครับ ยิ่งเราได้เรียนรู้ได้ผิดพลาดตั้งแต่เด็ก ๆ มันจะทำให้เราโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพครับ เพราะเด็กสามารถเรียนรู้ได้เร็วกว่าผู้ใหญ่ การที่มีพื้นฐานการลงทุนตั้งแต่เด็ก ๆ ถือว่าได้เปรียบเอามาก ๆ เลยครับ

 

ข้อที่ 6: อย่าตั้งเป้าหมาย ลงมือทำให้สำเร็จทีละน้อย

เดินหน้าไปทุกวัน เป้าหมายหรือแผนธุรกิจนั้น พอเขียนเสร็จก็ล้าสมัยแล้ว มหาเศรษฐีบางคนไม่มี Business Plan และไม่ตั้งแม้แต่เป้ายอดขายด้วยซ้ำ ข้อนี้ฟังดูเหลือเชื่อ ผมคิดว่าเป้าหมายคงอยู่ในใจและเป็นเป้ากว้างๆ ที่จะช่วยบอกทิศทาง พวกเขาเน้นที่การปฏิบัติว่าต้องได้ผลมากกว่าการตั้งเป้าแต่ปฏิบัติไม่สำเร็จ นักลงทุนเองก็ควรคิดว่า Execution หรือการปฏิบัตินั้น สำคัญกว่าเป้าหมายมาก ถ้าเราลงทุนแล้วพอร์ตเราโตขึ้นเรื่อยๆ นี่แหละความสำเร็จ

 

ข้อที่ 7: อย่ากลัวความล้มเหลว

ทางเดียวที่จะประสบความสำเร็จก็คือ กล้าที่จะล้มเหลว และล้มเหลวต่อหน้าสาธารณชนด้วย ทุกคนจะต้องเคยล้มเหลวมาบ้าง ไม่มีใครประสบความสำเร็จตลอดโดยที่ไม่มีความล้มเหลวมาคั่น  ถ้าเรากลัวความล้มเหลว เราจะไม่กล้าทำอะไร ว่าที่จริง ไม่มีคำว่าล้มเหลวยกเว้นว่าคุณจะเลิก การลงทุนนั้นก็เช่นเดียวกัน ไม่มีทางที่คุณจะประสบความสำเร็จตลอด อย่าเลิกเมื่อขาดทุนหนัก สู้ต่อไป วันหนึ่งเราจะชนะ

หลาย ๆ คนที่อ่านบทความนี้อาจจะอยากเพิ่มเติมกฎเข้าไปเพิ่มตามสไตล์ของแต่ละคนซึ่งก็ไม่ผิดครับ อย่างเช่นของผมผมก็อยากจะเพิ่มเรื่อง การหมั่นอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเทรด และเรื่องของ การไม่ยึดติด เข้าไปด้วย การอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเทรดถึงแม้บางครั้งเราจะไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของผู้เขียน แต่การที่เราไม่เห็นด้วยก็แปลว่าเราได้เจออีกหนึ่งทางที่ไม่เหมาะสมกับตัวเรา ดีกว่าเราไปเสียเวลาลองเทรดเอง นอกจากนี้การที่เราไม่เห็นด้วยยังแปลว่า เราได้คิดและวิเคราะห์ถึงเรื่องที่ได้อ่านแล้ว การที่เราได้อ่านหนังสือได้หาข้อมูลเกี่ยวกับการเทรดมาก ๆ มันจะทำให้ผู้อ่านเกิดคำถามและก็จะนำไปสู่การพิสูจน์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เทรดเดอร์พึงกระทำอยู่แล้วครับ

นอกจากนี้เรื่องของการไม่ยึดติดที่ผมอยากจะเพิ่มก็คือ บางทีการที่เราได้รับข้อมูลมาเมื่อเราพิจารณาและนำไปใช้แล้ว เราต้องตระหนักไว้เสมอว่า อย่าไปยึดติดว่าสิ่งที่เรียนร็มาจะถูกต้อง 100% ตลอดกาล ในเมื่อกราฟเปลี่ยนไปทุกวันดั่งสายน้ำที่ไหลตลอดเวลา และสายน้ำนั้นถึงแม้จะไหลในลำธารเส้นเดิมแต่ไม่มีทางที่จะไหลเหมือนเดิมทุกครั้ง หากตัวผู้เทรดมีความคิดที่ไม่ยึดติด ยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้ คุณจะมีความสุขกับการเทรดขึ้นมากครับ

 
โค๊ด: [Select]
http://www.thaiforexschool.com/viewfulldetial.php?id=329&&name=%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%207%20%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2%20100%20%E0%B8%84%E0%B8%99%20(%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD)

63
W.Randall Jones เขียนหนังสือชื่อ The Richest Man In Town โดยการสัมภาษณ์และวิเคราะห์คุณสมบัติ นิสัย แนวความคิด ปรัชญาการใช้ชีวิต และอื่นๆ ของคนที่รวยที่สุดในเมืองต่างๆ ของอเมริกาจำนวน 100 คน เขาพบลักษณะร่วมของคนที่เป็นมหาเศรษฐี 7 ประการ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง วันนี้เอาไปก่อน 4 ข้อส่วนอีก 3 ข้อที่เหลือจะมาต่อในวันพรุ่งนี้นะครับ

ข้อที่ 1: ไม่หาเงินเพื่อเงิน

การทำอย่างนั้นคุณจะไม่ได้เงิน เงินจะมาก็ต่อเมื่อคุณทำในสิ่งที่ถูกต้อง และด้วยวิธีที่ถูกต้อง ทำในสิ่งที่คุณรักและมีความหลงใหลที่จะทำ คุณต้องทำในสิ่งที่มีคุณค่าเป็นประโยชน์ แล้วเงินจะมาเอง มันเป็นผลพลอยได้ ในมุมของการเทรด ผมคิดว่ามันถูกต้องตรงกัน อย่าลงทุนแบบจ้องหาหรือหมกมุ่นกับผลตอบแทนเกินไป มีความสุขกับการลงทุน ทำหรือเลือกลงทุนอย่างถูกต้อง เงินจะมาเอง

 

ข้อที่ 2: รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร

รู้จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง ที่สำคัญต้องรู้ว่า อะไรคือความสามารถหรือความเชี่ยวชาญที่สุดของตัวเอง ถ้าคุณคิดว่าต้องไปทำงานทุกวัน นั่นก็ผิดแล้ว งานจะไม่ใช่งานถ้าคุณทำแล้วมีความสุขและเป็นสิ่งที่คุณอยากทำ วอเร็น บัฟเฟตต์เคยบอกกับอดีตภรรยาที่ล่วงลับไปในตอนที่แต่งงานกันใหม่ๆว่า เขาจะต้องรวย เหตุผลไม่ใช่เพราะเขาทำงานหนักหรือมีความเก่งเป็นพิเศษ แต่เป็นเพราะเขาเกิดมาด้วยทักษะที่ถูกต้อง ในสถานที่ที่ถูกต้อง และในเวลาที่ถูกต้อง นั่นคือ ทักษะในการจัดสรรเงินทุน หรือก็คือ การลงทุนนั่นเอง

 

ข้อที่ 3: เป็นนายของตัวเอง

คุณไม่สามารถรวยได้โดยการทำงานให้คนอื่น เรื่องนี้ผมคงไม่ต้องอธิบายกับเทรดเดอร์นักเพราะ ทุกคนเป็นนายของตัวเอง

ข้อที่ 4: เสพติดความทะเยอทะยาน

คนเราทุกคนต่างก็เสพติดอะไรบางอย่างหรือหลายอย่างในชีวิต เราติดกาแฟ ติด Internet ติดเหล้า ติดเซ็กส์ ติดอำนาจ เราต้องคิดว่าติดอะไรแล้วจะเป็นประโยชน์  มหาเศรษฐีบอกว่า “ไม่มีความมั่งคั่งถ้าไม่มีความทะเยอทะยาน” ทำอะไรสำเร็จแล้วก็ต้องพยายามทำให้สูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ความทะเยอทะยานนั้นมีด้านมืด มันอาจทำให้เรามีความมั่นใจในตัวเองสูงเกินไปและเป็นอันตราย ความทะเยอทะยานนั้นควรจะมีวัตถุประสงค์ชัดเจนและเราจะต้องไม่ปล่อยให้มันอยู่เหนือการควบคุมของเรา

โค๊ด: [Select]
http://www.thaiforexschool.com/viewfulldetial.php?id=327&&name=%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%207%20%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2%20100%20%E0%B8%84%E0%B8%99

64
เคล็ดลับการลงทุน จาก Warren Buffet

"Warren Buffet" ถือเป็นตำนานของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Volume Investor) หรือ VI บุคคลผู้นี้ถือเป็นแบบอย่างในการลงทุน ไม่เพียงแต่นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าในตลาดหุ้นเท่านั้นที่ศึกษาวิธีคิดและวิธีการลงทุนของเขา แม้แต่ในนักลงทุนในตลาดทุนอื่นๆก็มีความสนใจแนวความคิดของเขามิใช่น้อย เพราะว่าแนวคิดในการลงทุนไม่ว่าจะอยู่ในตลาดไหนก็สามารถนำแนวคิดมาปรับใช้ได้เหมือนกัน

ทีนี้เราลองมาดูกันว่า แนวความคิดข้อไหนของบัฟเฟตต์ที่เราจะนำมาปรับใช้กับการลงทุนของเราในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราได้บ้าง



ข้อ 1 เลือกความเรียบง่ายมากกว่าความซับซ้อน

บัฟเฟตต์แนะนำว่า “เมื่อลงทุน ทำให้เรียบง่าย ชัดเจน อย่าพยายามหาคำตอบที่ซับซ้อน จากคำถามที่ซับซ้อน”

ทำให้ง่าย คือ เป้าหมายของเรา ดังนั้นเราก็ควรซื้อขายตามพื้นฐานจากข่าวสารต่างๆที่ได้รับมา นโยบายของประเทศเป็นอย่างไร สภาวะเศรษฐกิจเป็นอย่างไร เมื่อเข้าออเดอร์แล้ว ในทางเทคนิคมีสัญญาณซื้อขาย หรือมีสัญญาณให้ออกจากออเดอร์หรือไม่ เป้าหมายอยู่ตรงไหน

และจงลงทุนในสิ่งที่ตัวเองคุ้นเคย เทรดในคู่ที่ตนเองเคยเทรดและรู้พฤติกรรมของมัน อย่าตามคนอื่นเพียงเพราะเห็นว่าเค้าเทรดคู่นี้แล้วได้กำไรเยอะ เพราะสิ่งที่เค้ารู้เราอาจจะไม่เข้าใจก็ได้ หากจะเทรดคู่ไหนควรศึกษาพฟติกรรมราคาให้เข้าใจก่อนลงทุน

 

ข้อ 2 ตัดสินใจลงทุนด้วยตัวคุณเอง

อย่าเชื่อโบรกเกอร์,นักวิเคราะห์ หรือผู้รู้ จงเชื่อตัวคุณเอง แต่ในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะปิดหู ปิดตา ไม่รับข้อมูลใดๆจากพวกเขาเหล่านี้ เพียงแต่เมื่อได้ข้อมูลมาให้เรานำมาวิเคราะห์ แยกแยะ และตัดสินใจด้วยเหตุผล รวมทั้งคุณต้องศึกษาในสิ่งที่จะลงทุนด้วย และไม่ลงทุนโดยฟังมาจากผู้เชี่ยวชาญในตลาดโดยปราศจากการไตร่ตรอง



ข้อ 3 จงมีสติ

 “ปล่อยให้คนอื่นๆตื่นตระหนกไปกับตลาด แล้วเมื่อมันสงบคุณจะได้ประโยชน์จากมัน” การมีสตินั้นยังหมายถึงการมีวินัยเมื่อตลาดพุ่งทะยานขึ้น-ลง และคนอื่นๆกำลังละโมบและดีใจ เพราะสติจะเป็นตัวจักรสำคัญเมื่อสิ่งต่างๆไม่ได้เป็นไปตามที่คุณหวังไว้

เกรแฮมพูดไว้ว่า “ปัญหาใหญ่และศัตรูตัวฉกาจของนักลงทุนคือ ตัวเขาเอง”

บัฟเฟตต์มีเกณฑ์สำคัญที่คุณควรจะนำไปใช้ คือ ถ้าใครไม่สามารถรับความเสี่ยง ก็ไม่ควรเข้ามาลงทุนในตลาดตั้งแต่แรก คุณจะต้องมีความสามารถในการลงทุน และมีความมั่นใจกับมันหรือไม่ก็อย่าลงทุน คุณปู่ยังบอกอีกว่า “มันจะไม่เข้าท่าเลย ถ้าคุณขายหุ้นของบริษัทดีๆเมื่อมีความกลัวลอยอยู่ในอากาศ” ถ้าเปรียบเป็นในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนก็คงเป็นว่า "มันไม่เข้าท่าเลย ถ้าคุณจะขายหมูทั้งๆที่ยังมีแนวโน้มที่ราคาจะไปได้อีกไกล



ข้อ 4 จงอดทน

ชาลี มังเกอร์ พูดถึงเรื่องของความอดทนไว้อย่างน่าสนใจว่า “ความผิดพลาดในการลงทุนเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิด ความอดทนที่น้อยเกินไปคือส่วนหนึ่งของความหงุดหงิดนั้น”

สำหรับบัฟเฟตต์ เป็นนักลงทุนทศวรรษ แทนที่จะเป็นนักลงทุนรายวัน เพราะเขามองหาทางทำกำไรจากบริษัทไม่ใช่การทำกำไรจากตลาดหุ้น ตลาดหุ้นเป็นเพียงแค่สื่อกลางในการที่จะเสนอราคาเท่านั้น ง่ายๆคือ บัฟเฟตต์ ซื้อหุ้นแล้ว Let Profit Run เพียงแต่คุณต้องหาบริษัทที่ดีมากกกกกกกๆๆๆ แล้วกอดมันไว้ แล้วถ้าบริษัทที่ดีนั้น ราคาตก ก็ซื้อเก็บ รอให้ตลาดมองเห็นมูลค่าที่แท้จริงของมัน

ถ้าเป็นในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ก็ก็คือ การทดทนในขณะที่ราคาผันผวน และรอจนกว่าราคาจะวิ่งไปตามทางที่ควรจะเป็น แต่อย่าลืมว่าเราอยู่ในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน หากเราเห็นว่าความคิดของเราผิดพลาด ก็ย่ารอจนล้างพอร์ตซะก่อนล่ะ รีบแก้ไขตมแผนการณ์ที่เตรียมไว้

 

ข้อ 5 ฝึกที่จะอยู่นิ่ง

บัฟเฟตต์ชอบซื้อหุ้น แต่การขายหุ้นนั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิง เขาเปรียบนักลงทุนที่ชอบการเคลื่อนไหวว่า เหมือนกับผึ้งที่ชอบตอมดอกไม้ไปเรื่อยๆไม่มีวันจบสิ้น

เขาแนะนำว่า ถ้าคุณเจอดอกไม้ที่คุณชอบ จงติดอยู่กับมัน พยายามต้านอารมณ์ความเคลื่อนไหวในตัวคุณ การเคลื่อนไหวบ่อยๆ จะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายมากขึ้น เช่น ค่านายหน้า หรือภาษี ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นกับนักลงทุนระยะยาว

การซื้อขายหุ้นเพราะเห็นแก่กำไรเล็กๆน้อยๆ การซื้อขายมากๆ เป็นเครื่องหมายการค้าของนักลงทุนที่โลเล ซึ่งมักจะจบลงด้วยการขาดทุนมากกว่าจะกำไร

ถ้าเปรียบในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ก็คือ การเลือกคู่เงินที่จะเทรด ถ้ามีคู่เงินที่ถนัดและชื่นชอบอยู่แล้ว (อาจจะมากกว่า 1 คู่ แต่ไม่ควรเยอะเกินไป) ก็คงมุ่งมั่นอยู่กับพวกมัน ไม่ควรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และยายามอย่าอ่อนไหวไปกับความผันผวน หลีกเลี่ยงการเปิด- ปิด ออเดอร์ที่บ่อยเกินไป เพราะนอกจะทำให้คุณเสียค่านายหน้ามากขึ้นแล้ว ก็เป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้พอร์ตการลงทุนของคุณเองด้วย

 

ข้อ 6 อย่าตีบอลทุกลูกที่ขว้างมา

วอเร็น พูดว่า”การตัดสินใจลงทุนที่ถูกต้องปีละครั้ง นั้นถือว่าทำได้ดีมากแล้ว” การตัดสินใจลงทุนน้อยคร้ังก็สามารถรับประกันความสำเร็จได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้เขาเปรียบนักลงทุนว่า เหมือนกับผู้เล่นเบสบอลที่ยืนอยู่บนโฮมเบสที่พร้อมจะตีลูก ตลาดหุ้นก็เหมือนกับผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามที่ขว้างลูกมาให้นักลงทุนตีอยู่ตลอดเวลา

แต่บัฟเฟตต์แนะนำว่า อย่าตีบอลทุกลูกที่ขว้างมา จงอดทนแล้วให้ลูกบอลถูกขว้างผ่านไป ให้รอเฉพาะลูกสวยๆ ตีง่ายๆ ที่ถูกขว้างมาแล้วค่อยตี

นั้นก็หมายความว่า อย่าพยายามเข้าออเดอร์ซื้อ-ขาย ตลอดเวลา จงมองข้ามจังหวะที่ไม่แน่นอนยิบย่อย และมองหาเฉพาะโอกาสใหญ่ๆที่เรามั่นใจ เพราะจะทำให้เรามีโอกาสในการทำกำไรได้มากกว่า และมีความเสี่ยงที่น้อยกว่าที่จะเข้าออเดอร์ตลอดเวลา

 

ข้อ 7 ฝึกที่จะคิดให้เป็นอิสระ

บัฟเฟตต์เรียนรู้บทเรียนที่สำคัญมาจาก เบน เกรแฮม นั่นคือ “คุณไม่ถูก และไม่ผิด เพราะว่าคนอื่นๆเห็นด้วยกับคุณ แต่คุณจะถูกเพราะว่าข้อเท็จจริงและเหตุผลของคุณนั้นถูกต้อง”

ไม่ว่าคนส่วนมากหรือคนที่มีชื่อเสียงจะเห็นด้วยกับคุณ มันไม่ได้ทำให้คุณถูกหรือผิด ความคิดที่ถูกนั้นต้องมาจากข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง นั่นจะทำให้คุณถูก นี่คือหัวใจของการคิดอย่างอิสระ และนั่นคือการใช้ข้อมูลและเหตุผลเพื่อหาบทสรุป แล้วยึดอยู่กับบทสรุปนั้น โดยไม่สนใจว่าจะมีหรือไม่มีคนเห็นด้วยกับคุณ

กลยุทธ์การลงทุนใดๆที่อยู่บนพื้นฐานของการทำโพลความคิดเห็นของผู้อื่นมากกว่าการใช้ความคิดของตัวเอง กลยุทธ์แบบนั้นคือกลยุทธ์ที่แย่ที่สุด

 

ข้อ 8 อย่าสนใจการพยากรณ์ตลาด

สิ่งสำคัญก็คือ ให้มองที่ผลของสิ่งได้รับการพิสูจน์แล้ว มากกว่าการมองด้วยการคาดคะเนและการคาดเดา อย่าปล่อยให้การทำนายแหกตาคุณ จงจับจ้องอยู่กับอะไรก็ตามที่สำคัญจริงๆ ติดตามข่าวพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่คำทำนาย ใช้เวลาของคุณไปกับการวิเคราะห์ผลการดำเนินงานในอดีตและในปัจจุบันของนโยบายการเงินของประเทศ เพื่อที่จะได้ข้อมูลและไอเดียเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในอนาคต

มองหาโอกาสที่น่าเชื่อถือ และอย่าปล่อยให้เสียงรบกวนของการทำนายตลาดเข้ามาขวางทางในการติดสินใจของคุณ

ยิ่งตลาดมีการเก็งกำไรมาก มีการแปรปรวนมาก ยิ่งจะทำให้คนหันไปพึ่งพาความช่วยเหลือของการพยากรณ์ตลาดมากเท่านั้น แต่ในเมื่อการพยากรณ์นั้นมีโอกาสน้อยมากที่จะถูก ยิ่งมีคนอ้างว่าการพยากรณ์ของเขานั้นแม่นยำมากเพียงใดในตลาดที่แปรปรวน คุณยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นเท่านั้น

 

ข้อ 9 อย่าทำพลาด แต่ให้เรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่น

ชาลี มังเกอร์ เพื่อนและหุ้นส่วนของบัฟเฟตต์ ให้ความสำคัญกับการศึกษาความผิดพลาด และเรียนรู้ที่จะไม่ทำมันซ้ำสอง

แต่ในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน การเกิดความผิดพลาดถือเป็นเรื่องที่ปรกติมาก แต่ที่สำคัญก็คือ จงเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้น และอย่าทำผิดพลาดซ้ำๆซากๆ เรียนรู้และพัฒนาตนเองจากความผิดพลาด อย่าให้มันเป็นเพียงความผิดพลาดที่ทำให้ต้องเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์
โค๊ด: [Select]
http://www.thaiforexschool.com/viewfulldetial.php?id=369&&name=%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%20%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%20Warren%20Buffet

65
คนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้มักจะมองว่าเศรษฐี หรือคนมั่งมีทั้งหลายมักจะมีแนวคิดและไลฟ์สไตล์ที่ติดหรูมาก ๆ เพราะมีทุนทรัพย์พอที่จะจ่ายเพื่อความหรูหราเหล่านั้น แต่รู้หรือไม่ว่า จริง ๆ แล้วเศรษฐีหลายคนก็มีความคิดและไลฟ์สไตล์แทบจะไม่ต่างจากคนทั่วไปสักเท่าไหร่เลย วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาไปดูมุมมองชีวิตและไลฟ์สไตล์ของเศรษฐีหลาย ๆ คนที่พวกเขาไม่เคยบอก ซึ่งนิตยสาร Reader's Digest ได้รวบรวมไว้ในบทความ "สิ่งที่บรรดาคนรวยไม่เคยบอกคุณ" มาฝากกัน ไปดูกันเลยดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

1. เราคิดว่าส่วนลดจากโบร์ชัวร์ หรือคูปองตามหน้านิตยสาร คือเงินดี ๆ นี่เอง ถ้าหากตัดเก็บไว้ ก็เหมือนกับเรามีเงินจำนวนนั้น ๆ ในกระเป๋า

2. เราหลีกเลี่ยงความสบายได้เสมอถ้าไม่จำเป็น เช่น ในเที่ยวบินที่บินเพียงไม่กี่ชั่วโมง การเลือกที่จะนั่งเครื่องบินชั้นประหยัดแทนชั้นเฟิร์สคลาสที่แพงกว่า 5,000 บาท มันเปรียบได้กับการที่เราได้เงินเพิ่มมาสำหรับใช้จ่าย 5,000 บาทเลยทีเดียว

3. เรากดเงินออกมาใช้เพียงสัปดาห์ละครั้ง เพื่อบังคับตัวเองให้ใช้จ่ายในจำนวนเงินที่มีอยู่ และต้องใช้จ่ายทุกอย่างด้วยเงินสดเท่านั้น

4. แม้เราจะมีเงินเยอะ แต่ก็ยังทานอาหารร้านเดียวกับคนทั่วไป ตัดผมในร้านตัดผมท้องถิ่น นั่นทำให้เรามีเงินเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ เพราะใช้จ่ายไม่ฟุ่มเฟือยนั่นเอง

5. เราเห็นคุณค่าของขยะ เช่น การเก็บคลิปหนีบกระดาษเล็ก ๆ ที่ถูกทิ้งพร้อมเอกสารในถังขยะไว้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อเมื่อยามจำเป็นต้องใช้

6. เรากล้าที่จะเสี่ยงกับการลงทุน เช่น ลงทุนในหุ้นตัวที่มีแนวโน้มว่าจะมีราคาสูงขึ้น แล้วรอขายในเวลาที่เหมาะสม

7. เราเลือกที่จะขอพิจารณาขึ้นเงินเดือนเพียง 9 เดือน แทนการพิจารณา 12 เดือน เพราะจะทำให้เรามีเวลาอีก 3 เดือน ในการขอเพิ่มเงินเดือนหรือโบนัสครั้งต่อไป

8. เราต้องเสียภาษีก้อนโต เป็นจำนวนเงินมากกว่าคนทั่วไปมาก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เราก็จัดการเรื่องภาษีแทนการจ้างทีมบัญชีมาช่วย

9. เราไม่จำเป็นต้องมีเสื้อผ้าเยอะแยะ เราซื้อสูทสวย ๆ 3 ตัว ใส่ทุก ๆ 5 ปี โดยเฉลี่ย ไม่ได้ฟู่ฟ่าซื้อเสื้อผ้ามาเต็มตู้เหมือนที่ใคร ๆ คิดกัน

10. เรายอมรับว่าบางครั้งตัวเองเป็นคนหัวสูง อย่างเวลาที่เราไปบ้านคนอื่น เราไม่ชอบดูทีวีจอเล็ก ๆ หรือฟังเพลงจากสเตอริโอที่เสียงไม่ค่อยดีเท่าไหร่

11. เราไม่ได้ฉลาดเสมอไปนะ เรามีสมองพอ ๆ กับคนทั่วไปนั่นแหละ

12. เราใช้เงินจ้างเพื่อนเก่า ๆ หรือคนรู้จักที่ขัดสนเรื่องเงินมาทำงานให้ แทนการให้เงินเปล่า ๆ (เพราะพวกเขามักจะไม่รับ) แม้งานนั้นจะไม่มีความสำคัญนักก็ตาม

13. บางครั้งเรายังเอาสบู่ก้อนเล็ก ๆ มาแปะเป็นก้อนเดียวกัน ใช้ยาสีฟันจนเกลี้ยงหลอด และปลูกผักกินเองอยู่เลย

14. คนรวยหลายคนไม่ได้ใส่เสื้อผ้าราคาแพง ไม่ได้ใช้กระเป๋าแบรนด์เนมรุ่นใหม่ ไม่ได้อยู่บ้านหลังใหญ่โต และยังใช้รถอายุ 10 ปีอยู่เลย

15. เวลาที่เราซื้อผักและผลไม้ไร้สารพิษจากห้างในราคาแพง เรามักจะค้นหาคำตอบว่าผักผลไม้เหล่านี้มาจากไหน จากนั้นเราก็ไปซื้อโดยตรงจากคนเหล่านั้น

16. เราไม่ได้รับผิดชอบเงินค่าใช้จ่ายของลูกทั้งหมด จากผลสำรวจ 100 ครอบครัวผู้ร่ำรวย พบว่าครอบครัวของคนรวยส่วยใหญ่ไม่ได้ตามใจลูก ๆ ชนิดที่อยากได้อะไรก็ได้ ซ้ำพวกเขาให้ลูก ๆ เรียนรู้ที่จะหาเงินสำหรับเป็นค่าเทอมของตัวเองด้วย

17. เวลาที่เรามีรายชื่อติดหนึ่งในกลุ่มผู้บริหารระดับสูงในหน้าหนังสือพิมพ์ เรามักจะได้รับข้อความจำนวนมากส่งเข้ามาขอเงินเรา

18. เรามองไปรอบตัวเสมอในทุกวัน เพื่อหาไอเดียการลงทุนในชีวิตประจำวันของเรา

19. เราให้ทิปกับช่างผม หรือสาวเสิร์ฟ เมื่อรู้ว่าพวกเขากำลังเดือดร้อน โดยไม่ลังเล

20. ชีวิตของเราส่วนมาก เกี่ยวข้องกับคนที่เรารู้จักมาก่อนและรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ เพราะเรามีทุกวันนี้ได้โดยเริ่มต้นมาจากการจ้างคนใกล้ตัวและรู้จักมาก่อน นั่นเอง

โค๊ด: [Select]
http://www.thaiforexschool.com/viewfulldetial.php?id=406&&name=20%20%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B8%9F%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B2

66
Currency Code คืออะไร มีอะไรให้เราเทรดในตลาด Forex บ้าง

โดยทั่วไปแล้ว การย่อสกุลเงิน จะใช้มาตรฐาน ISO 4217 โดยใช้อักษรย่อ 3 ตัว อักษรย่อสองตัวแรกจะแทน รหัสประเทศ (Country Codes) และอักษรตัวสุดท้ายจะมาจาก ชื่อของสกุลเงิน เช่น THB ซึ่งเป็นคำย่อของเงินบาทไทย มาจาก Thai (TH) และ Baht ส่วน USD ซึ่งเป็นคำย่อของดอลลาร์สหรัฐอเมริกา มาจาก United States (US) และ Dollar เป็นต้น

มาตรฐาน ISO 4217 นอกจากจะใช้กำหนดอักษรย่อสกุลเงินแล้ว ยังกำหนดอักษรย่อของโลหะมีค่า เช่น ทองคำ เงิน พัลลาเดียม และทองคำขาว รวมทั้งอักษรย่อบางอย่างทางด้านการเงินระหว่างประเทศด้วย

 

|A|

 
ADF

Andorran Franc

ADP

Andorran Peseta

AED

United Arab Emirates Dirham

AFA

Afghanistan Afghani

ALL

Albanian Lek

ANG

Netherlands Antillian Guilder

AON

Angolan New Kwanza

ARA

Argentine Austral

ARS

Argentine Peso

ATS

Austrian Schilling

AUD

Australian Dollar

AWG

Aruban Florin (old guilder)

|B|

 
BBD

Barbados Dollar

BDT

Bangladeshi Taka

BEF

Belgian Franc

BGL

Bulgarian Lev

BHD

Bahraini Dinar

BIF

Burundi Franc

BMD

Bermudian Dollar

BND

Brunei Dollar

BOB

Bolivian Boliviano

BRC

Brazilian Cruzeiro

BRL

Brazilian Real

BSD

Bahamian Dollar

BTN

Bhutan Ngultrum

BWP

Botswana Pula

BZD

Belize Dollar

|C|

 
CAD

Canadian Dollar

CHF

Swiss Franc

CLP

Chilean Peso

CNY

Chinese Yuan Renminbi

COP

Colombian Peso

CRC

Costa Rican Colon

CSK

Czech Koruna

CZK

Czech Koruna

CUP

Cuban Peso

CVE

Cape Verde Escudo

CYP

Cyprus Pound

|D|

 
DEM

German Mark

DJF

Djibouti Franc

DKK

Danish Krone

DOP

Dominican Peso

DZD

Algerian Dinar

|E|

 
ECS

Ecuador Sucre

EEK

Estonian Kroon

EGP

Egyptian Pound

ESP

Spanish Peseta

ETB

Ethiopian Birr

EUR

Euro (เป็นสกุลเงินที่ใช้กันในกลุ่มประเทศยูโรโซน อย่าง Belgium, Germany, Spain, France, Ireland, Italy, Austria, Luxembourg, The Netherlands, Portugal, Finland, Slovenija and Greece)

|F|

 
FIM

Finnish Markka

FJD

Fiji Dollar

FKP

Falkland Islands Pound

FRF

French Franc

|G|

 
GBP

British Pound

GHC

Ghanaian Cedi

GIP

Gibraltar Pound

GMD

Gambian Dalasi

GNF

Guinea Franc

GRD

Greek Drachma

GTQ

Guatemalan Quetzal

GWP

Guinea|Bissau Peso

GYD

Guyanan Dollar

|H|

 
HKD

Hong Kong Dollar

HNL

Honduran Lempira

HRK

Croatian Kuna

HTG

Haitian Gourde

HUF

Hungarian Forint

|I|

 
IDR

Indonesian Rupiah

IEP

Irish Punt

ILS

Israeli New Shekel

INR

Indian Rupee

IQD

Iraqi Dinar

IRR

Iranian Rial

ISK

Iceland Krona

ITL

Italian Lira

|J|

 
JMD

Jamaican Dollar

JOD

Jordanian Dinar

JPY

Japanese Yen

|K|

 
KES

Kenyan Schilling

KHR

Kampuchean (Cambodian) Riel

KMF

Comoros Franc

KPW

North Korean Won

KRW

Korean Won

KWD

Kuwaiti Dinar

KYD

Cayman Islands Dollar

KZT

Kazakhstan Tenge

|L|

 
LAK

Lao Kip

LBP

Lebanese Pound

LKR

Sri Lanka Rupee

LRD

Liberian Dollar

LSL

Lesotho Loti

LTL

Lithuanian Litas

LUF

Luxembourg Franc

LVL

Latvian Lats

LYD

Libyan Dinar

|M|

 
MAD

Moroccan Dirham

MGF

Malagasy Franc

MMK

Myanmar Kyat

MNT

Mongolian Tugrik

MOP

Macau Pataca

MRO

Mauritanian Ouguiya

MTL

Maltese Lira

MUR

Mauritius Rupee

MVR

Maldive Rufiyaa

MWK

Malawi Kwacha

MXP

Mexican Peso

MYR

Malaysian Ringgit

MZM

Mozambique Metical

|N|

 
NAD

Namibian Dollar

NGN

Nigerian Naira

NIO

Nicaraguan Cordoba Oro

NLG

Dutch Guilder

NOK

Norwegian Kroner

NPR

Nepalese Rupee

NZD

New Zealand Dollar

|O|

 
OMR

Omani Rial

|P|

 
PAB

Panamanian Balboa

PEN

Peruvian Nuevo Sol

PGK

Papua New Guinea Kina

PHP

Philippine Peso

PKR

Pakistan Rupee

PLZ

Polish Zloty

PTE

Portuguese Escudo

PYG

Paraguay Guarani

|Q|

 
QAR

Qatari Rial

|R|

 
ROL

Romanian Leu

RUB

Russian Rouble

|S|

 
SAR

Saudi Riyal

SBD

Solomon Islands Dollar

SCR

Seychelles Rupee

SDD

Sudanese Dinar

SDP

Sudanese Pound

SEK

Swedish Krona

SGD

Singapore Dollar

SHP

St. Helena Pound

SIT

Slovenian Tolar

SKK

Slovak Koruna

SLL

Sierra Leone Leone

SOS

Somali Schilling

SRG

Suriname Guilder

STD

Sao Tome and Principe Dobra

SVC

El Salvador Colon

SYP

Syrian Pound

SZL

Swaziland Lilangeni

|T|

 
THB

Thai Baht

TND

Tunisian Dinar

TOP

Tongan Pa'anga

TRL

Turkish Lira

TTD

Trinidad and Tobago Dollar

TWD

Taiwan Dollar

TZS

Tanzanian Schilling

|U|

 
UAG

Ukraine Hryvnia

UAK

Ukraine Karbovanets

UGS

Uganda Shilling

USD

US Dollar

UYP

Uruguayan Peso

|V|

 
VEB

Venezuelan Bolivar

VND

Vietnamese Dong

VUV

Vanuatu Vatu

|W|

 
WST

Samoan Tala

|X|

 
XAF

CFA Franc BEAC (เป็นสกุลเงินที่ใช้ในประเทศ Cameroon, the Central African Republic, Chad, Congo, Equatorial Guinea and Gabon)

XAG

Silver (oz.)

XAU

Gold (oz.)

    
XOF

CFA Franc BCEAO (เป็นสกุลเงินที่ใช้ในประเทศ Benin, Burkino Faso, Cote D'Ivoire, Mali, Niger, Senegal and Togo)

XPD

Palladium (oz.)

XPT

Platinum (oz.)

|Y|

 
YUN

Yugoslav Dinar

|Z|

 
ZAR

South African Rand

ZMK

Zambian Kwacha

ZWD

Zimbabwe Dollar

โค๊ด: [Select]
http://www.thaiforexschool.com/viewfulldetial.php?id=388&&name=Currency%20Code%20%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3%20%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%20Forex

67
ความสัมพันธ์รหว่างตลาดหุ้นและ Forex

คุณทราบหรือไม่ว่า ข้อมูลตลาดหุ้น (ตลาดหลักทรัพย์) สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการทำนายการเคลื่อนไหวในตลาดค้าสกุลเงินได้ อย่างเช่นข้อมูลข่าวสารที่คุณได้รับจากสื่อต่างๆ เช่น จากโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ เพราะดูเหมือนว่าตลาดหุ้นเป็นตลาดทุนส่วนใหญ่ที่ครอบคลุมตลาดการลงทุนอย่างใกล้ชิด แต่สิ่งหนึ่งที่คุณลืมไม่ได้คือ ถ้าต้องการจะซื้อหุ้นจากประเทศใดประเทศหนึ่ง คุณจะต้องมีสกุลเงินท้องถิ่น เช่น นักลงทุนชาวยุโรปต้องการจะลงทุนในญี่ปุ่น สิ่งแรกที่เขาต้องทำคือแลกเปลี่ยนเงินสกุลยูโร (EUR) ของเขาเป็นเงินเยน (JPY) ของญี่ปุ่นก่อน ถ้าความต้องการที่จะลงทุนในญี่ปุ่นมีมาก ก็จะมีผลทำให้ค่าเงินเยนของญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้น และถ้ามีการขายยูโรมากขึ้น ก็มีผลทำให้ ค่าเงิน ยูโรอ่อนค่าลงด้วยเช่นกัน เมื่อการลงทุนในตลาดใดก็ตามมีภาพรวมออกมาดี ก็จะมีเงินจากต่างชาติไหลเข้ามาลงทุน แต่เมื่อใดที่ตลาดมีภาพรวมว่ากำลังย่ำแย่ นักลงทุนต่างชาติก็จะถอนการลงทุน และไปหาที่ลงทุนใหม่ทีดีกว่า

แม้ว่าคุณจะไม่ได้เทรดหุ้น แต่ในฐานะ Forex เทรดเดอร์ คุณก็ควรจะใส่ใจกับตลาดหุ้นในประเทศที่สำคัญ ถ้าตลาดหุ้นในประเทศใดประเทศหนึ่งเริ่มจะมีประสิทธิภาพดีกว่าตลาดหุ้นในประเทศอื่น คุณก็ควรจะรู้ด้วยเพราะว่าเงินอาจไหลออกจากประเทศที่ตลาดหุ้นซบเซาไปสู่ประเทศที่มีการลงทุนที่แข็งแกร่งกว่า และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ค่าสกุลเงินของประเทศที่มีตลาดหุ้นแข็งแกร่งแข็งค่าตาม ในขณะที่ค่าของสกุลเงินของประเทศที่มีตลาดหุ้นอ่อนแอนั้นอ่อนค่าตามตลาดหุ้นไปด้วย

เมื่อเป็นเช่นนี้ แนวคิดทั่วไปคือ : ตลาดหุ้นที่แข็งแกร่ง ทำให้ค่าสกุลเงินแข็งแกร่ง และ ตลาดหุ้นที่อ่อนแอ ทำให้ค่าสกุลเงินอ่อนแอด้วย ถ้าคุณซื้อสกุลเงินของประเทศที่มีการลงทุนในตลาดหุ้นแข็งแกร่ง และขายสกุลเงินที่มีตลาดหุ้นที่อ่อนแอ คุณก็สามารถที่จะทำกำไรอย่างงามได้

 

ดัชนีตลาดหุ้นที่สำคัญทั่วโลก

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวน์โจนส์ (Dow Jones Industrial) เป็นหนึ่งในดัชนีหุ้นชั้นนำในสหรัฐอเมริกา สามารถใช้เป็นเครื่องมือตรวจสอบดูว่าบริษัทชั้นนำ 30 บริษัทที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าไปซื้อขายหุ้นนั้นมีสถานภาพเป็นอย่างไรบ้าง แม้จะมีชื่อว่า Industrial แต่บริษัทเหล่านี้แทบจะไม่ได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหรรมการผลิตสินค้าเลย แต่กลายเป็นตัวแทนของบริษัทยักษ์ใหญ่บางบริษัทในสหรัฐอเมริกา ทำให้เป็นที่จับตามองอยากมากจากนักลงทุนทั่วโลก และกลายเป็นดัชนีบ่งชี้ความเชื่อมั่นของตลาดที่สำคัญ จึงทำให้มีความไวต่อเศรษฐกิจและการเมืองทั่วโลก

บริษัทที่อยู่ในดาวน์โจนต่างเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่คุณอาจมีส่วนร่วมในบางสิ่งอยู่ทุกวัน เช่น AT&T, McDonalds, หรือ Intel และบริษัทเหล่านี้เองที่อยู่ในกลุ่มดาวน์โจนส์

 

Standard & Poor 500 หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ S&P 500 เป็นดัชนีถ่วงน้ำหนักของราคาหุ้นของบริษัทอเมริกันที่ใหญ่ที่สุด 500 บริษัท ถือว่าเป็นกลุ่มผู้นำสำหรับเศรษฐกิจอเมริกัน และยังใช้ในการดูทิศทางของเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาด้วย

นอกจาก ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวน์โจนส์ S&P 500 เป็นดัชนีซื้อขายที่มากที่สุดในสหรัฐอเมริกาที่มีทั้ง กองทุนรวม กองทุนแลกเปลี่ยนซื้อขายและกองทุนอื่นๆ เช่น กองทุนบำนาญ ซึ่งถูกก่อตั้งมาเพื่อติดตามผลการดำเนินงานของดัชนี S&P 500 ในสหรัฐอเมริกาเงินหลายร้อยพันล้านดอลลาร์สหรัฐได้นำมาลงทุนในรูปแบบนี้

 

NASDAQ เป็นชื่อย่อของ National Association of Securities Dealers Automated Quotationsหมายถึงสามคมตัวแทนจำหน่ายหลักทรัพย์ตามใบเสนอราคาโดยอัตโนมัติแห่งชาติ ซึ่งก็คือ ตลาดหุ้นที่ทำการค้าผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ประกอบด้วยบริษัทและองค์กรทั้งหมดประมาณ 3,700 แห่ง และยังเป็นตลาดที่มีปริมาณการซื้อขายหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย

 

Nikkei (นิกเกอิ) นั้นคล้ายกับ Dow Jones Industrial คือ เป็นค่าเฉลี่ยที่มากที่สุดและใช้กันอย่างแพร่หลายในตลาดหุ้นญี่ปุ่น เป็นราคาเฉลี่ยน้ำหนักของบริษัทชั้นนำ 225 บริษัท จึงเป็นตัวสะท้อนภาพของตลาดโดยรวมในญี่ปุ่น บริษัทที่อยู่ในกลุ่มนิกเกอิ ได้แก่ Toyota, Japan Airline และ Fuji Film เป็นต้น

 

DEX เป็นชื่อย่อของ Deutscher Aktien Index คือ ดัชนีตลาดหุ้นของประเทศเยอรมนี ที่ประกอบด้วยบริษัทที่มีฐานะมั่นคง 30 บริษัท ที่มีการซื้อขายในตลาดหุ้นแฟรงค์เฟิร์ต และเนื่องด้วยเยอรมนีเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยูโรโซน จึงทำให้ DAX กลายเป็นดัชนีที่มีการจับตาดูกันมากที่สุดในยุโรป ตัวอย่างบางบริษัทที่อยู่ใน DEX เช่น Adidas, BMW, Deutsche Bank เป็นต้น

 

Down Jones Euro stock 50 index คือ ดัชนีของบริษัทชั้นนำที่มีพื้นฐานดีเยี่ยมในโซนยุโรป ประกอบด้วยกว่า 50 บริษัท ของ 12 ประเทศในแถบยูโรโซน ก่อตั้งขึ้นโดย บริษัท Stoxx Ltd., ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของ Deutsche Boerse  AG, Dow Jones & Company และ SIX Swiss Exchange

 

FTSE อ่านว่า Footsie (ฟุ๊ซซี่) เป็นดัชนีที่ติดตามประสิทธิภาพของบริษัทที่ส่วนใหญ่นั้นมีทุนสูง ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้นลอนดอนประเทศอังกฤษ

FTSE มีดัชนีหลายอย่าง เช่น FTSE 100, FTSE 250 ขึ้นอยู่กับจำนวนของบริษัทที่ร่วมอยู่ในกลุ่มดัชนีนั้น

 

Hang Seng หรือ ดัชนีฮังเส็ง เป็นดัชนีของตลาดหุ้นฮ่องกง จะมีการทำบันทึกและตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นของบริษัทที่รวมอยู่ในกลุ่มดัชนีแบบรายวัน ทำให้สามารถติดตามผลการดำเนินงานโดยรวมของตลาดหุ้นฮ่องกงได้

 

ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดหุ้นและ Forex

ประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับการนำข้อมูลจากตลาดหุ้นทั่วโลกมาใช้เพื่อการตัดสินใจในตลาด Forex ก็คือ การหาคำตอบที่ว่า สิ่งไหนที่เป็นตัวชี้นำกันแน่ ระหว่างตลาดหุ้น และ Forex มันก็เหมือนกับคำถามโลกแตกที่ว่า “ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน ?” 

แนวคิดพื้นฐานคือ เมื่อตลาดหุ้นมีทิศทางที่ดี มีความเชื่อมั่นในประเทศนั้นๆว่ากำลังเติบโตได้ดี ทำให้มีเงินทุนจากต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาลงทุน ก็มีแนวโน้มที่จะสร้างความต้องการค่าสกุลเงินของประเทศนั้นๆ ทำให้ค่าสกุลเงินนั้นแข็งค่ากว่าเมื่อเทียบกับค่าสกุลเงินอื่น ในทางกลับกัน ถ้าตลาดหุ้นภายในประเทศมีปัญหา ความเชื่อมั่นก็ลดลง นักลงทุนต่างชาติก็ไม่อยากจะลงทุนต่อจึงนำเงินลงทุนเปลี่ยนกลับเป็นสกุลดั้งเดิมของตนเอง

โค๊ด: [Select]
http://www.thaiforexschool.com/viewfulldetial.php?id=229&&name=%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%20Forex

68
พูดคุยForexทั่วไป / นโยบายการเงิน
« เมื่อ: 29/ก.ค./2015 06:36:28 »
นโยบายการเงิน

เมื่อเราคุยกันถึงธนาคารกลางก็เป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่พูดถึง "นโยบายการเงิน"  โดย หน้าที่หลักของธนาคารกลางทั้งหลายต่างก็มีเป้าหมายหลักๆที่เหมือนกัน คือ การนำพาเศรษฐกิจให้เจริญเติบโต และรักษาเสถียรภาพด้านราคา โดยธนาคารกลางที่ส่วนใหญ่มักจะเป็นหน่วยงานที่ได้รับอิสระไม่มากมากก็น้อยจากรัฐบาล ทีรู้จักกันดีคือ ECB, FED, BOJ, BOE ซึ่งเป็นอิสระ แต่บางหน่วยงานก็เชื่อมโยงโดยตรงกับรัฐบาลเช่นในประเทศจีน

และเครื่องมือที่จะทำให้งานของพวกเขาบรรลุเป้าหมายได้ก็คือ "นโยบายการเงิน" เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของพวกเขา ธนาคารกลางจะใช้นโยบายการเงินเพื่อควบคุมสิ่งต่างๆดังต่อไปนี้

อัตราดอกเบี้ยที่ผูกติดอยู่กับมูลค่าของเงิน
การเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ
ปริมาณเงิน
ความต้องการสำรองของธนาคาร
ลดช่องว่างในการกู้ยืมแก่ธนาคารพาณิชย์
 

ประเภทของนโยบายการเงิน

รูปแบบของนโยบายการเงินจะแบ่งเป็น 3 เภทที่แตกต่างกัน คือ

- Contractionary หรือ Restrictive monetary policy คือ นโยบายการเงินที่เข้มงวด เป็นนโยบายที่จะเกิดขึ้นเมื่อต้องการลดปริมาณเงิน นอกจากนี้ยังใช้ในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วย

- Expansionary monetary policy คือ นโยบายเพื่อการขยายตัว หรือที่เราได้ยินกันบ่อยๆว่านโยบายผ่อนคลายทางการเงิน จะเป็นการเพิ่มปริมาณเงิน หรือลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมลดลงเพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่าย และมีการลงทุนเพิ่มมากขึ้น

นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย จะมีเป้าหมายเพื่อที่จะสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยการลดอัตราดอกเบี้ย ในขณะที่นโยบายการเงินที่เข้มงวดจะถูกใช้เพื่อลดอัตราเงินเฟ้อหรือยับยั้งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

- Neutral monetary policy คือ การดำเนินนโยบายการเงินที่เป็นกลางซึ่งจะไม่มุ่งเน้นที่จะสร้างความเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ หรือ ต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อ

สิ่งสำคัญที่จะต้องจำไว้เกี่ยวกับเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ คือ เป้าหมายอัตราเงินเฟ้อของธนาคารกลางปรกติจะอยู่ที่ 2% ซึ่งพวกเขาอาจจะไม่ได้ออกมาบอกให้เราทราบว่ามันคือเป้าหมายนะ แต่ว่าการดำเนินงานของพวกเขาจะมุ่งมั่นเพื่อที่จะให้ได้เป้าหมายประมาณนี้  เพราะพวกเขารู้ว่าอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่พอเหมาะนั้นดีต่อเศรษฐกิจ แต่อัตราเงินเฟ้อที่มากเกินไปสามารถทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ, งานของพวกเขา และท้ายที่สุด เงินของพวกเขา

และการที่มีระดับเป้าหมายของอัตราเงินเฟ้อ ก็เป็นการช่วยให้นักลงทุนในตลาดสามารถเข้าใจ และคาดเดาได้ว่านาคารกลางจะจัดการกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันของพวกเขายังไง

ตัวอย่างเช่น

ย้อนกลับไปในเดือนมกราคมของปี 2010  อัตราเงินเฟ้อในสหราชอาณาจักรพุ่งขึ้นถึง 3.5% จาก 2.9% ในเวลาเพียงหนึ่งเดือน ด้วยอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายที่ 2% ซึ่งอัตราใหม่ที่ 3.5% นั้นเป็นอัตราที่สูงเกินกว่าเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ

ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ (BoE) ได้ติดตามผลรายงานด้วยความมั่นใจว่ามันเกิดจากปัจจัยชั่วคราที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน และเพื่อจะปรับให้อัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันลดลงมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับระดับเป้าหมาย BoE  ก็จะใช้นโยบายการเงินเป็นเครื่องมือ

นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า เป็นการดีที่จะรู้ว่านาคารกลางจะทำหรือไม่ทำอะไรที่มีความสัมพันธ์กับเป้าหมายอัตราดอกเบี้ย (เราเคยเขียนเรื่องความสำคัญของอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว ถ้าใครยังไม่เข้าใจให้ไปดูได้ที่บทความก่อนหน้า https://http://www.thaiforexschool.com/viewfulldetial.php?id=213 )

เพราะเทรดเดอร์ต้องการความมั่นคง ธนาคารต้องการเสถียรภาพ และ สภาพเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ ดังนั้นการรู้ว่าเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อตอนนี้อยู่ที่ระดับไหน ก็จะเป็นการช่วยให้เราเข้าใจว่าทำธนาคารกลางจึงทำในสิ่งที่พวกเขาทำลงไป



 นโยบายการเงิน

 

วงจรการหมุนเวียนของนโยบายการเงิน

โดยปรกติแล้ว การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในการดำเนินโยบายการเงินจะค่อยๆปรับเพิ่มขึ้นทีละน้อย เพราะการปรับขึ้นอัตราดิกเบี้ยที่รุนแรงจะทำให้ธนาคารกลางเกิดความวุ่นวาย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมทั้งระบบ ทำให้เรามักจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยที่ประมาณ 0.25-1% ในช่วงระยะเวลาของการปรับอัตราดอกเบี้ยแต่ละครั้ง

และส่วนหนึ่งที่จะสร้างความมั่นคงนี้คือระยะเวลาที่จำเป็นในการปรับเปลี่ยนอัตราตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจจะกินระยะเวลาหลายเดือนหรืออาจจะใช้เวลาเป็นหลายปี (เพราะปรับได้ทีละนิด) การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจจะเหมือนกับการเหยียบเบรครถยนต์ ในขณะที่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนั้นสามารถทำได้เหมือนกับการเหยียบคันเร่ง

ช่วงระยะเวลาของการเปลี่ยนแปลงในนโยบายการเงินที่จะมีผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงต่อเศรษฐกิจอาจใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี

โค๊ด: [Select]
http://www.thaiforexschool.com/viewfulldetial.php?id=215&&name=%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99

69
อัตราดอกเบี้ย กับ Forex

อัตราดอกเบี้ยนั้นมีความสำคัญมากต่อตลาดอัตราแลกเปลี่ยน  อัตราดอกเบี้ยสกุลเงินน่าจะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการกำหนดมูลค่าของสกุลเงินต่างๆ อย่างที่เราเห็นเวลาที่เหล่าธนาคารกลางต่างๆออกมาปรับอัตราดอกเบี้ยก็จะมีผลกระทบอย่างมากต่อค่าของสกุลเงินหลักของประเทศนั้นๆ ดังนั้นเราในฐานะเทรดเดอร์สกุลเงิน ก็ควรรู้เรื่องเกี่ยวกับวิธีการที่ธนาคารต่างๆใช้เพื่อกำหนดนโยบายการเงินของตน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเอง

สิ่งหนึ่งที่มีอิทธิพลมากที่สุดในการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางคือเสถียรภาพด้านราคาหรือ "เงินเฟ้อ" เงินเฟ้อก็คือการที่ราคาสินค้าหรือบริการมีการเพิ่มสูงขึ้น เช่น เมื่อห้าปีที่แล้วคุณจ่ายเงิน 10 บาทเพื่อซื้ออมยิ้ม 1 อัน แต่มาตอนนี้คุณต้องจ่ายเงิน เพิ่มขึ้นเป็น 15 บาท เพื่อที่จะให้ได้อมยิ้มแบบเดียวกันนั้นมา และการที่อัตราเงินเฟ้อมีการเติบโตขึ้นในระดับปานกลางนั้นจะมาพร้อมกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ แตอัตราเงินเฟ้อที่มากเกินไปจะเป็นอัตราต่อเศรษฐกิจ และนี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำมะนาคารกลางจึงคอยจับตามองดัชนีที่ชี้วัดระดับอัตราเงินเฟ้อ อย่างเช่น ดัชนี CPI และ PEC เป้นต้น

ธนาคารกลางส่วนใหญ่จะใช้วิธีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมระดับอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่ต้องการ โดยการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อการเจริญเติบโตโดยรวมของเศรษฐกิจลดลด และชะลออัตราเงินเฟ้อ ซึ่งการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนี้ก็เหมือนกับการบังคับให้ผู้บริโภคและภาคธุรกิจกู้ยืมน้อยลงและประหยัดการใช้จ่ายกันมากขึ้น

และในทางตรงกันข้ามถ้าปรับดอกเบี้ยลดลง ก็จะทำให้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นที่ผู้บริโภคและภาคธุรกิจจะกู้ยืม (เพราะธนาคารต้องการเอื้ออำนวยความสะดวกให้มีการกู้ยืม) เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ผู้คนใช้จ่ายเงิน และทำให้ระบบเศรษฐกิจเติบโต

อัตราดอกเบี้ยมีผลอย่างไรต่อ Forex

ที่อัตราดอกเบี้ยมีผลต่อ Forex ก็เพราะว่า สกุลเงินต้องพึ่งพาอัตราดอกเบี้ย เพราะมันจะบอกได้ถึงการไหลเวียนของเงินทุนทั่วโลกที่เข้าและออกจากประเทศนั้นๆ แล้วดูได้จากอะไรล่ะ?

ลองนึกถึงตัวคุณถ้าให้คุณเอาเงินไปฝากระหว่างธนาคารแห่งหนึ่งที่ให้ดอกเบี้ย 0.25% กับอีกธนาคารหนึ่งซึ่งให้ดอกเบี้ย 1% คุณจะเลือกฝากกับธนาคารไหน ใช่แล้ว คนส่วนใหญ่ก็จะเลือกฝากกับธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่า ก็คือ 1% 

ในด้านของสกุลเงินก็เช่นเดียวกัน ประเทศที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่าก็มีแนวโน้มที่ค่าเงินจะแข็งแกร่งกว่าสกุลเงินของประเทศที่ให้อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า เพราะอะไรนะหรือ ก็อย่างที่เราได้บอกไปแล้วว่า "อัตราเงินเฟ้อ คือปัจจัยสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ธนาคารกลางจะใช้วิธีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ถ้าเศรษฐกิจไม่ดีธนาคารกลางก็จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อเอื้ออำนวยความสะดวกในการกู้ยืม เพื่อให้คนใช้เงินกันมากขึ้นเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ และในทางตรงกันข้าม ถ้าอัตราเงินเฟ้อโตเร็วเกินไปก็จะส่งผลร้ายต่อเศรษฐกิจธนาคารกลางก็จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อควบคุมไม่ให้คนกู้ยืมกันมากนัก และทำให้ประชาชนต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวและอัตราเงินเฟ้อก็จะชะลอตามไปด้วย" ดังนั้น เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นก็คือ ประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ นั่นก็คือ ประเทศที่เศรษฐกิจไม่ดีนัก จะต้องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนประเทศที่เศรษฐกิจมีการปรับตัวดีขึ้นก็จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจเติบโตเร็วเกินไป ด้วยเหตุนี้ อัตราดอกเบี้ยจึงส่งผลโดยตรงต่อตลาด Forex

ความคาดหวังต่างๆ จากเหตุการณ์และสภานการณ์ต่างๆ ส่งผลทำให้ตลาดมีการเปลี่นแปลงตลอดเวลา และอัตราดอกเบี้ยก็เช่นเดียวกันที่จะถูกปรับเปลี่ยน แต่ว่าไม่ได้กำหนดว่าเมื่อไหร่ที่จะเปลี่ยนแน่นอน และก็ไม่ได้เปลี่ยนกันบ่อยๆ เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ไม่ได้โฟกัสไปที่อัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน เพราะว่าสกุลเงินได้เป็นไปตามทิศทางของดอกเบี้ยเดิมอยู่แล้ว แต่ที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ให้ความสนใจคือ "การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยในอนาคต" นอกจากนี้แล้ว การที่รู้ว่าอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไปให้สอดคล้องกับนโยบายการเงินก็เป็นสิ่งสำคัญ และยิ่งสำคัญมากขึ้นโดยเฉพาะในกรณีที่จะสิ้นสุดโปรแกรมหรือนโยบายการเงิน

อย่างเช่น ถ้ามีกระแสออกมาว่า ประเทศนั้นๆจะยุติโปรแกรมกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งก็น่าจะหมายความว่าเศรษฐกิจภายในประเทศนั้นดีขึ้นแล้ว แต่ถ้าอัตราดอกเบี้ยยังถูกปรับให้ต่ำลงกว่าเดิม มันก็มีแนวโน้มว่าข่าวที่ได้รับมาตอนแรกนั้นมันไม่จริง และส่วนใหญ่ความจริงจะเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม

คุณจะเห็นได้ว่ามีนักลงทุนรวมทั้งนักวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจมากมายที่พยายามจะเดาให้ออกว่า ว่าเมื่อไหร่จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ย และจะปรับไปเป็นเท่าไหร่ ซึ่งตลาดจะบอกข้อมูลต่างๆได้เองตามธรรมชาติ

การคาดหวังที่เปลี่ยนไปเป็นสัญญาณว่าการเปลี่ยนแปลงในการเก็งกำไรกำลังจะเริ่มต้นขึ้น และก็จะดึงดูดโมเนนตัมให้มากขึ้นเมื่อเวลาของการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยใกล้เข้ามา

ในขณะที่มีการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยให้ค่อยๆเข้ากับนโยบายการเงิน ตลาดก็สามารถเปลี่ยนแปลงโดยฉับพลันได้เพียงเพราะตัวเลขจากการรายงานข่าวเพียงข่าวเดียว นี่ก็เพราะการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเป็นเรื่องที่รุนแรงมาก ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนไปตามแนวโน้มที่คาดการณ์หรือเปลี่ยนไปในทิศทางตรงกันข้ามก็ตาม เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเราจึงต้องระวังในเรื่องนี้ให้มาก

ความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ย

ในการเลือกเทรดคู่เงิน เทรดเดอร์หลายคนมักใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคในการเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินหนึ่งกับอีกสกุลเงินอื่น เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการตัดสินใจว่าสกุลเงินนั้นจะอ่อนแอหรือแข็งแกร่ง ความแตกต่างระหว่างทั้งสองอัตราดอกเบี้ยเราเรียกว่า "ความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ย" เป็นกุยแจสำคัญที่ต้องคอยจับตาดู เพราะสิ่งนี้จะช่วยให้คุณสามารถระบุแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในสกุลเงินที่ไม่สามารถเห็นได้ชัดเจน ความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจะช่วยในสนับสนุนให้ค่าเงินนั้นมีผลตอบแทนที่สูงกว่า กรณีที่อัตราดอกเบี้ยของทั้งสองประเทศเป็นไปในทิศทางตรงข้ามมักจะทำให้เกิดการแกว่งตัวของราคาที่กว้างมากในตลาด ในคู่สกุลเงินที่มี สกุลเงินหนึ่งมีการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย และ สกุลเงินที่ตรงข้ามกันกลับมีอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง จะที่เป็นสมการที่สมบูรณ์แบบสำหรับการสวิงรอบใหญ่ที่ชัดเจน (เป็นเทรนอย่างชัดเจน)

อัตราดอกเบี้ยที่ระบุ กับ อัตราดอกเบี้ยจริง

เมื่อผู้คนพูดคุยเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนั้น พวกเขากำลังหมายถึงอัตราดอกเบี้ยที่ระบุ หรือ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง แล้วมันแตกต่างกันอย่างไร?

อัตราดอกเบี้ยที่ระบุ ไม่ได้เป็นตัวบอกเรื่องราวทั้งหมด อัตราดอกเบี้ยที่ระบุ คืออัตราดอกเบี้ยก่อนที่จะมีการปรับอัตราเงินเฟ้อ

อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = อัตราดอกเบี้ยที่ระบุ - อัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะเป็น

อัตราการระบุมักจะเป็นอัตราที่ระบุไว้ หรืออัตราฐานที่คุณเห็น (เช่นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร) ส่วนในตลาดนั้นจะไม่ได้มุ่งเน้นที่อัตราที่ระบุนี้ แต่จะเน้นไปที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง เช่น หากคุณมีพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนระบุไว้ 6% แต่อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 5% ดังนั้น อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงของพันธบัตรจะเป็น 1% ใช่แล้ว มันแตกต่างกันมาก ดังนั้นคุณจึงควรจำไว้เสมอเกี่ยวกับการแยกแยะระหว่างอัตราดอกเบี้ยที่ระบุ และอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงนี้

โค๊ด: [Select]
http://www.thaiforexschool.com/viewfulldetial.php?id=213&&name=%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%20%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%20Forex

70
Fundamental Analysis of Forex คือการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เพื่อดูแนวโน้มของค่าสกุลเงินจากสภาวะทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่ใช้กุลเงินนั้นๆเป็นสกุลเงินหลัก เช่น ถ้าเราจะเทรด USD ซึ่งเป็นสกุลเงินหลักของประเทศสหรัฐอเมริกา เราก็ต้องดูสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ ว่าเป็นเช่นไร หรือถ้าเราจะเทรด GBP เราก็ควรรู้ว่าเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร(UK) ดีหรือไม่ เป็นต้น ดังนั้นในการซื้อขายในตลาด Forex ซึ่งเราซื้อขายคู่สกุลเงินที่ถูกจับคู่ไว้แล้ว เราก็ต้องดูและเปรียบเทียบเศรษฐกิจของสองประเทศที่เป็นเจ้าของสกุลเงินนั้นๆ เพราะเป้าหมายของการวิเคราะห์ด้วยพื้นฐานคือการประเมินมูลค่าของสกุลเงินหนึ่งที่ต้านกับอีกสกุลเงินหนึ่ง โดยดูจากสภาพเศรษฐกิจภายในประเทศที่เกี่ยวข้อง การวิเคราะห์พื้นฐานจึงต้องพิจารณาตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจต่างๆ นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงเรื่องนโยบายของรัฐบาลรวมถึงมาตรการต่างๆ และโครงสร้างของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะบอกถึงอุปสงค์และอุปทานของสินค้าและบริการ  เพื่อที่จะบอกได้ว่าสกุลเงินนั้นๆมีมูลค่าต่ำหรือสูงกว่าเมื่อเทียบกับอีกสกุลเงินหนึ่ง

การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน

นักลงทุนที่เพิ่งเข้ามาในตลาดแรกๆ มักจะตั้งคำถามว่า เทคนิคในการวิเคราะห์กราฟแบบไหนที่สำคัญกว่าหรือดีกว่ากันระหว่าง การวิเคราะห์ด้วยเทคนิคในการดูกราฟ กับ การวิเคราะห์ด้านปัจจัยพื้นฐาน? เราอยากบอกว่า นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จส่วนมากจะใช้ทั้งเทคนิคทั้งสองอย่างประกอบกันในการดูแนวโน้มทิศทางของราคา แม้ว่าในปัจจุบันนี้นักลงทุนหลายคนคิดว่าการวิเคราะห์ด้วยเทคนิคนั้นสำคัญกว่า เพราะมันช่วยให้การซื้อขายของเรานั้นง่ายขึ้นมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเราก็ไม่ควรลืมที่จะใส่ใจทางด้านปัจจัยทางพื้นฐานซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะปัจจัยพื้นฐานคือจุดกำเนิดของพฤติกรรมต่างๆในตลาด ผ่านจิตวิทยาของนักลงทุน ดังสมการนี้

ปัจจัยพื้นฐาน(ข่าว) > จิตวิทยาของนักลงทุน > พฤติกรรมของนักลงทุน > พฤติกรรมราคาในตลาด

อธิบายง่ายๆก็คือ เมื่อมีข่าวดีออกมา เช่น มีการจ้างงานสูงขึ้น ประชากรมีรายไม่เพิ่มมากขึ้นก็จะมีการใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งหมายถึงเศรษฐกิจภายในประเทศดีขึ้นนักลงทุนก็จะเกิดความเชื่อมั่นว่าค่าเงินของประเทศนั้นจะต้องดีขึ้นแน่นอนทำให้ "เกิดความโลภ" แย่งกันซื้อหวังเก็งกำไรจากค่าเงินนั้นๆ ทำให้ราคาในตลาดพุ่งสูงขึ้น แต่ในทางกลับกัน ถ้าเกิดมีข่าวร้ายออกมา เช่น จำนวนผู้ตกงานเพิ่มสูงขึ้น ประชากรลดการใช้จ่ายลงเนื่องจากรายได้ลดลง เหล่านักลงทุนก็จะกลัวว่าอนาคตของค่าเงินตัวนี้จะย่ำแย่ก็ไม่มีใครกล้าซื้อสกุลเงินนั้น  ส่วนใครที่ซื้อไว้ก็จะรีบเทขายออกมา ก็จะมีผลทำให้ราคาดิ่งเหว

ข่าวสารต่างๆที่ออกมาก็จะมีทั้งข่าวที่เป็นจริงเช่น การประกาศตัวเลขดัชนีต่างๆ หรือเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นแล้ว ข่าวเหล่านี้จะบอกเราได้ว่าสภาวะเศรษฐกิจตอนนี้เป็นอย่างไร และทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่าต่อไปจะเป็นเช่นไร และข่าวที่เป็นการคาดการณ์ เช่น การคาดการณ์ผลที่จะตามมาจากคำพูดของผู้นำทางการเงิน เกี่ยวกับนโยบายทางการเงิน หรือ ตัวเลขคาดการณ์ดัชนีต่างๆ ก็จะทำให้เราคาดการณ์ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป

ที่สำคัญอย่าลืมว่าเราไม่ใช่คุณคนเดียวที่รับรู้ข่าวเหล่านั้น เมื่อทุกคนรับรู้ข่าวเดียวกันนี้และคิดไปในทิศทางเดียวกันก็จะมีผลต่อราคาตลาด และบ่อยครั้งที่เราเห็นว่าราคาได้วิ่งไปในทิศทางที่ตลาดคาดการณ์ก่อนที่ข่าวจะออก และเมื่อข่าวออกมา ราคากลับสวนทางกับทิศทางที่ควรจะเป็นอย่างไม่มีเหตุผล ตัวอย่างเช่น

 "มีกระแสข่าวออกมาว่ามีแนวโน้มที่เป็นไปได้มากว่าธนาคารกลางสหรัฐ "จะ"ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยในวันศุกร์นี้ แต่ก่อนที่จะมีการประกาศนั้น ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯได้ค่อยๆปรับตัวลดลงตั้งแต่วันจันทร์ที่มีกระแสข่าวออกมา ทำให้คู่เงินอย่าง EURUSD ค่อยๆไต่ระดับราคาขึ้นจนถึงเวลาที่ข่าวออกมาจริงๆ แล้วหลังจากนั้นไม่นานราคาก็ร่วงลงมา ซึ่งมักจะเกิดจากการที่นักลงทุนที่ได้เข้าซื้อ EURUSD ไว้ตั้งแต่เมื่อได้ยินข่าวนี้ในช่วงแรกๆ คิดว่าตอนนี้ราคาได้ขึ้นมามากแล้ว และตนเองได้กำไรพอสมควรแล้วจึงปิดออเดอร์เพื่อทำกำไร (โอว ราคาขึ้นมาสูงมากแล้ว และฉันก็ได้กำไรมากพอแล้ว ปิดออเดอร์ออกจากตลาด นอนกอดกำไรดีกว่า) ทำให้ราคาร่วงลงมาสวนทางกับข่าว" แบบนี้ก็มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้งในตลาด Forex เหมือนวลีที่ว่า  "Buy the rumor ,Sell the news" (ซื้อข่าวลือ ขายข่าวจริง) ซึ่งมองดูสวนทางกับเหตุและผลอย่างสิ้นเชิง และนั่นก็เป็นเหตุมาจากจิตวิทยาของนักลงทุนที่ทำให้เกิดพฤติกรรมต่างๆของนักลงทุน และส่งผลมาสู่ราคาในตลาดนั่นเอง

อย่างที่เราเห็นกันอยู่ว่า เมื่อมีข่าวที่สำคัญๆออกมา ราคาจะวิ่งผันผวนรุนแรง ดังนั้นจึงอันตรายมากสำหรับการเทรดระยะสั้น ลองนึกภาพดูว่าถ้าคุณเทรดเพื่อต้องการที่จะเก็บกำไร เพียง 10-20 จุด แล้วข่าวที่สำคัญมาก (High Impact) ออกมาแล้วส่งผลให้ราคาวิ่งไปคนละทางกับที่คุณเปิดการซื้อขายเอาไว้ อะไรจะเกิดขึ้น? (เชื่อว่าหลายคนมีประสบการณ์ตรงนี้เป็นอย่างดี) ถ้าคุณตั้ง Stop loss เอาไว้ คุณก็อาจจะเสียเงินส่วนนั้นไปภายในพริบตา ดังนั้น หากคุณเป็น Scalping ที่เล่นสั้นๆ คุณก็ควรจะระวังให้มากในเรื่องของข่าว อย่าเผลอในช่วงเวลาที่จะมีการประกาศข่าวโดยเฉพาะข่าวที่สำคัญๆ หรืออาจจะหลีกเลี่ยงไม่ถือออเดอร์ในช่วงก่อนการประกาศข่าว

ข่าวสำคัญที่แสดงถึงสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และมีอิทธิพลต่อตลาดมาก (High Impact) ก็คือ

GDP ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ

Inflation ข่าวอัตราเงินเฟ้อ

Employment Figures ข่าวต่างๆเกี่ยวกับการจ้างงาน ซึ่งจะรวมทั้ง อัตราการจ้างงาน, อัตราการว่างงาน รายได้ของแรงงาน , ข่าว NFP (Non-farm payroll )

Interest rate Decision ข่าวเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย ซึ่งสำคัญมาก เพราะธนาคารกลางสามารถให้อัตราดอกเบี้ยนี้เป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศ

Consumer Confidence ดัชนีการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

Consumer Price Index  (CPI)ดัชนีราคาผู้บริโภค เป็นดัชนีสำคัญที่จะบอกได้ถึงอัตราเงินเฟ้อ

เหล่านี้คือข่าวที่มีผลต่อราคาในตลาดมากที่สุด และยิ่งสำคัญมากถ้าเป็นข่าวของสหรัฐฯ เรียกได้ว่า จาก High Impact จะกลายเป็น Very High impact ก็ว่าได้ เพราะจะส่งผลที่รุนแรงมากกว่าข่าวจากประเทศอื่นๆ ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นค่าเงินที่มีอิทธิพลมากต่อตลาด อย่างที่เห็นว่าทุกคู่เงินหลักในตลาด จะมีค่าเงิน USD ร่วมอยู่ด้วย

ยูโรก็เป็นอีกค่าเงินหนึ่งที่มีความพิเศษ คือ เงินยูโรเป็นสกุลที่ใช้กันในกลุ่มประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป มี 17 ประเทศสมาชิกที่ใช้เงินสกุลยูโรร่วมกัน เรียกว่า สหภาพการเงินยูโร (Euro Monetary Union) EMU หรือ Euroland ซึ่งได้แก่ ออสเตรีย, เบลเยียม, ไซปรัส, เอสโตเนีย ฟินแลนด์, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, กรีซ, ไอร์แลนด์, อิตาลี, ลักเซมเบิร์ก, มอลตา, เนเธอร์แลนด์, โปรตุเกส, สโลวาเกีย, สโลวาเนีย และ สเปน 

ดังนั้นการดูปัจจัยพื้นฐานของสกุลเงินยูโรก็จะต้องดูจากประเทศเหล่านี้  ซึ่งประเทศที่มีมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่และมีความสำคัญมากต่อแนวโน้มค่าเงินยูโรได้แก่ เยอรมัน รองลงมาคือ ฝรั่งเศส และ อิตาลี ตามลำดับ นักลงทุนจะดูการเคลื่อนไหวของ 3 ประเทศนี้เป็นหลักสำหรับการวิเคราะห์ค่าเงินยูโร

นอกจากข่าวข้างต้นที่มีมีอิทธิพลต่อราคาของตลาดมากแล้วนั้น ก็ยังมีข่าวอีกหลายข่าวที่มีผลต่อตลาด เช่น ดุลการค้า, ดัชนีการนำเข้าส่งออก, อัตราการผลิตของโรงงานอุสาหกรรม, ยอดขายบ้าน, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(PMI), ยอดการสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้า, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ฯลฯ แต่ข่าวเหล่านี้จะมีผลต่อตลาดน้อยกว่าข่าวที่บอกไว้ในตอนต้นคือจัดอยู่ในกลุ่ม Medium Impact 

แน่นอนว่าในช่วงที่มีการประกาศข่าว จะเป็นช่วงแห่งความตื่นเต้น หวาดเสียว และท้าทายมากสำหรับนักลงทุน เพราะราคาจะวิ่งเร็วและแรง นักลงทุนบางคนอาจจะไม่เทรดในช่วงข่าวเลย แต่ก็มีนักลงทุนหลายคนที่จับจ้องจังหวะนี้เพื่อทำกำไรก้อนใหญ่ แต่อย่าลืมว่าถ้าคุณพลาดก็อาจจะเจ็บหนักได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะเทรดข่าวคุณก็ควรระวังและคำนึงถึงความเสี่ยงนี้ด้วย 

ข้อแนะนำในการเทรดข่าวก็คือ คุณควรหลีกเลี่ยงการถือออเดอร์ในช่วงก่อนที่ข่าวจะถูกประกาศออกมา รอให้ข่าวนั้นประกาศออกมาเสียก่อน และรอให้ราคาส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าจะไปทางไหนกันแน่แล้วค่อยเข้าทำการซื้อขาย ซึ่งในส่วนนี้คุณอาจต้องใช้เทคนิคในการวิเคราะห์กราฟช่วยในการหาจังหวะเข้าซื้อขายด้วย

โค๊ด: [Select]
http://www.thaiforexschool.com/viewfulldetial.php?id=174&&name=%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B9%8C%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%20%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3

71
ไปเจอมาโปรแกรมช่วยเขียน EA จากอินดิเคเตอร์ หรือคัสตอมอินดิเคเตอร์ที่เราต้องการ ดูวิธีใช้วิธีสร้างที่นี่ครับ

โค๊ด: [Select]
http://forextoolbox.blogspot.com/2015/04/autotrading-made-easy.html
โค๊ด: [Select]
http://www.thaiforexea.com/index.php/topic,2195.0.html

72
รวมรวมเว็บไซต์ เกี่ยวกับ Forex นะครับ ให้เพื่อนๆ ได้ศึกษากัน มีหลากหลายมาก เพราะคนไทยเทรดมากขึ้น และมีความรู้เกี่ยวกับ Forex มากขึ้น และหลายคนก็ต้องการแบ่งปันความรู้ที่ตนได้รับมาผ่าน Website เพื่อนๆ ชอบเว็บไหน ชอบแนวไหน ก็ลองเข้าไปดูกันนะครับ ผมจะทยอยลงไว้เรื่อยๆ จาก Keyword ที่เกี่ยวกับ Forex  เพื่อนๆคนไหนมีเว็บไซต์ เกี่ยวกับฟอเร็กซ์ สามารถนำมาลงที่เว็บได้นะครับ ยินดีแลกเปลี่ยน แลกลิ้ง หรือ แลกเปลี่ยน แชร์ความรู้กัน ครับ
 เว็บไซต์ที่เกี่ยวกับฟอเร็ก ผมจะแบ่งเป็น 3 ประเภทครับ คือ 1. เว็บบอร์ด 2. เว็บ Blog 3. เว็บไซต์
เว็บบอร์ด
1.www.thaiforexschool.com  Thaiforexschool เป็นเว็บที่รวมรวมความรู้ทางด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิค ไว้ทั้งหมดนะครับ เป็นเว็บของผมเอง มีบทวิเคราะห์กราฟ ฟอเร็ก ทองคำ น้ำมัน ต่อไป ก็คงจะเป็นตลาดหุ้นด้วยครับ ลองเข้าไปเยี่ยมชมพวกเราชาว Thaiforexschool นะครับ

2.www.pips2profits.com     Pips2profits เป็นเว็บไซต์ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์กราฟครับ โดยเจ้าของเว็บชื่อ คุณนนท์ หรือที่รู้จักกันในนาม price_secrets_trader ครับ และยังมี Video forecast ให้เราได้ดูอีกด้วย ลองแวะเข้าไปเยี่ยมชมกันนะครับ

3. www.thailandinvestorclub.com เว็บนี้คือแหล่งแลกเปลี่ยนความรู้ของนักเทรด มีความรู้เยอะมาก นักลงทุน น้องใหม่ ไฟแรง ผู้เชี่ยวชาญอยู่ในเว็บนี้มากมายครับ ลองเข้าไปศึกษาหาความรู้กันนะครับ บริหารเว็บไซต์ โดย พี่ต้น

4.www.thaiforexea.com เว็บนี้ คือ แหล่งแลกเปลี่ยนความรู้ของผู้ที่ต้องการเทรดโดย Robot หรือที่พวกเราเรียกันว่า EA (Expert Advisor) แจกอีเอเยอะมากครับ ใครที่ชอบเทรดโดยอีเอ เข้าไปหาความรู้กันเลยครับ

5.www.greenpipsforex.com เว็บนี้แบ่งความรู้เกี่ยวกับ Forex มีหลากหลายหัวข้อ ผลงานการเทรดของเจ้าของเว็บดีเยี่ยมครับ แอดมินใจดีครับ ทดสอบอีเอแต่ละตัวให้ ลองเข้าไปโหลดอีเอมาใช้ดูนะครับ  ลองเข้าไปศึกษากันดูครับ บริหารงานโดยคุณ Sukareet

6.www.forexdark.com เว็บนี้เปิดสอนความรู้เกี่ยวกับ FOREX สอนโดยผู้มีประสบการณ์การเทรดมากกว่า 3 ปี เข้าไปศึกษากันดูนะครับ บริหารงานโดย คุณ Bank

7.www.konlenhoon.com เว็บนี้เนื้อหามากมายครับ มีหลายหลายให้ได้ศึกษากัน ลองเข้าไปศึกษากันดูนะครับ

8.www.thaiforexschool.com เว็บบอร์ดนี้พึ่งเปิดได้ไม่นาน เนื้อหาแบ่งตาม Level ลองเข้าไปศึกษา และเยี่ยมชม กันบ้างนะครับ เป็นเว็บบอร์ดของผมเอง ครับ

9.advance-elliottwave.com/forum/index.php เป็นเว็บบอร์ดสำหรับผู้ที่ต้องเรียนรู้การวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค ด้วย Elliott Wave โดย ป๋าวุฒิ ครับ ใครสนใจลองเข้าไปดูนะครับ รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน

ท่านใดมีเว็บเกี่ยวกับ Forex แจ้งที่คอมเม้นด้านล่างนะครับ ผมจะลงให้ 

ต่อไปเรามาดู  Blog กันบ้างนะครับ บล๊อคเกี่ยวกับฟอเร็กมีเยอะมากครับ โดยหลักๆเลยจะมี 2 ค่าย คือ
Blogger และ wordpress ที่สำคัญคือฟรี ครับ ไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ต้องเสียค่าโดเมนเนม ไม่เสียค่าโฮสติ้ง
และอีกอย่าง Blogger ของพวกเราก็ยังมี Google หนุนหลังอยู่ครับ ติดกูเกิลได้ไม่ยาก

Blog จากคีย์เวิด " Forex คืออะไร" ครับ เรียงตามการจัดอันดับของกูเกิ้ล นะครับ

1. Blog ของเราเอง www.9professionaltrader.blogspot.com
2.www.forex108.blogspot.com
3.www.forexstudy.exteen.com
4.www.thaiforextrading.blogspot.com
5.www.piak-cm54.blogspot.com/  บล๊อคนี้เป็นของท่าน "เฒ่าทารก ป๋าอี๊ด มากด้วยประสบการณ์"
6.www.hatyaifx.wordpress.com  บล๊อคนี้ของพี่คิว k.surachet
7.www.advance-elliotwave.blogspot.com.com  บล๊อคนี้ของป๋าวุฒิครับ  "สอนอีเลียตเวฟ Elliott Wave "
8.www.thaiforex2u.blogspot.com บล๊อคนี้เป็นของพี่กบ ผู้ชอบแบ่งปันความรู้ ใจดีครับ
9.www.fxbrokerthai.blogspot.com บล๊อคนี้เป็นของกลุ่มรุ่งอรุณ นำโดย ป๋าศักดิ์ (Fx_king)จากมาเลย์เซีย ประสบการณ์มากมายครับ
10.https://http://forex-technical-thai.blogspot.com/ บล๊อคนี้ เป็นของพี่ทัช จากหนุ่มเมืองแปร้ ชอบแป่งปันจริงๆครับ แบ่งปันจนกระทั่งยัดเยียดให้เลยครับ 555+  พี่เค้าใจดีครับ
11.https://http://nanafx.blogspot.com เว็บบล๊อคของนานาครับ แต่ไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับฟอเร็กซ์หลอกครับ ส่วนใหญ่ She จะพร่ำซะมากกว่า 555+ ลองเข้าไปดูกันครับ
12.https://http://traderlism.blogspot.com/   บอกเล่าประสบการณ์การเทรดของตัวเอง เว็บบล๊อคน้องใหม่ครับ ลองเข้าไปเยี่ยมชมกันนะครับ

เว็บไซต์ของพี่ท่านใดตกหล่น น้องก็ขออภัยด้วยนะครับ จำไม่ได้ นึกไม่ออก ถ้านึกออกแล้วจะลงให้นะครับ

ต่อไปเรามาดูเว็บไซต์ธรรมดากันบ้างนะครับ
1.www.forextrader.igetweb.com เว็บนี้เป็นของพี่สาวผมเองครับ "พี่เปิ้ลสุดสวย" เว็บสอนฟอเร็กด้วย ขายเหรียญด้วย   
2.www.fx-dd.makewebeasy.com เว็บนี้คือเว็บแรกของผมครับ เว็บฟรีเช่นเดียวกัน เค้าให้ใช้แค่ 3 เดือน ยังไม่ได้ต่อสัญญาเลย อิอิ ถ้าว่างก็คงจะเขียนเนื้อหาลงไปครับ
3.www.noknoi.tht.in  เว็บนี้เป็นพี่นกครับ พี่สาวสุดสวยเช่นกัน ผู้นำพาผมรู้จักอาชีพทาง Internet และรู้จักกับ Forex ครับ ลองเข้าไปหาความรู้เกี่ยวกับการหาเงินทางออนไลน์ดูครับ
4.www.thailandfx.com เว็บนี้เป็นของอาจารย์ผม เปรียบเสมือนพี่สาวอีกคน ใจดี เก่ง ได้ทั้ง Technical และ Fundalmental  แต่ตอนนี้เว็บปิดตัวลงไปแล้วครับ เสียดาย T_T เธอชื่อ Jaojar  เทรดมานานมากครับ   
5.www.fxfriend.com ขาดไม่ได้เลยเว็บนี้ เว็บแรกๆ ของคนไทยเลย ในการเรียนรู้ เครื่องมือ ต่างๆเกี่ยวกับฟอเร็กซ์ ผมได้ประโยชน์จากเว็บนี้มากมายครับ  เจ้าของเว็บชื่อ พี่เมษ(jupiterfx) เทรดมานานมาก  ครับ
6.www.advance-elliotwave.com เว็บนี้สอนเกี่ยวกับ อีเลียตเวฟ ครับ เจ้าของเว็บคือ ป๋าวุฒิ i_woottichai  เก่งอีเลียตครับ ใครสนใจลองไปถามพี่เค้านะครับ
7.https://http://www.thaispeculator.com/ เว็บนี้เนื้อหาเยอะครับ ส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อหาของ the_greenday ลองเข้าไปศึกษาดูนะครับ
8.https://http://www.plasew.com/ เนื้อหาเยอะครับ เว็บนี้ ลองเข้าไปศึกษากันดู

สำหรับใครที่มีเว็บไซต์ ก็มาลงชื่อไว้นะครับ แบ่งปันความรู้กัน


Credit:www.9professionaltrader.blogspot.com รวม Website ศึกษา Forex ของคนไทย | Forex Trading Blog สอนเทรด Forex - แหล่งศึกษาข้อมูล Forex และสอน Trade Forex แบบมืออาชีพ
Under Creative Commons License: Attribution

โค๊ด: [Select]
http://9professionaltrader.blogspot.com/2011/02/web-forex-thai.html

73
<a href="https://www.youtube.com/watch?v=7pchRulONcI" target="_blank">https://www.youtube.com/watch?v=7pchRulONcI</a>

โค๊ด: [Select]
https://www.youtube.com/watch?v=7pchRulONcI

74
สวัสดีครับชาว TradeMillion13Thai ทุกๆท่าน... วันนี้ผมจะมาแนะนำแนวทางสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ที่สนใจในการเทรด forex แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหน ยังไงดี วันนี้ผมจึงเขียนบทความที่ชื่อว่า “เพิ่งเริ่มเทรด forex จะเริ่มต้นยังไงดี” หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์แก่เทรดเดอร์ที่เข้ามาศึกษานะครับ
 
1.ขั้นตอนแรกก่อนที่เราจะมาเทรด forex เราจะต้องเข้าใจก่อนว่า forex คืออะไร?
สามารถทำความเข้าใจได้เพียง คลิกที่นี่
 
2. หลังจากที่เรารู้แล้วว่า forex คืออะไร เราจะต้องรู้คำศัพท์ในตลาด forex เพื่อที่จะเข้าใจความหมายในแต่ละสิ่งได้ง่ายมากยิ่งขึ้น จะได้ไม่ งง หรือ สับสน เวลาคนอื่นพูดกัน
สามารถทำความเข้าใจได้เพียง คลิกที่นี่
 
3. เมื่อเราเข้าใจแล้วว่า forex คืออะไร และคำศัพท์ในตลาด forex มีอะไรบ้าง เมื่อเราเข้าใจถึงข้อนี้เราก็เริ่มเข้าสู่บทเรียนกันเลยดีกว่าครับ เพื่อที่จะให้เราเข้าใจในสิ่งต่างๆมากยิ่งขึ้น
เข้าสู่บทเรียนที่1 คลิกที่นี่
เข้าสู่บทเรียนที่2 คลิกที่นี่
 
4. เมื่อเราทำตามขั้นตอนที่ 3 แล้ว ขั้นตอนที่ 4 นี้ก็คงจะเป็นการฝึกฝนครับ ฝึกฝนกับตลาดจริงแต่ไม่ใช่เงินจริงนะครับ ใช้เงินปลอมเทรดไปก่อน ทำไมเราต้องใช้เงินปลอม อยากรู้คลิก และในระหว่างนี้เราควรฝึกฝนไปเรื่อยๆ จนเราคิดว่า เราสามารถอยู่ในตลาดอย่างปลอดภัยได้แล้ว เราค่อยใช้เงินจริงครับ และในขั้นตอนนี้เราควรศึกษาหาความรู้ใหม่ๆไปเรื่อยๆนะครับ
 
ก็มีเพียง 4 ขั้นตอนนี้ที่ผมอยากแนะนำสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่หวังว่าคงจะเข้าใจกันนะครับ
โค๊ด: [Select]
http://www.trademillion13thai.com/%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%94-forex-%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B5-17260.page

75
<a href="https://www.youtube.com/watch?v=aYWfZG7WN10" target="_blank">https://www.youtube.com/watch?v=aYWfZG7WN10</a>

โค๊ด: [Select]
https://www.youtube.com/watch?v=aYWfZG7WN10

หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 17
SMF 2.0.15 | SMF © 2011, Simple Machines
SMFAds for Free Forums