แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - นักศึกษา22

หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 14
106
กระทู้นี้เราจะมากล่าวกันถึงเรื่อง forex Risk on Risk off คืออะไร ใช้อย่างไร

Risk off , RISK ON มันแปลว่าอะไรครับ

Risk off = ผู้เล่นในตลาดไม่กล้าถือครองสินทรัพย์เสี่ยง วิ่งเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัย (ทองคำ / เยน / ฟรังสวิส / บอนด์ / ยูเอสดี) Risk on = ผู้เล่นในตลาดมีความมั่นใจ กล้าเสี่ยง วิ่งเข้าหา stock / commodities / risk assets อื่นๆ



Risk on : เมื่อความเสี่ยงต่ำ หรือภาวะตลาดในช่วงนั้นค่อนข้างมั่นคง นักลงทุนก็จะรับความเสี่ยงได้มาก มักจะลงทุนในสินทรัพย์ที่ความเสี่ยงสูง เช่น หุ้น เป็นต้น

 

Risk off : ในช่วงความเสี่ยงสูง หรือภาวะตลาดไม่มั่นคง มีความผันผวนสูง นักลงทุนก็จะนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ความเสี่ยงน้อยๆ เช่น ถือเงินสด , พันธบัตรรัฐบาล เป็นต้น

 



แล้วมันเกี่ยวกับตลาด Forex อย่างไร

เมื่อเทรดเดอร์เข้าใจถึงภาวะอารมณ์ตลาดที่เกิดขึ้นก็จะสามารถรู้ถึงความเสี่ยงที่นักลงทุนในช่วงนั้นเป็นอย่างไร ในช่วง Risk-on นักลงทุนรู้สึกดีต่อภาวะเศรษฐกิจ มองภาพรวมตลาดเป็นบวก ดังนั้นมักจะเข้าซื้อหุ้นเป็นส่วนใหญ่ และอีกทั้งก็จะมาลงทุนในค่าเงินที่ผลตอบแทนสูง (สกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง) และขายค่าเงินที่ผลตอบแทนต่ำกว่า หรือที่เรียกกันว่าเป็นการทำ Carry Trade ตัวอย่างเช่นในช่วง Risk-on สกุลเงิน AUD/USD มักแข็งค่าขึ้นเพราะนักลงทุนต้องการค่าเงิน AUD ที่ให้ผลตอบแทนสูง ส่วนในช่วง Risk-off ก็ตรงกันข้าม นักลงทุนมักหันไปถือค่าเงินที่ความเสี่ยงต่ำๆ เช่น JPY หรือ CHF เป็นต้น ทำให้ค่าเงินดังกล่าวแข็งค่าขึ้น

 Risk on Risk off คืออะไร
 

เคยได้ศัพท์ 2 คำนี้กันไหมครับ ถ้าเทรดเดอร์คนไหนดูข่าวบ่อยๆ คงต้องได้ยินการบ้างเหละ เป็นศัพท์ทางการเงินที่มักพบบ่อยมาก เรามาดูความหมายของมันกันดีกว่า … Risk on / Risk off เป็นตัวบ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้โดยขึ้นอยู่กับสภาพตลาดและสภาพเศรษฐกิจในช่วงนั้น

Risk on Risk off
หมายถึง สภาวะความเสี่ยง ถ้าตลาดหรือสินทรัพไหนเปน Risk off แสดงว่านักลงทุนมองว่าเสี่ยงสูง ไม่แน่นอนสูง ก็จะย้ายเงินมาสู่ตลาดหรือสินทรัพย์อื่นที่เสี่ยงต่ำกว่า ผันผวนน้อยกว่า เช่น ช่วงศก.ตกต่ำ เกิดวิดฤต นักลงทุนขายหุ้น เอาเงินมาลงที่พันธบัตรมากขึน
Risk on คือ นักลงทุนมองตลาดหรือสินทรัพย์นั่นเปนขาขึ้นเสี่ยงต่ำ คนพร้อมจะเอาเงินมาเสี่ยงเพื้อผลตอบแทนที่ดีกว่า ก็จะหมุนเงินมาสู่ ตลาดหรือสินทรัพย์ที่เสี่ยงมากขึ้น เช่น ศก.ฟื้นตัวจากวิกฤต เงินไหลสู่ ตลาดหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์
แต่สินทรัพย์ใดๆ อาจจะไม่ได้เปน risk on risk off ตลอดเวลา เช่นทองคำ แต่ก่อน ถ้าตลาดหุ้น risk off เงินจะไหลมาสู่ ทองคำ เพราะมองว่าเปน safe heaven แต่ในบางเวลา ทองคำก็เปน risk off risk on ไปพร้อมๆตลาดหุ้นได้เหมือนกันคับ

107
เข้ามาดูกันต่อเลยนะครับ เรื่อง forex Risk Management คืออะไร ใช้อย่างไร

ข้อดีของการทำ Risk Management

1.ช่วยให้คุณนั้นสามารถรักษาเงินต้นของคุณไว้ได้อย่างปลอดภัย

2.ช่วยให้คุณนั้นสามารถมองหาโอกาสอย่างง่ายๆในการทำกำไร และที่สำคัญคือ ปัญหาเรื่องของการล้างพอร์ตจะไม่เกิดขึ้นกับคุณ

3.ช่วยให้คุณนั้นสามารถทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ และรู้ว่าการเทรด forex คือการลงทุนไม่ใช่การพนัน

4.ห้ามลืมว่าการทำ Risk Management นั้นเกี่ยวข้องกับการบริหารเงินหน้าตักของคุณนะครับ

5.อย่าดูเบาเรื่องความรู้เกี่ยวกับ Risk Management คุณต้องหมั่นเรียนรู้สูตรต่างๆของ Risk Management ด้วยเสมอๆ

สรุปแล้ว ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเทรด forex หรือว่าเทรดหุ้น หรือแม้แต่การทำงานแบบปกติของคุณ (อันแสนน่าเบื่อ ไม่อย่างนั้นคุณไม่มาเทรด forex หรอก) คุณก็จะต้องใช้ Risk Management ทั้งหมดทั้งสิ้น ดังนั้นโปรดอย่ารอช้าครับ ถ้าคุณยังไม่มีแผนการบริหารความเสี่ยงของคุณในการเทรด forex จงประยุกต์หลักการข้างต้นนี้แล้วใช้เลยครับ!

Risk Management คืออะไร

ในบรรดาคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการเทรด forex คำศัพท์ที่ผมชอบมากที่สุดคือคำว่า Risk Management หรือการ “บริหารความเสี่ยง” แน่นอนครับ การเทรด forex คือความเสี่ยงอยู่แล้ว และเป็นความเสี่ยงที่มีมากเสียด้วยในการซื้อขายตราสารต่างๆ ดังนั้นเพื่อให้คุณไม่ต้องร้องไห้กระจองอแง เพราะว่าพอร์ตที่คุณสร้างมากับมือถูกล้างจนใสสะอาดแล้ว ลองศึกษาคำว่า Risk Management กับ forex อันนี้ดูนะครับ น่าจะช่วยอะไรคุณได้มากทีเดียว

Risk Management คืออะไร

คำว่า Risk Management แปลเป็นไทยได้ว่า “การบริหารความเสี่ยง” โดยเป็นการบริหารความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาด forex ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงมากในเรื่องของความเสี่ยง การบริหารความเสี่ยงในการเทรดที่ดี จะส่งผลให้คุณนั้นมีโอกาสสูงในการทำกำไรครับ โดยความเสี่ยงทั้งหมดนั้นจะเกี่ยวข้องกับเงินทุน (Asset) ที่คุณมีในพอร์ตการลงทุน

วิธีการใช้ Risk Management กับ forex

ขั้นตอนการบริหารความเสี่ยงหรือ Risk Management กับการเทรด forex นั้นผมสรุปออกมาได้เป็นขั้นตอนดังต่อไปนี้คือ

1.หาสูตรในการเทรดของคุณให้รัดกุม หมายถึงตัวบ่งชี้ครับ เลือกมาประมาณ 3-4ตัว เพื่อประกอบการเทรดของคุณ

2.กำหนดการบริหารการเงินของคุณให้ดีที่สุด สำคัญมากครับ ลองอ่านบทความของผมเรื่อง MM ดูก่อน

3.อย่าวางเงินหมดหน้าตัก ผมว่าคุณเข้าใจที่ผมนำเสนอนะ คือหมายถึง อย่าไปบ้า! เดิมพันมันเหมือนการพนัน อย่าทำ!

4.เทรดตามระบบเท่านั้น! เน้นว่าตามระบบเท่านั้น หากคุณจะเทรดนอกเหนือจากระบบที่คุณวางไว้ให้หยุดทำเด็กขาด

ตอนนี้เพื่อนๆ ก็คงจะรู้ความจริงแล้วว่า ตลาด Forex เป็นตลาดที่มีความเสี่ยงมาก (High Risk Markets) หากเทรดแบบไม่ระวังตัว มีโอกาสหมดตัวเร็วกว่าเล่นหุ้นแน่นอนครับ แต่ในข่าวร้ายยังมีข่าวดีเสมอ วันนี้ผมนำเอาหลัก 5 ข้อ วิธีบริหารความเสี่ยงสำหรับ Forex (Forex Risk Management) มาฝากกัน อ่านแล้วก็ลองสำรวจตัวเองดูว่า มันมีอยู่ในตัวคุณหรือระบบเทรดของคุณบ้างหรือไม่

5 วิธี การบริหารจัดการความเสี่ยง เพื่อเพิ่มกำไร และลดการขาดทุน จากการเทรด Forex

1.อย่าใส่ไข่ทุกใบไว้ในตะกร้าใบเดียว – นี่คือความจริงของโลกการลงทุน ในตลาด Forex ก็เช่นเดียวกัน ไม่มีข้อยกเว้น คุณควรเทรด Forex ด้วยเงินเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของเงินเก็บทั้งหมด ขอย้ำนะครับว่า เงินเก็บหรือเงินเย็น หรือเงินที่เสียแล้วจะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อระบบการเงินของคุณ ยกตัวอย่างเช่น คุณมีเงินเก็บต่อปีรวมทั้งสิ้นเท่ากับ $10,000 คุณควรจะแบ่งมาลงทุนในตลาดฟอเร็กซ์ไม่เกิน 10% ของเงินเก็บทั้งหมด นั่นก็คือ $1,000 ส่วนอีก 90% ที่เหลือ ให้นำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า เช่น หุ้น กองทุนรวม ที่ดิน ซื้อบ้าน เป็นต้น

2.อย่าพยายามใช้ค่า Leverage เกินตัว – มันเป็นการง่ายมากๆ ที่คุณจะเทรด Forex ด้วยค่า Leverage 1:100 ก็แค่เข้าไปที่โปรแกรมของฟอเร็กซ์โบรกเกอร์ที่คุณเทรดอยู่ แล้วก็คลิ๊กสองสามครั้ง เป็นอันจบ แต่คุณรู้ไหมว่ายิ่งคุณเทรดด้วยค่า Leverage ยิ่งสูง จะทำให้คุณหมดตัวง่ายขึ้น และโบรกเกอร์ก็ชอบด้วย คิดดูง่ายๆ ถ้าคุณมีเงินในบัญชีเทรดน้อย แต่คุณเปิด Position ที่เกินตัว ก็จะส่งผลให้เงินที่เหลือสำหรับการแกว่งหรือคงสภาวะ Position นั้นไว้ น้อยลงไปด้วย อย่างนี้รับประกันได้เลยว่า คุณจะโดนลากไปกินในน้ำอย่างแน่นอน

3.จงมอง Stop Loss เป็นพระเจ้า – ทุกครั้งที่มีการเปิดออเดอร์ในการเทรด Forex อย่างลืมใส่ค่า Stop Loss ทุกครั้ง เพื่อเป็นหลักประกันความเสี่ยง และทำให้แน่ใจได้ว่า เมื่อคุณตื่นขึ้นมาทุกเช้า จะไม่พบกับสถานการณ์ เงินในบัญชีเทรดหายไปหมดเกลี้ยง เรื่อง Stop Loss นี้ เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ สำหรับทุกการออกแบบระบบเทรด Forex เพราะผมเทรดมานาน เคยเห็นหลายครั้งที่ราคาอัตราแลกเปลี่ยนวิ่งเป็น 1,000 pips โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที มันน่ากลัวมาก เชื่อผมเถอะ จะเทรดช่วงกว้างหรือแคบ ก็ช่วยตั้ง Stop Loss สักหน่อย

4.แนวโน้มหลักเป็นเพื่อนของคุณ (The Trend is Your Friend) – อันนี้เรื่องจริง หากคุณมองภาพใหญ่ออก เช่น กราฟ Day หรือ Week คุณจะพอรู้เลยว่า แนวโน้มระดับกลางจะไปทางไหน แล้วให้เทรดตามแนวโน้มนั้น อย่าเทรดสวนแนวโน้มหลัก นี่ก็เป็นวิธีการบริการความเสี่ยงในตลาด Forex ที่ดีมากๆ จากประสบการณ์ส่วนตัวของผม แม้แต่ข่าวเศรษฐกิจที่สำคัญ ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแนวโน้มใหญ่หรือแนวโน้มหลักได้เลย “ถ้าราคามันตัดสินใจจะเคลื่อนตัวไปทางไหนแล้ว อะไรก็มาขัดขวางไม่ได้ทั้งนั้น”

5.หมั่นเรียนรู้และประเมินระบบเทรดของตนเองอยู่เสมอ – คนที่คิดว่าตนเองเก่งแล้ว ไม่ต้องเรียนเพิ่มเติมแล้ว ก็เปรียบเสมือน “แก้วน้ำที่มีน้ำอยู่เต็มแก้ว จะเติมน้ำลงไปเท่าไหร่ก็ล้นอยู่ดี” และวิธีการคิดอย่างนี้ จะทำให้คนผู้นั้นตกอยู่ในความเสี่ยง นักเทรดฟอเร็กซ์ที่ดีควรหมั่นเรียนรู้ เพื่อพัฒนาระบบเทรดของตน ให้มีความเสี่ยงน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อผลกำไรที่มากขึ้น และการขาดทุนที่น้อยลงในระยะยาว

หากใครทำได้ทุกข้อทั้งหมดที่ผมได้กล่าวมาแล้ว ผมกล้าที่จะเอาตัวเองเป็นประกันเลยครับว่า คุณจะเป็นนักเทรดที่สามารถบริหารจัดการกับความเสี่ยง (Forex Risk Management) ได้อย่างดีเยี่ยมคนหนึ่งเลยทีเดียว และผลประกอบการที่ดี ก็จะตามมาเองครับ สวัสดี

ในปัจจุบันนี้ เมืองไทยของเรา กำลังมีแต่คนพูดถึงเรื่องการเทรด Forex กันอย่างกว้างขวาง หรือพูดง่ายๆก็คือ ตลาด Forex กำลังเป็นที่นิยมสูงสุดในบ้านเรา ณ ขณะนี้ มีเว็บไซต์เกี่ยวกับเรื่องการเทรดฟอเร็กซ์ ผุดขึ้นอย่างมากมาย นับไม่ถ้วนก็ว่าได้ อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์ส่วนใหญ่ จะเป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อหวังจะได้รับค่าคอมมิชชั่นจากการสมัครเป็นสมาชิกของฟอเร็กซ์โบรกเกอร์ต่างๆ ที่อยู่ในตลาด Forex แต่กลับไม่มีใครออกมาพูดความจริงเลยว่า ตลาดฟอเร็กซ์เป็นตลาดที่เสี่ยงมากๆๆๆๆๆๆๆ

คุณอาจจะเคยเห็นข้อความตามเว็บไซต์ต่างๆ ที่พยายามจะสื่อถึงตลาดฟอเร็กซ์ในหลายๆแง่มุม อาทิเช่น ฟอเร็กซ์เล่นง่าย ใช้เงินน้อย ไม่มีความเสี่ยง เป็นต้น ซึ่งข้อความทั้งหมดไม่เป็นความจริงเอาซะเลย ที่จริงควรจะเป็น ฟอเร็กซ์เล่นยาก ต้องมีทุนสูง โคตรมีความเสี่ยง อย่างนี้จึงจะถูกต้อง

108
Forex today กับเวบexness-free วันนี้ขอเสนอเรื่อง  forex Requotes(รีโควต) / Rejections(รีเจคชั่น) คืออะไร ใช้อย่างไร

Requotes/Rejections คืออะไร
มาถึงคำศัพท์คำสำคัญที่ถือว่ามีผลอย่างมากต่อการเทรด forex ของเรา ซึ่งในความคิดของผมนั้น ถือว่า อาจทำให้เรานั้นทำกำไรได้มากขึ้น หรือว่าขาดทุนหนัก จนถึงขั้นล้างพอร์ตเลย และเป็นคำที่ผมหวังว่าจะไม่เกิดขึ้นกับใครด้วย คำนั้นคือคำว่า Requotes/Rejections ครับ เดี๋ยวเราถือโอกาสนี้มาสำรวจไปพร้อมๆกันว่า Requotes/Rejections คืออะไร และมีผลต่อเราอย่างไรกันบ้าง ไปดูกันครับ

วิธีป้องกันการ Requote
1. ให้ Set Maximum Deviation, เมื่อเวลาเราเปิดหรือปิดออเดอร์ ที่หน้าต่างด้านล่างจะมีให้ติ๊กว่า Enable maximum deviation from quoted price และมีช่องให้ใส่จำนวนจุดที่ต้องการ ซึ่งอันนี้จะเป็นการเซตว่าถ้าราคาที่ server เปลี่ยนแปลงไปจากราคาที่เราส่งไปกี่จุดก็ให้ทำการเปิดหรือปิดออเดอร์ให้เลย ยกตัวอย่างเช่น สมมติเราเซ็ต Maximum เป็น 3 จุด ถ้าราคาที่เครื่องเราเป็น 1.000 ดังนั้นถ้าราคาที่ Server มีค่าตั้งแต่ 0.997 - 1.003 ก็จะเปิดหรือปิดออเดอร์นั้นให้เลย ไม่ต้องเจอ requote อีก
 
ถ้าไม่ต้องการเซตทุกครั้งก็ให้เข้าไปที่ Tools -> Options -> Tab Trade -> เลือก Deviation by default ให้เป็น Default และใส่จำนวนจุดที่เราต้องการ
 
2. การเปิดออเดอร์ให้เปิดแบบ Pending Order แทน
การเปิดแบบ Pending Order ก็จะเป็นการรับประกันได้ว่าเราจะได้ราคาตามที่ต้องการจริงๆ (ในกรณีที่ไม่เกิด gap) ไม่ต้องเจอกับปัญหา requote ตอนเปิดออเดอร์อีก
 
3. การปิดออเดอร์ให้เปลี่ยนจากปิดมือมาใช้ Stop Loss และ Take Profit แทน
ถ้าเราเซ็ต Stop Loss และ Take Profit แทนที่การปิดเองด้วยมือ เราก็มั่นใจได้ว่าราคาที่เราปิดนั้นจะได้ตรงตามที่ราคาที่เราเซ็ตไว้เสมอ (ในกรณีที่ไม่เกิด gap) ไม่ต้องเจอปัญหา requote ตอนปิดออเดอร์อีก
 
4. EA
สำหรับผู้ที่ใช้ EA เวลาเปิดปิดออเดอร์ทุกครั้ง (กรณีที่สั่งให้ปิดเอง ไม่รวมถึงชน Stop loss หรือ Take Profit) ให้เชคด้วยว่าคำสั่งที่เราส่งไปนั้นทำสำเร็จหรือไม่ ถ้าทำไม่สำเร็จจะทำอย่างไรต่อไป ซึ่ง EA บางตัวที่ขายกันอยู่บนอินเตอร์เนตนั้นก็ไม่ได้เชคตรงนี้  คือส่งคำสั่งไปทีเดียวก็จบเลย ซึ่งถ้าเกิดเจอ requote ออเดอร์ก็จะไม่ถูกปิด ซึ่งจะทำให้ท่านขาดทุนได้

 1.Requotes/Rejections คืออะไร
 คำว่า Requotes/Rejections อ่านว่า รี-โควท หรือ รี-เจ๊คชั่น คำสองคำนี้นั้นหมายความว่า เมื่อเราทำการเปิดสัญญา Buy หรือ Sell แล้ว แต่ระบบไม่สามารถเปิดคำสั่งซื้อตรงนั้นออกไปได้ และแจ้งให้เราทราบว่าเส้นราคานั้นมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ ซึ่งอาการแบบนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะส่งผลให้เราไม่สามารถเก็บราคาที่เราต้องการได้ และอาจมีผลถึงขั้นขาดทุนเลยทีเดียว

ยกตัวอย่างเช่น ราคาที่เราเห็นใน MT4 เป็น 4.5500 พอเราส่งคำสั่งซื้อขายไปแล้ว ปรากฎว่าราคาที่  Server ได้เปลี่ยนไปเป็นราคาอื่นที่ไม่ใช่ 4.5500 โดยหลังจากส่งคำสั่งไปก็จะมี pop up แจ้งขึ้นมาว่าราคาได้เปลี่ยนไปแล้ว เป็นต้น



2.สาเหตุที่ทำให้เกิด Requotes/Rejections
 สาเหตุที่ทำให้เกิดการ Requotes/Rejections นั้นมีหลายสาเหตุดังต่อไปนี้

2.1 ความเร็วของอินเทอร์เน็ต ของ server และของเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา

สาเหตุประการแรก และคิดว่าน่าจะเป็นประการสำคัญเลยคือ ความเร็วของอินเทอร์เน็ต ซึ่งส่งผลให้การเทรดนั้นเกิด Requotes/Rejections ขึ้นมา โดยผู้เขียนมักพบว่าในช่วงที่สัญญาณเน็ตมีปัญหา และในจังหวะนั้นเป็นการเทรดช่วงมีข่าว มักจะมีอาการ Requotes/Rejections ให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง จนเรียกอาการหงุดหงิดได้อย่างมาก  ทั้งนี้หากเราใช้บัญชี ECN จะไม่มีการ Requote เนื่องจากส่งคำสั่งซื้อไปยังธนาคารกลางโดยตรง

2.2 โปรแกรมมีความไม่สมบูรณ์

คำว่าโปรแกรมในที่นี้ก็คือโปรแกรมเทรด อย่าง MT4 หรือ MT5 ซึ่งหากมีขั้นตอนของการติดตั้งที่ทำให้ไฟล์บางอย่างนั้นหายไป หรือได้รับความเสียหาย (มักเกิดตอนลง Indicator) ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ Requotes/Rejections ขึ้นมาได้

2.3 บัญชีที่เปิด

บัญชีที่คุณเลือกเปิดก็มีผลต่อการเกิด Requotes/Rejections ด้วยเช่นเดียวกัน ถึงขนาดบางโบรกเกอร์นั้น มีการกำหนดรายงานกันเลยว่า หากคุณเลือกเปิดบัญชีนั้น บัญชีนี้อาการ Requotes/Rejections ก็จะไม่เกิดขึ้น



2.4 เทรดในช่วงที่ราคามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

โดยเฉพาะเวลาที่ตลาด London เปิด (ตั้งแต่ช่วงบ่ายของไทย) และตลาดอเมริกาเปิด (ตั้งแต่ 1 ทุ่มของไทย) ซึ่งจะมีนักเทรดจากทั่วโลกเทรดกันมากกว่าปกติ จึงทำให้ราคาเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก รวมถึงช่วงเวลาที่มีข่าวสำคัญๆด้วย จะเป็นช่วงที่มีการสวิงตัวสูงและเกิดการแย่งสัญญาณข้อมูลกันสูง

หรือบางช่วงที่มีข่าวโดยเฉพาะข่าวแรงๆ พวก USD, EUR ข่าวสีแดง 3 ดาวทั้งหลาย จะเกิดรีโควท(Requote) ขึ้นและมักจะเป็นกันทุกโบรกครับ

3.แนวทางแก้การ Requotes/Rejections
3.1 เลือกเทรดโดยใช้สาย Lan

ทุกครั้งที่คุณทำการเทรด ผมแนะนำว่าโปรดเลือกใช้สาย Lan ในการเทรดจะดีที่สุด เพราะว่าสามารถช่วยให้คุณเทรดได้อย่างปลอดภัยและหมดความกังวลในปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นเลยครับ



3.2 หลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงที่มีปัญหา เช่น ช่วงข่าว

จงหลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงที่เป็นข่าว เรื่องนี้ก็สำคัญ หากคุณรู้ว่าเน็ตของคุณยังแรงไม่พอแล้ว การหลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงข่าว ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณครับ แต่แน่นอนช่วงที่มีข่าวนี้แหละที่เราจะเทรดได้กำไรอย่างร้อนแรง ดังนั้น ถ้า Net คุณยังไม่แรงพอหรือยังไม่ใช้สาย Lan ผมว่ารีบหามาเลยครับ ระยะยาวมันคุ้มค่าแน่นอน สำหรับมืออาชีพเขาให้ความสำคัญกับระบบ Internet และเครื่องมือช่วย เช่น speck computer มาก หลายท่านมักใช้เครื่องคอมหลายตัวในการเทรด เช่น เครื่องหนึ่งเปิดข่าว เครื่องหนึ่งเปิด MT4 เป็นต้น

3.3 ลองเปลี่ยนบัญชีเทรดจาก Mini ไปเป็น ECN

ปัญหาของ Requotes คือ ถ้าใครใช้ระบบเทรด แบบเก็บสั้นๆ Scalping จะได้รับผลกระทบมาก  แนะนำให้ลองเลือกที่จะเปลี่ยนบัญชีเทรดจาก Mini ไปเป็น ECN ดูครับ โดยรวมจะทำให้ปัญหา Requote หมดไป นอกจากนี้ยังได้เรื่องของค่าสเปรดแต่ละคู่เงินลดลงมากๆ ทำให้การเทรดคู่เงินได้หลากหลายมากขึ้น

ไม่ต้องเอาค่าสเปรดมาคำนวณจุดเข้าออกทุกครั้งให้ปวดหัว เพราะค่อนข้างต่ำ และเท่ากันทุกคู่เงิน แต่ถ้าหากคุณยังไม่พร้อมที่จะไปเทรดบัญชี  ECN ก็แนะนำให้ใช้การ pending Order การตั้ง Take Profit และ Stop loss ก็ช่วยได้เยอะ รอพอร์ตคุณโตอีกหน่อย ค่อยๆขยับไปบัญชี ECN ก็ได้ครับ

3.4 การ Set ตั้งค่าใน MT4

เนื่องจาก Requotes นั้น เกี่ยวข้องกับสัญญาณจาก Server ที่เราเทรด Forex โดย Server อยู่นั้นมักตั้งอยู่ในต่างประเทศ ทำให้ใช้เวลาในการประมวลผลพอสมควรกว่าที่ Server จะได้รับคำสั่ง ราคาก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว



ดังนั้นจึงมีวิธีป้องกันการ Requote ทางเทคนิคคือให้

3.4.1 Set Maximum Deviation เมื่อเวลาเปิดหรือปิดออเดอร์  โดยติ๊ก Enable maximum deviation from quoted price และมีช่องให้ใส่จำนวนจุดที่ต้องการ อันนี้จะเป็นการเซตว่าถ้าราคาที่ server เปลี่ยนแปลงไปจากราคาที่คุณส่งไปกี่จุดก็ให้ทำการเปิดหรือปิดออเดอร์ให้โดยอัตโนมัติ

ยกตัวอย่างเช่น สมมติเราเซ็ต Maximum เป็น 3 จุด ถ้าราคาที่เครื่องเราเป็น 1.000 ดังนั้นถ้าราคาที่ Server มีค่าตั้งแต่ 0.997 – 1.003 ก็จะเปิดหรือปิดออเดอร์นั้นให้เลย ไม่ต้องเจอ requote อีก แต่ถ้าไม่ต้องการเซตทุกครั้งก็ให้เข้าไปที่ Tools -> Options -> Tab Trade -> เลือก Deviation by default ให้เป็น Default และใส่จำนวนจุดที่เราต้องการ  (ป้องกันได้เฉพาะโบรกเกอร์ประเภทบัญชี 4 จุด ถ้า 5 จุด ราคาจะเคลื่อนไหวไวมาก)

สามารถเข้าไปตั้งค่าที่ Tools -> Options -> Tab Trade ->เลือก Deviation by default ให้เป็น Default และใส่จำนวนจุดที่ต้องการ การเปิดแบบ Pending Order ก็จะเป็นการรับประกันได้ว่าผู้เทรดจะได้ราคาตามที่ต้องการจริงๆ (ในกรณีที่ไม่เกิด gap) ไม่ต้องเจอกับปัญหา requote ตอนเปิดออเดอร์อีก

Set Stop loss and Take Profit

3.4.2 เปลี่ยนจากปิดมือมาใช้การตั้ง Stop Loss และ Take Profit

สำหรับการปิดออเดอร์ เพื่อป้องกันการ Requote ให้ทำการเซ็ต Stop Loss และ Take Profit นั้นแทนที่จะปิดเองด้วยมือ ซึ่งคุณก็มั่นใจได้ว่าจะได้ราคาปิดตรงตามที่ราคาที่เซ็ตไว้เสมอ (ในกรณีที่ไม่เกิด gap) ไม่ต้องเจอปัญหา requote ตอนปิดออเดอร์อีกต่อไป

3.4.3 ตรวจสอบ EA

สำหรับผู้ที่ใช้ EA เวลาเปิด-ปิดออเดอร์ทุกครั้ง (กรณีที่สั่งให้ปิดเอง ไม่รวมถึงชน Stop loss หรือ Take Profit) ให้ตรวจสอบด้วยว่าคำสั่งที่เราส่งไปนั้นทำสำเร็จหรือไม่ ถ้าทำไม่สำเร็จจะทำอย่างไรต่อไป ซึ่ง EA บางตัวที่ขายกันอยู่ บางทีก็ไม่ได้ Set ตรงนี้ คือส่งคำสั่งไปทีเดียวก็จบเลย ซึ่งถ้าเกิดเจอ Requote ออเดอร์ก็จะไม่ถูกปิด ทำให้เทรดเดอร์ขาดทุนได้ ดังนั้นแม้กระทั่งใช้ EA ควรตรวจสอบตรงส่วนนี้ด้วยครับ

4.บทสรุปของ Requotes/Rejections
สรุปแล้ว ไม่ว่าเราจะเทรด forex อย่างไร หรือกับโบรกเกอร์ไหนก็ตาม โอกาสในการเกิด Requotes/Rejections สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ถ้าหากปัจจัยต่างๆนั้นเอื้ออำนวยให้ตรงกับสาเหตุที่ผมได้กล่าวไปข้างต้น ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือ การป้องกันปัญหา หรือแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตามวิธีที่ได้แนะนำไป เพื่อให้การเกิด Requotes/Rejections ไม่ส่งผลให้พอร์ตของคุณเสียหายครับ

ผมคิดว่าหลายๆท่านก็คงเจอปัญหาเรื่องการ Requote ไม่มากก็น้อยนะครับ เท่าที่ผมได้เทรด Forex กับหลายๆโบรกเกอร์ก็จะเจอปัญหานี้กันหมด ผมก็เลยเขียนบทความนี้ขึ้นมาเผื่อจะช่วยให้นักเทรดหลายๆท่านแก้ปัญหานี้ได้บ้างครับ
 
Requote คืออะไร
สมมติว่าราคาที่เราเห็นในหน้าจอของเราขณะนั้นเป็น 1.000 พอเราส่งคำสั่งซื้อขายไปแล้ว ราคาที่ Serverได้เปลี่ยนไปเป็นราคาอื่นที่ไม่ใช่ 1.000 ซึ่งถ้ากรณีนี้เกิดขึ้น หลังจากส่งคำสั่งไปก็จะมี pop up ขึ้นมาว่าราคาได้เปลี่ยนไปแล้ว ซึ่งจะทำให้เราเสียโอกาสในการได้ราคาที่เราต้องการไป
 
สาเหตุของการ Requote มีอะไรบ้าง
1. เนื่องจาก Server ที่เราเทรด Forex กันอยู่นั้นตั้งอยู่ที่ต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ กว่าที่ Server จะได้รับคำสั่งของเราราคาก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
 
2. ราคามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเวลาที่ตลาด London เปิด (เวลาตั้งแต่ช่วงบ่ายของบ้านเรา) และตลาดอเมริกาเปิด (เวลาตั้งแต่ 1 ทุ่มของบ้านเรา) จะมีนักเทรดทั่วโลกเทรดกันมากกว่าปกติ จึงทำให้ราคาเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก รวมถึงช่วงเวลาที่มีข่าวสำคัญๆด้วย
 
3. ความเร็วอินเตอร์เนตของ server และของเครื่องคอมพิวเตอร์เรา

109
มาพบกันคำศัพท์ในวงการ Forex กันครับ วันนี้ขอเสนอคำว่า forex Real retest คืออะไร ใช้อย่างไร


การ Retest ที่แท้จริง
 


 มาดูตัวอย่างการ Retest ที่แท้จริงกันบ้างดีกว่า กราฟข้างต้น USD/JPY เช่นเดิม แต่ต่างช่วงเวลา ในช่วงที่ราคา Retest ขึ้นไปแตะเส้นค่าเฉลี่ย 20 นั้นยังไม่เป็นการยืนยันว่าการ Retest นั้นสิ้นสุด (บริเวณเครื่องหมายกากาบาท) โดยจะมายืนยันเมื่อราคาทะลุ Low เดิม เพื่อยืนยันทิศทางว่าราคาอยู่ในแนวโน้มขาลง และกำลังจะปรับตัวลงต่อ (ตามเครื่องหมายถูก)

 

พอเห็นภาพกันหรือยังครับ … แต่บางคนอาจไม่เห็นด้วยที่ว่า ถ้าเราเทรดในจังหวะที่ราคากำลัง Retest เลย ดังภาพแรก ก็จะได้ราคาที่ดีกว่า ได้ RRR ดีกว่า แต่อย่าลืมว่าถ้าทำอย่างนั้นการเทรดก็จะเจอกับปัญหาการ Fail บ่อยมาก ซึ่งการเทรดที่ดีไม่จำเป็นต้องเจอกับเหตุการณ์ดังกล่าว ยังมีอีกรูปแบบการเทรด (ภาพที่ 2) ที่โอกาส Fail น้อย แต่แค่ต้องอาศัยการรอ ซึ่งการรอนั้นเป็นสกิลสำคัญของเทรดเดอร์อย่างยิ่ง … ถ้าเทรดเดอร์ท่านไหนเทรด Retest แบบเดิมๆ อยู่แล้วยังไม่ดีขึ้น แนะนำให้ลองมาเทรด Retest แบบที่แนะนำ เชื่อว่าจะทำให้การเทรดดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

Real retest คืออะไร
การ Retest ของราคา เทรดเดอร์หลายคนชอบนำมาใช้ประโยชน์ในการเทรด แต่เชื่อไหมว่าเทรดเดอร์หลายคนเทรดการ Retest แบบผิดๆ ทำให้การเทรดช่วง Retest นั้นไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ในบทความนี้จะเรามาพูดถึงความเข้าใจผิดของการ Retest ของราคาที่เทรดเดอร์หลายคนมักเข้าใจผิด และวิธีการเทรด Retest ที่ถูกต้อง

  

กราฟข้างต้นคู่สกุลเงินของ USD/JPY โดยเทรดเดอร์หลายคนเชื่อว่าราคากำลังอยู่ในช่วง Retest ระหว่างที่ราคาเคลื่อนไหวต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 20 วัน และดีดกลับขึ้นไปแตะเส้นดังกล่าว เทรดเดอร์หลายคนมักจะไปสวน Short บริเวณนี้ แต่!! อย่าลืมว่าการ Retest ของรอบนี้ยังไม่เสร็จ มันต้องรอจนกว่าราคาดีดกลับก่อน ถึงจะเป็นการ Retest ที่แท้จริง

110
มาต่อกันอย่างรวดเร็วในบทที่ 2 กันนะครับ กับ forex Price action ใน Forex คืออะไร ตอนที่ 2 ใช้อย่างไร

สิ่งที่เรากำลังจะตามหาคือ พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาต่างๆ ทั้งรูปแบบแท่งเทียน แนวโน้มราคาร แนวรับแนวต้าน และอื่นๆ ถ้าทุกอย่างบ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกันหมด ก็จะทำให้มีโอกาสสูงที่ราคาจะเป็นไปในทิศทางที่เราคาดการณ์

 

ตามกราฟด้านข้างนี้เป็นตัวอย่างการใช้ Price action ในการเทรด Forex ในช่วงที่แท่งเทียนเกิด Pin bar reversal มักจะเป็นจุดกลับตัวของแนวโน้ม แต่ก็มีบางจังหวะที่เป็น Fail เกิดขึ้น

 



ช่วงที่โอกาสชนะมากที่สุด

  ตามที่กล่าวไว้ข้างต้นถ้าทั้งรูปแบบแท่งเทียน แนวโน้มราคา แนวรับแนวต้าน และอื่นๆ ถ้าทุกอย่างบ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกันหมด โอกาสการชนะของในการเทรดครั้งนั้นก็จะมากขึ้นตามจำนวนสัญญาณต่างๆที่เกิดขึ้นพร้อม ณ ขณะนั้น

 

สมมติ

รูปแบบแท่งเทียนบอกให้ ซื้อ แต่แนวโน้มยัง ลง อยู่
เทียบกับ

รูปแบบแท่งเทียนบอกให้ ซื้อ และแนวโน้มเป็น ขาขึ้น
แบบไหนน่าซื้อกว่ากันล่ะ … คำตอบก็ต้องแบบที่ 2 ใช่ไหมละครับ

 

มาดูตัวอย่างกัน

กราฟด้านล่าง ใช้ 3 ปัจจัยในการคาดการณ์ทิศทางว่าช่วงนั้นราคามีโอกาสปรับตัวลงต่อ คือ

1) แนวโน้มขาลง

2) แนวต้าน

3) Pin bar

ซึ่งทั้ง 3 อย่างนี้เกิดขึ้นพร้อมกันในช่วงที่วงกลมสีแดง ตรงบริเวณนั้นเป็นจังหวะที่น่าเข้าเทรด และสุดท้ายราคาก็ปรับตัวลงต่อตามที่คาดการณ์

 



อันนี้เป็นตัวอย่างการใช้ Price action ในการเทรด Forex เบื้องต้น เทรดเดอร์ท่านใดสนใจมาทางนี้ ก็สามารถศึกษาเพิ่มเติมต่อกันได้ในที่นี้นะครับ เราจะนำเอาข้อมูลและวิธีการต่างๆ มานำเสนอ จะคอยเป็นเพื่อนร่วมทางในการต่อสู่กับตลาด Forex แห่งนี้กันนะครับ

Price action ใน Forex คืออะไร ตอนที่ 2
 

หลังจากที่ทราบหน้าตาพื้นฐานของ Price action กันไปใน “Price action ใน Forex ตอนที่ 1” ไปแล้ว ต่อมาเราจะมาดูวิธีการนำหลักการต่างๆ เหล่านั้นมาเทรดในตลาด Forex เพื่อสร้างกำไรให้กับเทรดเดอร์กับ

 

การสังเกตุพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาในรูปแบบต่างๆนั้นเปรียบเสมือนการหา “สัญญาณ” ว่าในอนาคตเนี่ย ราคามีโอกาสไปในทิศทางใดมากกว่ากัน ซึ่ง Price action ก็เหมือนกับตัวใบ้ว่าราคาจะขึ้น หรือ ลง นั้นเอง

111
ดึกๆ แบบนี้เราว่าดูเรื่อง forex Price action ใน Forex คืออะไร ตอนที่ 1 ใช้อย่างไร

หน้าตาของ Price action

Up bar: หรือที่เรียกว่า “Bullish bar” เป็น bar หรือ แท่งเทียน ที่ทำ High สูงขึ้น และ Low สูงขึ้น กว่าแท่งก่อนหน้า แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้น ฝั่งซื้อมีกำลังมากกว่าฝั่งขาย

โดยปกติ แท่งเทียนจะเป็นสีเขียว (ราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด) แต่บางครั้งแท่งเทียนสามารถเป็นสีแดงได้เช่นกัน (ราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด) เพราะถ้าแท่งเทียนยังคงลักษณะที่ทำ High สูงขึ้น และ Low สูงขึ้น กว่าแท่งก่อนหน้า ก็ยังคงเรียกว่า Up bar

 

Down bar: หรือที่เรียกว่า “Bearish bar” ตรงกันข้ามกับ Up bar เป็น bar หรือ แท่งเทียน ที่ทำ High ต่ำลง และ Low ต่ำลง กว่าแท่งก่อนหน้า แสดงถึงแนวโน้มขาลง ฝั่งขายมีกำลังมากกว่าฝั่งซื้อ

โดยปกติ แท่งเทียนจะเป็นสีแดง (ราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด) แต่บางครั้งแท่งเทียนสามารถเป็นสีเขียวได้เช่นกัน (ราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด) เพราะถ้าแท่งเทียนยังคงลักษณะที่ทำ High ต่ำลง และ Low ต่ำลง กว่าแท่งก่อนหน้า ก็ยังคงเรียกว่า Down bar

 

Inside bar: บางครั้งเรียกกันว่า “Narrow range bar” โดย Inside bar จะมีลักษณะ High ต่ำกว่าแท่งก่อนหน้า และ Low สูงกว่าแท่งเทียนหน้า รูปแบบเป็นการบีบตัวแคบลงของราคา แสดงถึงการราคายังไม่สามารถเลือกทิศทางได้ และถ้าราคาทะลุไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่งก็แสดงว่าตลาดได้เลือกทิศทางที่จะไป

 

Outside bar: บางครั้งเรียกกันว่า “Mother bar หรือ Wide range หรือ Engulfing bar”) เป็นลักษณะที่แท่งเทียนทำ High สูงกว่าแท่งก่อนหน้า และ Low ต่ำกว่าแท่งเทียนหน้าเช่นกัน ตำแหน่งของราคานั้นก็แสดงถึงแรงซื้อ หรือแรงขายของฝั่งนั้นที่มีกำลังมากกว่า

อีกนัยความหมายนึงของรูปแบบนี้ ถ้าแท่งเทียนล่าสุดคลุมแท่งเทียนก่อนหน้าทั้งหมด ถ้าราคาปิด (Close) และเปิด (Open) คลุมแท่งเทียนราคาปิดและเปิดก่อนหน้าทั้งหมด และปิดบวก แสดงถึง ฝั่งซื้อมีกำลังมากกว่า แต่ถ้าราคาปิดลบครุมแท่งก่อนหน้าทั้งหมด แสดงถึงฝั่งขายมีกำลังมากกว่า

 

Pin bar: ลักษณะไส้เทียน ยาวๆ ออกฝั่งใดฝั่งหนึ่ง และราคาอยู่ตรงข้ามกับฝั่งนั้น ถ้าเป็นลักษณะไส้เทียนยาวๆออกด้านล่าง และราคาปิดอยู่บริเวณด้านบนเป็นลักษณะ Bullish pin bar แสดงถึงระหว่างวันเกิดแรงขาย แต่สุดท้ายก็มาแรงซื้อกลับเข้ามา ในทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นลักษณะไส้เทียนยาวๆขึ้นด้านบน และราคาปิดอยู่บริเวณด้านล่างของแท่งเป็นลักษณะ Bearish pin bar แสดงถึงระหว่างวันแรงซื้อพยายามดันราคาขึ้นไป แต่สุดท้ายก็เกิดแรงขายที่รุนแรงกว่าดันราคากลับลงมา

 
Price action ใน Forex คืออะไร ตอนที่ 1
 

เทรดเดอร์หลายคนที่เริ่มเข้ามาเทรดในตลาด Forex ได้สักพัก มักจะเริ่มได้ยินเพื่อนๆเทรดเดอร์เริ่มพูดถึงการเทรดแบบดู Price action หรือ พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคา ซึ่งบางคนอาจจะยังงงๆว่าเจ้าสิ่งนี้มันคืออะไร อะไรคือ Price action … ถ้าพูดกันอย่างง่ายที่สุดเลยการดู Price action คือการดูกราฟเปล่าๆนั้นเอง ไม่ใช้ Indicators หรือพวกเส้นค่าเฉลี่ย อะไรทั้งสิ้น ดูพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาจากกราฟเปล่าๆ ทั้งในรูปแบบของ Candlestick chart และ Bar chart

 

ซึ่งมีเทรดเดอร์ในตลาด Forex หลายท่านที่ประสบความสำเร็จใช้วิธีนี้ในการเทรด เพราะพวกเขาเชื่อว่าพวก Indicators หรือเส้นค่าเฉลี่ยต่างๆ ล้วนมาจากการคำนวณของราคา ทั้ง Open High low และ Close ที่ปรากฎอยู่บนกราฟแล้วทั้งสิ้น พวกเขาเหล่านั้นจึงไปโฟกัสการดูพฤติกรรมของราคาเลย แทนที่จะไปดูพวก Indicators


112
วันนี้ทีมแอดมินสุดหล่อจะมาขอนำเสนอ forex Position คืออะไร ใช้อย่างไร


การประยุกต์ใช้หลักการของ position
จริงๆแล้วหลักการที่เราใช้มากที่สุดในเรื่องของ position ประกอบไปด้วยหลักการง่ายๆดังต่อไปนี้นะครับ

        1 ใช้ในการอ่านออกเสียง ว่านี่คือการเปิด โพ สิ ชั่น บาย หรือว่า เซล แล้วแต่ความต้องการ

        2 ใช้ในการ Post เพื่อบอกตำแหน่งของการใช้ buy หรือ sell ให้ถูกต้อง เพื่อให้คนทั้งหลายทราบ

        3 ใช้ในการประยุกต์เข้ากับหลักการเทรดแบบต่างๆ ตามต้องการ

ดังนั้นทุกตำแหน่งที่มีนั้นเกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับความต้องการใช้ค่า position นับจากนี้ไปขอให้คุณเลือกใช้ค่า position ให้ถูกต้องตามที่ได้กล่าวไว้ในทั้ง 3 ประการข้างต้นนี้นะครับ



Position กับการเทรด forex
อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น การใช้ค่า position มีความเกี่ยวพันกันอย่างยิ่งกับการเทรด ดังนั้นเมื่อคุณเริ่มต้นทำการเทรด forex สิ่งสำคัญประการหนึ่งคือ การอ่านค่าต่างๆของการเทรดให้ถูกต้อง ซึ่งการทำแบบนี้นั้นเท่ากับว่าเป็นการเพิ่มมูลค่าการเทรดของคุณให้ดีขึ้น และที่สำคัญคือ เป็นการสร้างความมั่นใจ ว่าคุณนั้นก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เทรด forex ได้ถูกต้องตามที่เราต้องการอย่างแน่นอน ดังนั้นลองดูนะครับ

สรุปแล้ว คำว่า position คือหมายถึงการเปิดสัญญาซื้อ (Buy) หรือว่า เปิดสัญญาขาย (Sell) โดยมีความหมายรวมไปด้วยกับคำว่าปิดสัญญาณ ดังนั้นเวลาคุณเลือกอ่านค่าของสัญญาณก็สามารถเลือกใช้คำเหล่านี้ได้นั่นเอง

Posttion คืออะไร
คำศัพท์ที่น่าสนใจอีกคำหนึ่งที่มีความสำคัญมากต่อการเทรด forex ของคุณ คือคำว่า position สำหรับคำนี้นั้น จะเกี่ยวข้องทุกครั้งกับการเทรดของคุณ และยังมีความสำคัญคือ ทำให้คุณนั้นสามารถเทรด forex ได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นเรามาดูกันว่าความหมายของคำว่า Position คืออะไร มาดูกันครับ

Posttion คืออะไร
Position หมายถึงตำแหน่งที่เราเปิด หรือปิดสัญญาสำหรับเทรด forex ซึ่งอาจเป็นค่าตัวเลขอย่าง 128.72345 หรือ 3.3234 ขึ้นอยู่กับว่าเราเทรด โดยใช้โปรแกรมเทรด forex แบบไหน เวลาเราเทรดกันก็จะใช้ชื่อเรียกง่ายๆว่า เปิด โพ สิ ชั่น ซื้อ (หมายถึง Open Position buy) หรือ บอกว่า ปิด โพ สิ ชั่น ขาย (หมายถึง Close postion sell) อย่างนี้เป็นต้นครับ

วิธีการวาง position
วิธีการในการวาง position มีขั้นตอนการดำเนินการอย่างง่ายๆดังต่อไปนี้คือ ให้เราทำการเลือกเวลาที่ต้องการที่จะเปิดสัญญาให้ชัดเจน จากนั้นก็ทำการเปิดสัญญาไป หรือว่าเมื่อเราทำกำไรจนถึงระดับที่เรานั้นมีความพึงพอใจ เราก็ทำการปิดสัญญาไปเพียงเท่านั้นครับ แค่นี้ง่ายๆ จริงแล้ว คำนี้เราเอาไว้ใช้ในการคุยกันมากกว่านะครับ

113
เรื่องต่อไปที่ต้องการนำเสนอคือ forex Position sizing สำหรับ Forex traders คืออะไร ใช้อย่างไร


Position sizing สำหรับ Forex traders คืออะไร
 

  เทรดเดอร์ที่ปราศจากการคำนวณ Size ของไม้ที่จะเทรดนั้นไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จในเส้นทางนี้ได้เลย เพราะว่าสิ่งนี้จะคอยเป็นตัวคุมความเสี่ยงของเราให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมอยู่ตลอด ให้การเติบโตของพอร์ตเป็นไปอย่างค่อยไปในรูปแบบของ “การเทรด” มากกว่า “การพนัน” ที่พอร์ตมักสวิงขึ้นลงแรง

ขั้นตอนง่ายๆ ในการกำหนดขนาด Size ในการเทรดให้เหมาะสม (Position size)

Step 1: วัดจุด Stop loss

สิ่งแรกที่ต้องใช้ในการคำนวณ Position size นั้นก็คือ Stop loss โดยจะนำระยะ Stop loss ไปคำนวณ … ข้อผิดพลาดที่เทรดเดอร์หลายคนมักทำผิดกันคือ คำนวณ Stop loss จาก Position size ที่จะเปิดของตัวเอง … ซึ่งเป็นสิ่งผิดพลาดอย่างร้ายแรงเลยทีเดียว

  ใน Forex การหาระยะของ Stop loss นั้นสามารถวัดได้เป็นจำนวน pips เช่น EURUSD เข้า Long ที่ 1.4000 วาง Stop loss ที่ 1.3990 ดังนั้น ระยะ Stop loss เท่ากับ 0.0010 หรือ 10 pips

 

Step 2: กำหนดความเสี่ยงที่รับได้

อันนี้เป็นหน้าที่ของเทรดเดอร์ว่าตัวเราเองนั้นสามารถรับความเสี่ยงได้แค่นั้น เป็นความเสี่ยงที่จะบอกว่า ในการเทรดแต่ละไม้เรายอมให้ขาดทุนสูงสุดเต็มที่ที่เท่าไหร่เมื่อเทียบกับขนาดพอร์ต เช่น ขนาดพอร์ต 100,000 ดอลลาร์ รับความเสี่ยงได้ 2% เท่ากับเรายอมขาดทุนสูงสุดต่อไม้ที่ 2,000 ดอลลาร์ เป็นต้น

ระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกันก็จะส่งผลให้ผลลัพธ์ที่ได้นั้นแตกต่างกันด้วยเช่นกัน ถ้าเราเปิดความเสี่ยงมาก โอกาศการได้รับผลตอบก็มากตาม แต่อย่าลืมว่าเหรียญมี 2 ด้าน โอกาสการขาดทุนก็เพิ่มเช่นกัน เทรดเดอร์ต้องตระหนักถึงสิ่งนี้

 

ขนาดพอร์ต   1%   3%   5%
$ 100,000   $ 1,000   $ 3,000   $ 5,000
$ 500,000   $ 5,000   $ 15,000   $ 25,000
$ 1,000,000   $ 10,000   $ 30,000   $ 50,000
$ 2,500,000   $ 25,000   $ 75,000   $ 125,000
 

Step 3: ดู Lot sizes และ pip values

ในการเทรด Forex นั้น ขนาด Position size นั้นจะระบุเป็นจำนวน Lots ที่เปิดต่อการเทรด โดยปกติประเภท Lot ในการเทรด Forex จะมีอยู่ 3 ประเภทหลัก คือ Standard lots , Mini lots และ Micro lots

ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกประเภท Lot อะไรในการเทรด ซึ่งแต่ละประเภท Pip values ก็จะต่างกันออกไป

            1 Standard lot >> 1 pip = $10

1 Mini lot >> 1 pip = $1

1 Micro lot >> 1 pip = $0.1

อย่าง 10 Micro lot ก็จะเท่ากับ 1 Mini lot และ 10 Mini lot ก็จะเท่ากับ 1 Standard lot เป็นต้น

ส่วน pip values นั้นแต่ละคู่สกุลก็จะแตกต่างกันออกไป สามารถดูได้จาก Website : https://www.mataf.net/en/forex/tools/pip-value ว่าการเปลี่ยนแปลงของแต่ละ pip นั้นมีมูลค่าเท่าไหร่เมื่อเทียบเป็นเงิน USD , EUR , GBP

 

Step 4: คำนวณ lot size

     นำขั้นตอนทั้งหมดที่กล่าวมาตั้งแต่ 1-3 มาหาขนาด lot ที่จะเปิด โดยเข้าสูตร 

                   (Risk per trade) / (Stop loss in pips) = mini lots << ใช้ Mini เพราะ 1 pip = $1

ตัวอย่าง

พอร์ต = $2,000

กำหนดความเสี่ยงที่ 2%

Stop loss = 50 pips

คำนวณ Lot ได้ = $40 / 50 = 0.8

คือเราต้องเปิด 0.8 mini lots หรือ 8 micro lots นั้นเอง

 

ระยะ Stop loss   $5 risk   $10 risk   $20 risk   $50 risk   $ 100 risk   $ 200 risk
5     1 mini l.   2 mini l.   4 mini l.   1 standard l.   2 standard l.   4 standard l.
10   5 micro l.   1 mini l.   2 mini l.   5 mini l.   1 standard l.   2 standard l.
20   2 micro l.   5 micro l.   1 mini l.   25 micro l.   5 mini l.   1 standard l.
30   1 micro l.   3 micro l.   6 micro l.   16 micro l.   33 micro l.   66 micro l.
50   1 micro l.   2 micro l.   4 micro l.   10 micro l.   2 mini l.   4 mini l.
75   เล็กเกินไปที่จะเปิดได้   1 micro l.   2 micro l.   6 micro l.   13 micro l.   26 micro l.
100   1 micro l.   2 micro l.   5 micro l.   1 mini l.   2 mini l
เห็นไหมละครับว่า ไม่ยากเลย เพียง 4 ขั้นตอนก็สามารถคำนวณหา Position size ในการเทรดได้แล้ว ลองนำหลักการดังกล่าวไปใช้ เพื่อให้การเทรดของเรานั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นไปกันนะครับ


"Position Sizing คือ การบริหารความเสี่ยงด้วยการจำกัดผลการขาดทุนของ Portfolio หรือการเทรดในแต่ละครั้งโดยคิดเป็นเปอร์เซนต์และคำนวณออกมาเป็นจำนวนหุ้นที่ จะเข้าซื้อ"

โดยมีสูตรดังนี้

Position Sizing = (%Risk x Portfolio)/(Buy-Stop)


ยกตัวอย่างประกอบความเข้าใจ โดยโจทย์มีอยู่ว่า

ถ้าเรามีเงินทุน 100,000 บาท ต้องการที่จะเทรดหุ้น A โดยสามารถรับความเสี่ยงได้ไม่เกิน 2% (หมายความว่าจะขาดทุนได้ไม่เกิน 2% ของเงินลงทุน) จากกราฟด้านล่างเราจะเข้าซื้อหุ้น A ที่ราคา 13.7 บาทและกำหนดจุด Stop Loss ที่ราคา 12 บาท คำถามเราจะซื้อหุ้น A เป็นจำนวนเท่าไร


 

จากสูตรด้านบนเราสามารถหา Position Sizing =  (0.02x100000)/(13.7-12) = 1,176 หุ้น

จากคำอธิบายด้านบนความเสี่ยง 2% ของ Port จะทำให้เราขาดทุนได้ไม่เกิน 2,000 บาท

ดังนั่นจากการหา Position Sizing ได้เท่ากับ 1,176 หุ้น เราสามารถคำนวณกลับได้เช่น...ถ้าราคาลงมาถึงจุด Stop Loss เราจะขาดทุนไม่เกิน 2,000 บาทจริงไหม!!! โดยการเอา (13.7-12)x1176 = 1,999.2 บาท จะเห็นได้ว่าจะไม่เกิน 2,000 ตามที่คำนวณไว้

เพื่อความเข้าใจผมคิดว่าต้องมีคนตั้งคำถามนี้แน่นอน แล้วจุด Stop Loss กับ 2% Risk ไม่เหมือนกันหรอ ใช่ครับไม่เหมือนกัน จุด Stop Loss คือการหยุดขาดทุนของราคาจากที่เราได้เข้าซื้อที่ราคาใดราคาหนึ่ง โดยจะมีเปอร์เซนต์แตกต่างกันออกไปตามเทคนิค ส่วน 2% Risk คือการจำกัดการขาดทุนของเงินลงทุนของเราทั้งหมดได้ไม่เกิน 2%

Position Sizing
โดยปกติแล้วเรามักจะรุ้จักแต่การกำหนด Cut loss โดยอิงกับราคาที่เราคิดว่าหุ้นมันไปผิดทางแล้ว แล้วนำมาคำนวนsize ของจำนวนเงินและจำนวนหุ้นที่จะซื้อเช่น กำหนด Portfolio Risk ไว้ที่ 2% ถ้าพอร์ท 1ล้านบาทเท่ากับว่าคุณยอมเสียตังค์แต่ละเทรดเป็นเงิน 2หมื่นบาท เอาล่ะทีนี้ราคาหุ้นที่คุณจะซื้อคือ 10 บาท จุดหักกลับที่คุณคิดว่าหุ้นไปผิดทางคือหรือ cut loss 9 บาท นั่นก็คือ ถ้าคุณนำเอาเงิน 20,000 บาท มาเทียบว่ามีค่าเท่ากับส่วนต่าง 1 บาทของเราคาหุ้น เราซื้อหุ้นที่ราคา 10 บาทจะเป็นเงิน 200,000 นั่นเอง ( ไม่รวมคอมมิสชั่น )
ถ้ายัง งงๆ นะครับ

Portfolio Risk = 1,000,000 * 2% = 20,000 บาท
หา Size ของจำนวนเงินที่จะเทรดได้โดย
หาจุด Cut loss ก่อน เช่นซื้อ 10 บาท ขาย 9 บาท ส่วนต่าง = 1 บาท
นำส่วนต่าง1บาทมาเทียบกับ Port risk = 20,000
เมื่อ 20,000/1 บาท ถ้าหุ้นราคา 10 บาทต้องใช้เงิน = 200,000 บาท
พูดเป็น สมการง่ายๆคือ Port risk/ส่วนต่าง * ราคาหุ้น นั่นเองครับ ทีนี้เราก็หาจำนวนเงินที่จะซื้อได้ง่ายๆแล้วนะครับ
จริงๆ สูตรสมการนี้จะง่ายกว่าเดิมอีก เอาแบบลัดไปอีก เอาเป็นหาจำนวนหุ้นที่จะซื้อเลย ก็แค่นำ Port risk/ส่วนต่าง = จำนวนหุ้นที่จะซื้อแล้วครับ
การทำ MM นั่นมีหลายวิธี แต่วิธีที่เป็นที่นิยมและหลายๆ Trader นั่นนำมาใช้คือการทำ Position Sizing

114
วันนี้ exness-free ขอนำเสนอเรื่อง forex Player’s edge คืออะไร ใช้อย่างไร

สิ่งสำคัญที่เทรดเดอร์แต่ละคนต้องมีเลยคือ Edge ของตัวเอง หรือที่เรียกกันว่า Player’s edge เป็นข้อได้เปรียบในการเทรดของเรา โดยข้อได้เปรียบในการเทรดนี้ก็ต้องมีผลตอบแทนที่คาดหวังโดยรวมเป็นบวก หรือหักพวกค่าธรรมเนียมการซือ้ขาย และพวก Slippage ออกไปแล้ว ซึ่งหากเรามีสิ่งนี้ เราก็จะสามารถทำกำไรในโลกการเทรดได้ในระยะยาวได้

 

ในเรื่องของระบบการเทรดของเทรดเดอร์นั้นก็ควรเป็นระบบที่เรียบง่ายและมั่นคง อาศัยหลักการที่ต้องถูก ไม่ควรซับซ้อนเกินไป มิฉะนั้นเมื่อพฤติกรรมตลาดเปลี่ยนแปลงไป ระบบอาจพังได้ ส่วนตัวยังเชื่อว่า ถ้าหลักการเราถูกต้อง ทดสอบอย่างไรก็ถูกต้อง การปรับค่าเล็กๆน้อยๆ ไม่ควรทำให้ผลตอบแทนนั้นเปลี่ยนไปมาก หรือเปลี่ยนไปจากบวกจนเป็นลบ เป็นต้น และไม่จำเป็นต้องไปทำให้มันสมบูรณ์แบบ เพราะในโลกแห่งการเทรดไม่มี 100% ขอแค่ให้ระบบเราอยู่รอดทุกสถาพตลาดก็ถือว่าประสบความสำเร็จในการใช้อย่างยิ่งแล้ว

 

ระบบการเทรดที่พูดถึงนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็น System อาจจะเป็นกลยุทธ์อะไรต่างๆก็ได้ ขอเพียงให้เรามี Edge หรือมีข้อได้เปรียบในการเทรด ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นตัวช่วยให้เราสามารถทำกำไรได้ในตลาด Forex แห่งนี้ได้

 Player’s edge คืออะไร
 

เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมเจ้าของคาสิโนถึงรวยเอาๆ แต่คนที่ไปเล่นส่วนใหญ่มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง คนทั่วไปเชื่อว่าการพนันนั้นโอกาส 50 / 50 แต่ลองมาดูจริงๆแล้วคาสิโนนั้นเก็บค่าต๋งเรา เช่นว่าเวลาเราเล่นเกมส์ 1 ตา โอกาส 50 / 50 แทง 100 ได้ 95 แต่เวลาเสีย 100 เต็ม ซึ่งบางคนอาจดูว่าเล็กน้อย แต่ในระยะยาวแล้วนั้นผู้เล่นนั้นเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเรียกกันว่าเป็น “House advantage” ซึ่งในทางคณิตศาสตร์ถ้าผลตอบแทนคาดหวังของเราเป็นลบ เราจะไม่มีวันที่จะชนะตลาดเลย แม้ว่าจะใช้หลักการบริหารความเสี่ยงที่ดีแค่ไหน

115
สามทุ่มพอดี นักเทรดมือใหม่ รวมถึง มืออาชีพ ลองมาดูศัพท์ใหม่ๆ กันนะครับ forex Pip, Points คืออะไร ใช้อย่างไร
 


คำว่า Pip คืออะไร

โดยทั่วไป การเพิ่มขึ้นของค่าเงินนั้นจะบอกเป็น Pip ถ้า EUR/USD เคลื่อนที่จาก 1.2250 ไปที่ 1.2251 นี่คือเคลื่อนที่ไป 1 pip  PIP คือ จุดทศนิยมตัวสุดท้ายซึ่งถูกอ้างอิงจากราคาปัจจุบันของตลาด กำหนดให้มีสี่ตำแหน่งที่ใช้กัน ในบางโบรกเกอร์อาจจะมีถึงห้าตำแหน่ง  PIP เป็นสิ่งที่บอกให้คุณรู้ว่า คุณได้กำไรหรือขาดทุน

โดยแต่ละค่าเงินก็มีค่างของตัวมันเอง มันเป็นสิ่งที่จำเป็นที่ต้องคำนวนค่าของ pip สำหรับค่าเงินนั้นๆ ค่าเงินที่ USD ขึ้นก่อน สามารถคำนวณได้ดังนี้

เช่น USD/JPY อยู่ที่ ราคา 119.80(โดยส่วนมากจะมีทศนิยมสองตำแหน่ง ) ในกรณีนี้ 1 pip เท่ากับ 0.01
ดังนั้น
USD/JPY
119.80
0.01 หารด้วย อัตราแลกเปลี่ยน = pip value
0.01/119.80 = 0.0000834
ดูเหมือนกับกว่ามีตัวเลขที่เยอะมากแต่เราจะอธิบายตัวเลขนี้ในภายหลัง

USD/CHF
1.5250
0.0001 หารด้วยอัตราแลกเปลี่ยน = pip value
0.0001/1.5250 = 0,0000655

USD/CAD
1.4890
0.0001 หารด้วยอัตราแลกเปลี่ยน = pip value
0.0001/1.48990 = 0.00006715

และในกรณีที่ US ดอลล่าร์ ไมได้อยู่เป็นตัวแรก และเราต้องการที่จะได้รับเป็นค่าของดอลล่า เราทำได้ดังนี้
EUR/USD
1.2200
0.0001 หารด้วยอัตราแลกเปลี่ยน = pips value
ดังนั้น
0.0001/1.2200 = EUR 0.00008196
แต่พวกเราต้องการทำให้เป็นหน่วย US ดอลล่าร์ เราจึงต้องคำนวนใหม่เป็น
EUR คูณ อัตราแลกเปลี่ยน
ดังนั้นจะเท่ากับ
0.00008196 * 1.2200= 0.00009999
เราปัดทศนิยมให้เป็นสี่ตำแหน่งจะได้เป็น 0.0001

GBP/USD
1.7975
0.0001 หารด้วยอัตราแลกเปลี่ยน = pip value
ดังนั้น
0.0001/1.7975 =GBP 0.0000556
แต่เราต้องการทำให้เป็นหน่วยของ US ดอลล่าร์ ซึ่งคำนวนได้ดังนี้
GBP*อัตราแลกเปลี่ยน
ดังนั้นจะได้เท่ากับ
0.0000556*1.7975=0.0000998
เราปัดเป็นทศนิยมสี่ตำแหน่งเป็น 0.0001

สำหรับค่าเหล่านี้ คุณไม่ต้องคำนวนอะไร เราอยากให้ทราบถึงที่มา ว่ามันมาอย่างไร ทั้งหมดนี้ โบรกเกอร์จัดการให้คุณแบบอัตโนมัติ  มันเป็นสิ่งที่ดีที่คุณควรจะรู้ว่ามันทำงานอย่างไร

"Pip" และ "Point" คืออะไร คิดจากอะไร และแตกต่างกันอย่างไร
  เป็นคำถามสำหรับมือใหม่หัดเล่น ที่ส่วนใหญ่ทุกคนต้องสงสัยและถามว่า Pip กับ Point มันคืออะไร คิดจากอะไร แตกต่างกันอย่างไร


"Point"  หรือจะเรียกอีกอย่างว่า “จุด” เราจะใช้นับจุดทศนิยมตำแหน่งที่ 5 เช่น EUR/USD, EUR/CAD, EUR/AUD, EUR/CHF,  AUD/USD เป็นต้น เช่น
ราคาที่ 1.35500 ไปที่ราคา 1.35505 ราคาเคลื่อนที่ไป 5 Point  หรือ 5 จุด
ราคาที่ 1.35500 ไปที่ราคา 1.35510 ราคาเคลื่อนที่ไป 10 Point  หรือ 10 จุด
"Pip" เราจะใช้นับจุดทศนิยมตำแหน่งที่ 4 เช่น
ราคาที่ 1.3550 ไปที่ราคา 1.3555 ราคาเคลื่อนที่ไป 5 Pip
ราคาที่ 1.3550 ไปที่ราคา 1.3560 ราคาเคลื่อนที่ไป 10 Pip
ดังนั้น 1 pip จะมีค่าเท่ากับ 10 Point เสมอ

สำหรับคู่ไหนที่มีทศนิยมเพียงแค่ 2 และ 3 ตำแหน่ง เช่น ค่า EUR/JPY,  USD/JPY,  AUD/JPY, CAD/JPY, NZD/JPY,  XAU/USD เราจะนับดังนี้

"Point"  หรือจะเรียกอีกอย่างว่า “จุด” เราจะใช้นับจุดทศนิยมตำแหน่งที่ 3 เช่น
ราคาที่ 141.330 ไปที่ราคา 141.335 ราคาเคลื่อนที่ไป 5 Point  หรือ 5 จุด
ราคาที่ 141.330 ไปที่ราคา 141.340 ราคาเคลื่อนที่ไป 10 Point  หรือ 10 จุด
"Pip" เราจะใช้นับจุดทศนิยมตำแหน่งที่ 2 เช่น
ราคาที่ 141.30 ไปที่ราคา 141.35 ราคาเคลื่อนที่ไป 5 Pip
ราคาที่ 141.30 ไปที่ราคา 141.40 ราคาเคลื่อนที่ไป 10 Pip

ดังนั้นเราจะเห็นว่า "Point"  หรือ "จุด" เราจะใช้นับการเคลื่อนของจุดทศนิยมตำแหน่งที่ 3 และ 5
"Pip" เราจะใช้นับการเคลื่อนของจุดทศนิยมตำแหน่งที่ 2 และ 4

                                                  *** ดังนั้น 1 Pip จะมีค่าเท่ากับ 10 Point เสมอ

116
บทถัดมา มาถึงคำสั่งในการเทรดกัน สำหรับ forex Pending คืออะไร ใช้อย่างไร

คำสั่ง Pending Order มันมีสองประเภทใหญ่ๆ คือ
1.คำสั่ง Limit  (อ่านว่า ลีหมิด นะครับ ไม่ใช่ ลิมิต พลาดพิงนิดนึง ) คำสั่ง Limit คือ คำสั่งที่ใช้ตั้งสวนราคา แปลง่ายๆเลยละกัน มีสองประเภท
1.1 Buy Limit  เราจะใช้ก็ต่อเมื่อ ราคามันลง ๆๆ ลงมาเรื่อยๆ เราหาแนวรับได้แล้ว ประมาณว่า เราจะรับซื้อที่ราคานี้แหระ ก็ใช้คำสั่ง Buy Limit ได้เลยในขณะที่ราคายังไม่ถึง และอีกกรณี คือ เราเห็นราคามันขึ้น ขึ้นไปเรื่อยๆ แต่เราเข้าไม่ทันละ เราต้องคิดว่า ราคามันไม่ขึ้นอย่างเดียวหรอก มันต้องย่อ ก็หาราคาที่มันจะย่อ หรือหาราคาที่จะพักตัวนั่นเอง เพื่อที่จะเข้าออเดอร์ เมื่อหาราคาย่อได้แล้ว ก็ใช้คำสั่ง Buy Limit ทันที
1.2 Sell limit  ตรงข้ามกับหัวข้อ 1.1 เลยครับ มองกลับกัน หากเราคิดว่า ราคามันขึ้นมาถึงจุดนี้ ซึ่งเป็นแนวต้าน มันเด้งลงแน่นอน เราก็ใช้คำสั่ง Sell limit ตั้งรอมันเลย อีกกรณี กราฟเป็นขาลงอยู่ ก็ต้องคิดว่า มันคงไม่ลงอย่างเดียว มันต้องขึ้นพักตัวบ้างสิ เราก็หาราคาที่กราฟเด้งพักตัว พอหาเจอแล้ว ก็ใส่คำสั่ง Sell Stop  ได้เลยครับ

2.คำสั่ง  Stop  คำสั่ง Stop คือ คำสั่งที่ใช้ตามราคา ตามเทรน  อธิบายความหมายอาจจะไม่เข้าใจ มาดูเลยละกัน มีสองประเภท เหมือนกันครับ
2.1 Buy Stop เราจะใช้คำสั่งนี้ก็ต่อเมื่อ  กรณีแรก เราเห็นราคามันลงๆ ลงมาๆเรื่อยๆ ที่นี้เราจะรอเข้า แต่ราคามันต้องสร้าง Uptrend ก่อน ก็คือ จุดต่ำสุดยกตัวสูงขึ้น จุดสูงสุดก็ยกตัวสูงขึ้นด้วยเช่นกัน เมื่อเรารู้ว่า มันเริ่มยกตัวสูงขึ้นแล้ว ก็ใช้จุดสูงสุดแรก เป็นจุดเข้า  Buy โดยตั้งสมมติฐานไว้ว่า ถ้าราคาทะลุ High แรกไป ออเดอร์ของเราจะเปิดทันที เราก็ตั้ง Buy Stop ไว้ที่ราคา High แรกเลย กรณีที่สอง เราเห็นกราฟขึ้นมาสร้างจุดสูงสุด แล้วมันย่อตัวลงไปพักตัว แต่เราคิดว่า ราคามันต้องขึ้นไปต่อแน่นอน เราก็ไปตั้ง Buy Stop ไว้ที่ตำแหน่ง High ถ้าราคาขึ้นมา ออเดอร์ของเราก็จะเปิดทันที
2.2 Sell Stop คำสั่งนี้ก็ตรงข้ามกับหัวข้อ 2.1 ถ้าเราคิดว่า ราคาจะ Breakout Low เดิม ก็ใช้คำสั่ง Sell Stop ตั้งไว้ที่ Low เดิมได้เลย

Note : คำสั่ง Stop โดยส่วนใหญ่จะใช้คำสั่งนี้เพื่อเทรดแบบรอราคาทะลุ (Breakout Trading )

นอกจากนี้เรายังสามารถ แก้ไขออเดอร์ที่เราได้ตั้งไว้ (Pending Order) สามารถแก้ได้ทั้งราคาที่จะเข้า (Entry Price ) ราคาตัดขาดทุน (Stop Loss )  ราคาเป้าหมาย (Target Price ) รวมทั้งปรับขนาดของปริมาณการซื้อปริมาณการซื้อ ขายของเรา (Volume lot size) ได้อีกด้วย โดยการคลิกขวาที่ออเดอร์ที่เราเข้าไว้ที่ Terminal (Ctrl+T)

ลองเอาไปใช้กันนะครับ หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์กับเพื่อนๆเทรดเดอร์ทุกคน

Pending Order คืออะไร

สวัสดีครับ เพื่อนๆ เทรดเดอร์ทุกคน หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินเพื่อนๆเทรดเดอร์พูดกันหลายต่อหลายครั้ง ใช้คำสั่ง Pending Order สิ ส่วนเราก็ทำหน้างงนิดๆแล้วก็ถามตัวเองว่า มันคืออะไรหว่า 555

Pending Order คืออะไร
คำว่า Pending Order ผมขอทับศัพท์เลยละกันนะครับ ไม่ขอเขียนเป็นคำไทย เด๋วราชบัญฑิตให้ผมแก้ ถึงกับซวยเลย  Pending Order คือ ประเภทคำสั่งที่เราใช้เพื่อเข้าออเดอร์ แต่ไม่ใช้ ณ เวลานี้ (Marketหรือ Instant Executed) โดยประเภทของคำสั่งในโบรกเกอร์ มีหลายประเภทมาก แต่เราก็นิยมใช้กันก็คือ Instant Execution ถ้าให้ผมแปลก็คือ เข้าทันที ทันใด ณ ราคา ขณะนั้นเลย หรือ ภาษาบ้านๆผมก็คือ เข้าแมร่งเลย 555+  หรือบางโบรกเกอร์ อาจจะใช้คำว่า Market  อีกคำสั่งนึงที่เป็นหัวข้อของเราในวันนี้ก็คือ PendingOrder ก็คือ รอเข้าในราคาที่เราคิดว่า มันจะ… ลงมาถึง  … ขึ้นไปถึง … ทะลุไปแล้วชน แล้ววิ่งฉลุยไปเลย หรือปะสาอังกิตหน่อย (เขียนผิดนิดนึง 555 ตั้งใจๆ ) Breakout แล้วไปเลย เป็นต้น . หรือที่ผมพูดบ่อยๆ มรึงจะรีบเข้าไปไหน รอราคามันไปถึงตรงนั้นก่อน ค่อยBuy Limit หรือ ตั้ง Sell limit สวนมันเลย  ..

คำสั่งซื้อขายล่วงหน้า Pending Orders ใน Forex Markets มีทั้งหมด 4 คำสั่งดังนี้
1.Buy Limit Order
2.Buy Stop Order
3.Sell Limit Order
4.Sell Stop Order

มามะเรามาดูกันว่า ในแต่ละคำสั่งมีความหมายและสามารถนำไปใช้ในสถานการณ์ที่แตกต่างกันได้อย่างไร

Buy Limit Order คือ การตั้งคำสั่งซื้อไว้ล่วงหน้า ณ ราคาที่เรากำหนด โดยมีความต้องการที่จะซื้อในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่ได้ตั้งไว้ หากราคา ณ ปัจจุบันมีค่าต่ำกว่าราคาที่ได้ตั้งไว้เมื่อไหร่ คำสั่งซื้อที่ได้ตั้งไว้ล่วงหน้าจะทำการเปิดออเดอร์ทันที พูดเป็นภาษาชาวบ้านหน่อย ก็คือการตั้ง Buy สวนทางนั่นแหละครับ ยกตัวอย่างเช่น ณ เวลาหนึ่ง EUR/USD มีอัตราแลกเปลี่ยนเป็น 1.3750และจากการวิเคราะห์ทางเทคนิคของคุณพบว่า มีแนวรับที่แข็งแกร่งอยู่ที่ 1.3700 คุณตัดสินใจตั้ง Buy Limit Order ไว้ที่ราคา 1.3700 ณ เวลาต่อมาอัตราแลกเปลี่ยนมีค่าเท่ากับ 1.3698 นั่นแสดงว่า Buy Limit Order ที่ได้ตั้งไว้จะส่งคำสั่งเพื่อทำการซื้อ EUR/USD ทันที เพราะราคา ณ ปัจจุบันได้ลงมาต่ำกว่าราคาที่ได้ตั้งไว้แล้ว

Buy Stop Order คือ การตั้งคำสั่งซื้อไว้ล่วงหน้า ณ ราคาที่เรากำหนด โดยมีความต้องการที่จะซื้อในราคาที่สูงกว่าราคาที่ได้ตั้งไว้ หากราคา ณ ปัจจุบันมีค่าสูงกว่าราคาที่ได้ตั้งไว้เมื่อไหร่ คำสั่งซื้อที่ได้ตั้งไว้ล่วงหน้าจะทำการเปิดออเดอร์ทันที หรือเรียกว่าการตั้ง Buy ตามน้ำนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น ณ เวลาหนึ่ง EUR/USD มีอัตราแลกเปลี่ยนเป็น 1.3750 และจากการวิเคราะห์ทางเทคนิคของคุณพบว่า มีแนวต้านที่อ่อนแออยู่ที่ 1.3800 คุณตัดสินใจตั้ง Buy Stop Order ไว้ที่ราคา 1.3800 ณ เวลาต่อมา EUR/USD มีอัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 1.3811 นั่นแสดงว่า Buy Stop Order ที่ได้ตั้งไว้จะส่งคำสั่งเพื่อทำการซื้อ EUR/USD ทันที เพราะราคา ณ ปัจจุบันมีค่าสูงกว่าราคาที่ได้ตั้งไว้แล้ว

หัวข้อเรื่อง Pending Orders เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะถ้าตั้งสลับกัน นี่มันคนละเรื่องเลยนะครับ วันนี้ขอฝากให้กลับไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Buy Limit Order กับ Buy Stop Order จนมีความเข้าใจอย่างท่องแท้กันเสียก่อน เพราะในเรื่องของ Sell Limit Order กับ Sell Stop Order ก็มีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน เพียงแต่มีความหมายตรงข้ามกันเท่านั่นเอง ก็เหมือนยืนกันคนละฝั่ง

การใช้ Pending Orders ในการเทรด Forex เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์เบื้องต้น ที่ใช้กันโดยทั่วไปของฟอเร็กซ์เทรดเดอร์ในตลาด Forex มันสามารถช่วยให้คุณไม่ต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลา 24 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งมันก็ไม่ดีต่อตัวคุณและครอบครับของคุณเป็นแน่แท้ ดีไม่ดีอาจจะส่งผลต่อสุขภาพอีกต่างหาก โดยเฉพาะดวงตา แต่ถ้าเป็นสาวๆก็ระวังก้นใหญ่โดยไม่รู้ตัวนะครับผม อิอิ

Pending Orders คือ การตั้งคำสั่งเพื่อซื้อหรือขายไว้ล่วงหน้า ในราคาที่เรากำหนด โดยสามารถกำหนดระยะเวลาวันหมดอายุของคำสั่งซื้อขายตามที่เราต้องการได้อีกด้วย


117
เวลาดีๆ ใกล้สามทุ่มแล้วมาลุยกันต่อกับอีกหนึ่งช่องทางที่จำเป็นสำหรับนักเทรดมืออาชีพกันครับ กับ forex Paysbuy คืออะไร ใช้อย่างไร

ข้อดีของการใช้ Paysbuy
หากสรุปข้อดีของการเลือกใช้ Paysbuy มีอะไรบ้าง ผู้เขียนขออนุญาตนำมาเรียบเรียงเป็นข้อๆ เพื่อให้คุณได้พิจารณา มีดังต่อไปนี้คือ

1.ใช้เป็นช่องทางในการฝาก และการถอนเงินออนไลน์ ที่สะดวกรวดเร็ว และง่ายดาย เพียงแค่คุณโอนเงินผ่านตู้ ATM หรืออาจจะเป็นการโอนเงินจ่ายผ่านทางธนาคารก็สามารถเลือกทำได้ทั้งสิ้น

2.ใช้เป็นช่องทางในการซื้อสินค้า หรือผลิตภัณฑ์ออนไลน์ต่างๆ จุดเด่นของทาง Paysbuy คือมีเครือข่ายพันธมิตรเว็บไซต์เป็นจำนวนมาก ที่พร้อมสำหรับการให้บริการข้อมูลต่างๆ จนทำให้คุณนั้นสามารถเลือกซื้อสินค้าหรือบริการ โดยเพียงแค่อาศัยการตัดผ่านบัญชีของทาง Paysbuy เพียงเท่านั้น

3.คุณสามารถเชื่อมต่อการฝาก หรือการถอนเงิน เพื่อการเทรด forex ได้โดยตรงผ่านทาง Paysbuy ซึ่งทำให้สะดวกรวดเร็ว และมีค่าธรรมเนียมในการให้บริการที่น้อยมาก ทำให้กำไรที่คุณจะได้รับนั้นได้รับเต็มๆไม่มีใครมาแย่งไปอย่างแน่นอน



Paysbuy กับการเทรด forex
จุดที่ผู้เขียนค่อนข้างให้ความสำคัญมากที่สุดสำหรับ Paysbuy คือ การเชื่อมต่อเข้ากับบัญชีของทางโบรกเกอร์ forex มากมาย อาทิเช่น Exness ทำให้ระบบการฝากเงินเข้า หรือการถอนเงินออกนั้นใช้เวลาที่รวดเร็วมาก เช่นการฝากเงินเข้าบัญชีของทาง Exness เงินแทบจะเข้า Portfolio ภายใน 2 นาทีเลยทีเดียว ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นจุดเด่นมากๆ

ความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน
สำหรับความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเห็นว่า ทาง Paysbuy ซึ่งเปิดบริการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 และได้รับความไว้วางใจอย่างยิ่งจากบริษัทต่างๆ ให้ใช้เป็นช่องทางในการทำธุรกรรมออนไลน์ จนทำให้บริษัทโบรกเกอร์ต่างๆจากทั่วโลกนั้น ต่างให้ความไว้วางใจและร่วมมาเป็น Partner เป็นจำนวนมาก ดังนั้นด้วยเหตุนี้ หากคุณยังไม่มีบัญชีเพื่อการฝากถอนเงินออนไลน์ในการเทรด forex แล้ว สามารถเลือกใช้ที่ Paysbuy :
โค๊ด: [Select]
www.paysbuy.com ที่นี่แหล่ะครับเป็นตัวแทนได้เป็นอย่างดี

Paysbuy คืออะไร
มาถึงเรื่องต่อมาที่น่าสนใจในวงการการเทรด forex คือ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับธนาคารออนไลน์ ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะสามารถช่วยให้เรานั้นเทรด forex ได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้นแม้ว่าตนเองนั้นไม่มีบัตรเครดิต หรือว่าบัตรเดบิตก็ตาม สำหรับใครที่อาจกำลังหาข้อมูลในเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว วันนี้ผู้เขียนมีข้อมูลของหนึ่งที่มาฝากครับ นั่นคือ Paysbuy

Paysbuy คืออะไร
สำหรับสิ่งแรกก่อนเลยคือ Paysbuy คืออะไร ตอบดังนี้นะครับ Paysbuy คือธนาคารออนไลน์ลักษณะจะคล้ายๆกับ Paypal แต่มีความง่ายตรงที่ว่าการติดต่อข้อมูลต่างๆนั้นเป็นคนไทย ทำให้การใช้งาน การฝาก และการถอนเงิน หรือการทำธุรกรรมอื่นๆ การชำระสินค้า สามารถทำได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายมากๆ ดังนั้นเมื่อคุณเทรด forex ที่นี่จึงกลายมาเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจทันที


การทำธุรกรรมต่างๆ กับเพย์สบายมีความเป็นส่วนตัวหรือไม่

เพย์สบายให้ความสำคัญในเรื่องความเป็นส่วนตัวของคุณอย่างที่สุด เมื่อคุณทำการส่งหรือเรียกชำระเงินด้วยบริการเพย์สบายข้อมูลที่จะปรากฏ คือที่อยู่อีเมล์ของคุณเท่านั้น
ผู้อื่นจะไม่สามารถเห็นข้อมูลด้านการเงินใดๆ อาทิเช่น หมายเลขบัตรเครดิต หมายเลขบัญชีธนาคารเป็นต้น
คุณสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ในหน้า“นโยบายความเป็นส่วนตัว”

การทำธุรกรรมผ่านบริการเพย์สบายปลอดภัยหรือไม่

บริการเพย์สบายมีความปลอดภัยสูงเนื่องจากเพย์สบายใช้เทคโนโลยี SSL ซึ่งเป็นระบบความปลอดภัยที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ร่วมกับเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ทันสมัยที่สุดในการปกป้องข้อมูลสำคัญของคุณ ทำให้ระบบของเรามีความปลอดภัยเทียบเท่ากับระบบธนาคารทางอินเตอร์เน็ต (Internet Banking) ของธนาคารพาณิชย์ชั้นนำทั่วไป นอกจากนี้ขณะที่คุณทำการโอนเงินไปยังผู้รับเงินปลายทาง ผู้รับเงินจะไม่สามารถเห็นข้อมูลด้านการเงินของคุณ อาทิ ข้อมูลบัตรเครดิต หมายเลขบัญชีธนาคาร หรือข้อมูลอื่นๆ ที่เป็นความลับส่วนบุคคล คุณจึงไว้วางใจได้เมื่อต้องทำการชำระเงินให้แก่บุคคลที่คุณไม่รู้จักผ่าน PAYSBUY

เพย์สบายคืออะไร

เพย์สบาย คือบริการชำระเงินออนไลน์ที่อำนวยความสะดวกให้คุณสามารถส่งเงินไปยัง ผู้รับเงินปลายทางได้อย่างง่ายดายไม่ต่างกับการส่งอีเมล์ โดยคุณสามารถส่งเงินให้บุคคลใดก็ตามที่มีที่อยู่อีเมล์และมีบัญชีธนาคารในประเทศไทย

ทำไมต้องใช้เพย์สบาย

การใช้บริการเพย์สบายเพื่อการชำระเงิน เป็นวิธีที่สะดวกและรวดเร็วกว่าการชำระเงินตามปกติที่คุณจะต้องออกจากบ้านไปยังเครื่อง ATM หรือสาขาของธนาคารเพื่อทำการโอนเงิน หรือการส่งตั๋วแลกเงินทางไปรษณีย์สำหรับการชำระเงินบนร้านค้า หรือการประมูลทางอินเตอร์เน็ต การชำระเงินโดยการใช้ PAYSBUY สามารถอำนวยความสะดวกให้ผู้ซื้อสามารถชำระเงินให้แก่ผู้ขายได้รวดเร็ว และทำให้ผู้ซื้อได้รับสินค้าเร็วขึ้นกว่าการชำระเงินค่าสินค้าตามวิธีปกติ เนื่องจากผู้ขายสามารถรับเงิน ตรวจสอบยอดเงิน ได้ทันทีผ่านระบบอินเตอร์เน็ต จึงสามารถดำเนินการส่งสินค้าได้ทันที

บริการของเพย์สบายเหมาะสำหรับใคร

-   บุคคลธรรมดา หรือ องค์กรที่ต้องการขายสินค้าผ่านเว็บไซต์
-   ผู้ที่ต้องการความสะดวกในการใช้ระบบเชื่อมต่อกับธนาคารแต่ยังไม่มีความพร้อม
-   เว็บไซต์ที่ต้องการทำ E-Commerce เต็มรูปแบบ เพื่อรองรับการซื้อขายแบบทันที (Real Time)
-   ผู้ที่ต้องการทำธุรกรรมทางการเงิน และต้องการความสะดวกสบาย โดยสามารถทำรายการผ่านทางหน้าเว็บไซด์ได้ทันที


118
เครื่องมือสำหรับนักเทรดมืออาชีพ มือใหม่ ที่ยังไม่เคยได้ยินเข้ามาอ่านกันเร็วๆ นะครับ กับเรื่อง forex Paypal คืออะไร ใช้อย่างไร

ข้อดีของการเลือกใช้  Paypal ในทางการเทรด Forex
ต่อมาระบบ Paypal ก็สร้างระบบทางการเงินขึ้นมาอีกหลายช่องทาง เช่น ช่องทางในการอำนวยความสะดวกแก่นักเทรด Forex ได้แก่ระบบ e-currency เราจึงนำระบบนี้มาช่วยในการเทรดครับ

1.สะดวกในการทำธุรกรรมออนไลน์

สิ่งแรกที่ถือเป็นข้อดีของการเลือกใช้ Paypal คือ คุณสามารถทำธุรกรรมการฝาก หรือถอนเงินได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้ง Paypal ยังรองรับการเชื่อมต่อกับธนาคารเกือบทุกธนาคารในประเทศไทย ทำให้คุณสามารถเลือกใช้ บัญชี Paypal ได้อย่างง่ายดายและสะดวกอีกด้วย

2.รองรับการเทรด forex ของทุกโบรกเกอร์

สิ่งสำคัญประการต่อมาคือทาง Paypal ออกแบบมาเพื่อให้ตนเองนั้นรองรับกับการเชื่อมต่อของทุกธนาคาร จึงกลายเป็นเรื่องง่ายทันที เมื่อคุณเริ่มต้นทำการฝากเงินกับบรรดาธนาคารเหล่านั้น เพราะว่าคุณสามารถถอนออก โอนเข้า หรืออื่นๆได้อย่างรวดเร็ว และง่ายดายมากๆ


3.เปิดบัญชีง่าย

คุณสามารถเปิดบัญชี Paypal ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ด้วยระบบที่มีการออกแบบมาเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน คุณจึงสามารถเปิดบัญชี Paypal ได้อย่างรวดเร็ว และยิ่งถ้าคุณมีบัตรเครดิตของธนาคารต่างๆอยู่แล้ว การเปิดบัญชีเหล่านี้จะสามารถทำได้อย่างง่ายและเร็วมากๆครับ

4.ปลอดภัยต่อการถูกโจรกรรมข้อมูล

จุดนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ คงไม่ดีแน่ ถ้าคุณนั้นถูกจารกรรมข้อมูล หรือขโมยเงินในบัญชีของคุณออกไป แต่ที่ Paypal คุณสามารถหมดกังวลได้อย่างแน่นอนเพราะความปลอดภัยที่ทาง Paypal จะมอบให้กับการรักษาบัญชีของคุณ อีกทั้งการป้องกันการถูกอายัดบัตรอีกด้วย

5.ใช้งานง่ายมากๆ

การใช้งาน Paypal สามารถใช้งานได้อย่างง่ายๆทั้งผ่านเว็บบราวเซอร์ในอินเทอร์เน็ต หรืออาจเป็นการดาวน์โหลด app ของทาง Paypal เพื่อมาทำการติดตั้งบน Smart Phone ของคุณและทำการใช้งาน ส่วนตัวผมแล้ว ชอบมากครับกับการใช้งานบนมือถือ

สรุปแล้ว หากคุณเป็นนักเทรด forex การเลือกที่จะเปิดบัญชี Paypal น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดคำตอบหนึ่ง ที่คุณสามารถใช้เป็นตัวช่วยในเรื่องของการฝาก การโอน หรือการถอนเงินออกมาได้ครับ

Paypal คืออะไร


Paypal คืออะไร
เมื่อคุณต้องการเริ่มต้นในการเทรด forex การเปิดบัญชี Paypal อาจช่วยให้คุณนั้นสามารถรับเงินได้อย่างรวดเร็วจากทั่วโลก โดยที่ไม่ต้องรอเรื่องของการโอนเงินเข้ามาให้เสียเวลาแต่อย่างใด ดังนั้นมาดูกันว่าการเปิดบัญชี Paypal และ Paypal คืออะไร เพื่อที่ว่าคุณอาจเลือกใช้ Paypal เป็นช่องทางในการทำเงินให้กับคุณได้ในตลาด forex

Paypal คืออะไร
Paypal คือธนาคารออนไลน์ ที่เปิดให้เราสามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ด้วยการฝากเข้าไปที่บัญชี Paypal และรอเพื่อทำกิจกรรมอื่นๆตามที่ตนเองต้องการ โดยปกติแล้ว การใช้บัญชี Paypal ถือเป็นการช่วยให้คุณสามารถฝากและถอนเงินได้อย่างสะดวกและรวดเร็วทันต่อการเทรด forex ของคุณในทุกช่วงของการทำเงิน

ที่มาและความหมายของ Paypal ในทางทั่วไป
Paypal Inc. เป็นบริษัทออนไลน์ที่ให้บริการระบบโอนและชำระเงินผ่านระบบ Internet ระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภค (C-to-C Payment) หรือระหว่างบุคคลกับบุคคล (P-to-P Payment) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยบริษัทเริ่มให้บริการเมื่อเดือนตุลาคม 1999

บริการทั่วๆไปที่ลูกค้านิยมใช้บริการผ่าน Paypal ได้แก่ การโอนเงินระหว่างบุคคลกับบุคคล การชำระเงินค่าสินค้าในตลาด ประมูลต่างๆโดยเฉพาะตลาดประมูลระหว่างบุคคลกับบุคคลของ Ebay การทำธุรกรรมที่เป็นลักษณะเดียวกับการสั่งจ่ายเช็คระหว่าง บุคคลกับบุคคล และการชำระเงินค่าสินค้าให้แก่ร้านค้าออนไลน์ เป็นต้น

เอาง่ายๆ คือ paypal คือตนกลาง ระหว่าง คนซื้อ กับ คนขาย สมมุติว่าคุณจะซื้อของจาก ต่างประเทศหรือที่ไหนก็ตาม คุณก็ไม่ค่อยกล้าจ่ายเงินให้คนขายก่อนใช้มั้ย เช่นเดียวกัน คนขายก็ไม่กล้าส่งของให้คุณก่อน จึงเกิด paypal ขึ้นมา



ทีนี้เวลาคุณชื้อของ คุณก็จ่ายเงินให้ paypal แล้ว paypal ก็จะไปบอกคนขายว่า เฮ้…ลูกค้าเขาจ่ายตังแล้วนะ ส่งของให้เขาด่วน พอคนขายส่งของให้เราแล้ว paypal ก็ยังไม่เอาตังให้คนขายนะครับ เขาจะเก็บตังเราไว้อีก 21 วัน(ในกรณีของEbay)เพื่อรอดูว่าคนซื้อได้รับของหรือยัง ถ้าได้แล้วมีปัญหาหรือเปล่า ถ้ามีเราปัญหาหรือยังไม่ได้ของนานเกิน 3 สัปดห์ เราไม่พอใจก็แจ้งกลับไป ทาง paypal หลังจาการสอบสวนแล้ว paypal จะคืนเงินให้เรา แต่ถ้าลูกค้าไม่มีปัญหาถึงวันที่ 22 เขาถึงจะโอนเงินให้คนขายครับ เป็นระบบที่สร้างขึ้นมาเพื่อลดปัญหาในการซื้อขายของทาง Internet ครับ

Paypal ดีอย่างไร และโบรกเกอร์ที่ใช้ Paypal
หากพูดถึงเรื่องของการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ แน่นอนอยู่ว่าการทำธุรกรรมทางการเงินถึงแม้ว่าจะต้องผ่านระบบธนาคารของตัวเราเองในความเข้าใจแต่จริงๆแล้วเรื่องของการทำธุรกรรมทางการเงินนั้นไม่จำเป็นจะต้องทำเฉพาะที่เคาท์เตอร์หรือต้องทำผ่านหน้าตู้ ATMของธนาคารที่เรานั้นใช้เสมอไปในวันนี้เราขอแนะนำหนึ่งในนวัตกรรมธุรกรรมสำหรับนักธุรกิจและผู้ที่ต้องการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ ซึ่งเราเรียกบัญชีสำหรับทำธุรกรรมการเงินผ่านทางออนไลน์นี้ว่า Paypalหลายๆคนนั้นยังคง งง อยู่ว่า paypal คืออะไรและมันมีความสำคัญยังไงดีตรงไหน

paypal เป็นบัญชีที่มีผู้ใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศเป็นบัญชีสำหรับผูกเข้ากับบัตรเครดิตเดบิตของเรา และสามารถโอนเงินให้กับบัญชีของผู้อื่นหรือถอนเงินเข้าบัญชีอื่นของเราได้โดยจะผ่านบัญชีกลางนั่นก็คือ paypal สามารถช็อปปิ้งผ่านออนไลน์ได้โดยไม่ต้องใช้ระบบตัดเงินผ่านบัตรเครดิตและยังซื้อได้ถูกกว่า และมีโอกาสได้ส่วนลดในการช็อปอีกด้วย paypal เป็นบัญชีที่มีผู้ใช้มากไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศต่างก็ไว้วางใจและเลือกผูกบัญชีเข้ากับ paypal
เพราะว่าทำธุรกรรมง่ายและสามารถถอนเงิน ฝากเงินเข้าบัญชีหรือช็อปปิ้งได้ตลอด และยังสามารถแปลงเป็นสกุลเงินได้เรทเงินที่สูงกว่าค่าเงินบาทได้ในช่วงค่าเงินของแต่ละต่างประเทศนั้นขึ้นได้ด้วยเรียกได้ว่าเหมือนการเกร็งกำไรดีๆเลยละ  สำหรับวันนี้เราขอแนะนำเรื่องราวเกี่ยวกับบัญชี paypal กับโบรกเกอร์ในการใช้งานสำหรับท่านใดที่ต้องการใช้งานบัญชี paypalกับ โบรกเกอร์ forexสำหรับรับเงินถอนเงินหรือทำธุรกรรมการเงิน

ในการใช้ PayPal มีค่าธรรมเนียมอะไรบ้าง
ค่าธรรมเนียมจากการขาย 4.4% + $0.30 USD ต่อการขาย
ค่าธรรมเนียมในการถอนเงิน
ถอนเงินต่ำกว่า 5,000 บาท เสียค่าธรรมเนียม 50 บาท
หากถอนเงินมากกว่า 5,000 บาทขึ้นไป ไม่เสียค่าธรรมเนียมใดๆ

โบรกเกอร์ที่สามารถใช้งานกับ paypalได้มีดังนี้ (PAYPAL BROKER)
 

โบรกเกอร์ etoro / โบรกเกอร์ fxpro / โบรกเกอร์ OANDA  / โบรกเกอร์ instaforex  / โบรกเกอร์ roboforex

 

นี่เป็นเพียงบางส่วนสำหรับใครที่ต้องการโบรกเกอร์สำหรับเปิดบัญชี สำหรับใครที่คิดว่าสมัคร paypal นั้นเป็นเรื่องยากเพราะว่าคงจะต้องใช้เอกสารมากมายในการสมัครแล้วละก็วันนี้เราบอกได้เลยว่ามันไม่ยากอย่างที่คิด สำหรับการสมัคร paypal นั้นทำด้วยกันง่ายๆ โดยการเข้าไปที่เว็บไซต์และลงทะเบียนเว็บไซต์ดังนี้ https://www.paypal.com/th/webapps/mpp/get-started

ในการสมัคร paypal นั้นสมัครได้ง่ายและเป็นการสมัครได้ฟรีเปิดบัญชีได้ฟรีไม่ยุ่งยากเหมือนการเปิดแอคเคาท์หรือเปิดบัญชีกับทางธนาคารเพียงแต่แค่เราจะต้องมีบัตรสำหรับใช้งานหรือว่าลงทะเบียนในการเปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์แบบของบัญชีก่อน  paypalเรียกได้ว่าเป็นบัญชีที่ได้รับการออกแบบให้สามารถทำงานผ่านออนไลน์ได้อย่างคุ้มค่า

สะดวกและยังสามารถโอนเงินได้ต่อครั้งในจำนวนปริมาณมากๆสามารถเช็คยอดเงินเข้าออกยอดเงินการซื้อขายช็อปปิ้งและการทำธุรกรรมได้ตลอดเวลา เปลี่ยนรับเงินโอนเข้าเป็นเงินโอนแบบค่าต่างประเทศก็ได้  paypalถูกออกแบบให้มีคุณสมบัติเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องใช้งานธุรกรรมบนออนไลน์อย่างหนักหรือจำเป็นจะต้องใช้ธุรกรรมแบบ 24 ชั่วโมงมันจึงเป็นบัญชีที่จะช่วยเพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้ใช้งานอย่างมาก

119
ช่วงเวลาจะบ่ายสามล่ะ บทนี้เรามาเรียนรู้กันเรื่อง forex Overtrade คืออะไร ใช้อย่างไร

วิธีการแก้ปัญหาเมื่อคุณ Overtrade

ทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุดเมื่อคุณทำการ Overtrade คือการปฏิบัติตามขั้นตอนที่ผมแนะนำด้านล่างต่อไปนี้

1.หยุดการเทรดทันที! คุณต้องหยุดทันที และพักการเทรดอย่างน้อย 3 วันนะครับ ไม่อย่างนั้นแล้ว อารมณ์ที่จะพาให้คุณ Overtrade อีกครั้งจะยังคงอยู่ในใจ

2.เริ่มจากบัญชี Demo เมื่อคุณกลับมาภายหลังจาก 3 วันแล้ว ให้เริ่มต้นจากการเทรดด้วย บัญชี Demo เสียก่อน อย่าเพิ่งเริ่มต้นจากการเทรดด้วยวิธีอื่นๆ มันไม่เหมาะสมและคุณอาจพลาดได้ครับการเริ่มจากบัญชี Demo ถือว่าปลอดภัยที่สุดเพื่อแก้ปัญหาการ Overtrade อีกครั้ง

สรุปแล้วการ Overtrade นั้นจะเกี่ยวข้องกับสภาพจิตใจของผู้เทรดมากที่สุด หากไม่สามารถควบคุมข้อนี้ได้ โดโอกาสที่คุณนั้นจะทำการเทรดแบบ Overtrade ก็มีสูงมากเช่นเดียวกันครับ คุณคงไม่อยากให้พอร์ตของคุณขาวสะอาดปราศจากผลกำไรใด เพราะพิษของการทำ Overtrade อย่างแน่นอน ดังนั้นโปรดอย่าทำการ Overtrade อย่างเด็ดขาด

Overtrade คืออะไร
Overtrade คืออะไร สำคัญอย่างไรต่อ forex trader

คำศัพท์สำคัญมากอีกหนึ่งคำที่มาให้เรียนรู้กันในวันนี้สำหรับผู้ที่เป็น forex trader คือคำว่า Overtrade คำนี้มีความหมายว่าอย่างไรและเกี่ยวข้องอย่างไรกับ forex trader เรามาเจาะลึกคำว่า Overtrade ไปพร้อมๆกันครับ

Overtrade คืออะไร

การ Overtrade คือการเทรด forex โดยการเปิด Lot สูง ที่สามารถทำให้คุณนั้นหมดเงินทุนได้ภายในวันเดียว เมื่อนำคค่าเฉลี่ยของกราฟแท่งเทียนในแต่ละวันของคู่เงินนั้นๆมาทำการหารเพื่อหาค่าเฉลี่ย ซึ่งโดยปกติแล้ว สำหรับทุนไม่เกิน 10,000 บาท การเปิด Lot ที่ 0.3 ขึ้นไป ถือได้ว่าคุณสุ่มเสี่ยงต่อการทำ Overtrade แล้ว

การเทรดอย่างไรที่เข้าข่าย Overtrade

ทีนี้คุณอาจยังไม่แน่ใจว่าแบบใดที่จะเรียกว่าการเข้าข่ายการ Overtrade ถ้าอย่างนั้นผมขอสรุปมาให้เห็นเป็นภาพว่า แบบไหนที่ถือว่าคุณนั้นเสี่ยงอย่างยิ่งต่อการ Overtrade นะครับ

1.การเทรด โดยเปิด Lot สูงๆ

เรื่องนี้ง่ายมากๆ หากคุณได้อ่านประโยคท่อนบนที่ผมระบุว่าสำหรับทุนไม่เกิน 10,000 บาท การเปิด Lot ที่ 0.3 ขึ้นไป ถือได้ว่าคุณสุ่มเสี่ยงต่อการทำ Overtrade แล้ว นั่นละครับคือการทำสิ่งที่เรียกว่าการ Overtrade จริงๆหากคุณเอาใจคุณเป็นตัววัด ก็จะรู้ทันทีว่าเรา Overtrade หรือไม่

2.เริ่มมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง

อารมณ์ที่ส่งผลต่อการ Overtrade มากที่สุด มีเพียง 2 อารมณ์นี้เท่านั้นคือ อารมณ์โกรธ และอารมณ์ของความโลภ ทั้งสองอารมณ์นี้เมื่อเข้ามาครอบงำระบบ System ของคุณแล้วจะส่งผลให้คุณนั้นทำการเทรดแบบ Overtrade ทันที และที่สำคัญคือ มันผิดพลาดง่ายมาก

โอเวอร์เทรด (Over Trade) ยังเป็นประเด็นหลักๆ ที่ทำให้ล้างพอร์ต
.
….. ล่าสุดได้คุยกับพี่คนหนึ่ง ถือว่าเคสนี้เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจมาก กับเรื่องราวของการเทรดแบบ Over Trade ซึ่งนับเป็นวังวนของเทรดเดอร์มือใหม่ ที่ต้องวนเวียนเจอะเจอตลอด ในแทบจะทุกๆ รอบที่ล้างพอร์ต

 

.
….. พี่เค้าบอกเล่าประสบการณ์ว่า ไม่กี่วันมานี้ล้างมา 3-4 รอบ รอบละ 100-300$ รวมๆ แล้วก็ราวๆ พันกว่าเหรียญได้ (เหมือนจะเป็นตัวเลขที่น้อยนะครับ แหม่แต่ว่าไปถอยมอเตอร์ไซต์มือ 1 ได้สบายเลย)
.
….. ผมสอบถามถึงประเด็นสาเหตุที่ทำให้ล้างพอร์ต พี่เค้าตอบมาได้อย่างน่าชื่นชมครับว่า เกิดจากการ Over Trade ว่าแต่ทำไมต้องชื่นชม?
เหตุผลเพราะว่าอย่างน้อยการล้างครั้งนี้ พี่เค้าก็ได้รู้แล้วว่าอะไรเป็นสาเหตุสำคัญ ซึ่งแน่นอนเป็นชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญ เป็นบันไดขั้นต้นที่เทรดเดอร์ต้องเรียนรู้และก้าวผ่านไปให้ได้ ตรงกันข้ามหากล้างพอร์ตหลายรอบ แต่ยังไม่รู้ว่าล้างด้วยเหตุผลกลใด อันนี้ผมว่าคงต้องคิดทบทวนแล้วครับว่า อาชีพเทรดเดอร์เหมาะกับเราจริงๆ หรือไม่
.
….. พี่เค้วบอกว่าเงินทุน 100-300$ นี้ เทรดทีละ 0.1-0.5 ลอต ซึ่งตรงนี้ถือว่าสูงมาก เพราะ ถ้าคิดขั้นต่ำ 0.1 ลอต ขยับ 1 pips ก็ติดลบ ไป 1$ แล้ว ดังนั้นแค่กราฟขยับ 100-300 pip ก็ล้างพอร์ตพอดี
….. ช่องว่าง 100-200 pips ถือว่าต่ำมากสำหรับการเทรดในตลาดที่มีความผันผวนสูงอย่าง Forex เพราะว่าในวันที่กราฟสวิงแรง ช่วงเวลาแค่ลุกไปเข้าห้องน้ำเท่านั้น พอกลับมา เราอาจเห็นกราฟวิ่งทะลุ 100 pipsไปแล้ว
.
….. ผมตกใจมาก กับตัวเลขช่องว่างมาร์จิ้น ที่เหลือไว้ให้ติดลบได้แค่ 100-200 pips ซึ่งเป็นจำนวนที่ถือว่าต่ำมาก ตัวอย่างพอร์ต Long Term ของผมที่อยู่มาเป็นปีๆ ล่าสุดอย่างที่ทราบๆ กันว่าที่ผ่านมาเจอวิกฤติ พอร์ตผมติดลบไปรวมแล้ว 6,000 pips
** ย้ำนะครับ 6,000 pips ไม่ใช่ Point แต่ยอดบาลานซ์ผมติดลบไปแค่ 28% ดังนั้นยังเหลือพื้นที่มากพอ ให้กราฟกลับมาเข้าทาง หรือมีเวลาพอให้ตัดสินใจอย่างไม่ร้อนรน
.
….. หลักการเทรดของผมนั้นเนื่องจากเป็นการเทรดแบบระยะยาว ดังนั้นจะเทรดยังไงก็แล้วแต่ อย่างน้อยพอร์ตของผมต้องรองรับการขาดทุนหรือติดลบขั้นต่ำระดับไ 8,000 pips ขึ้นไป จึงนับว่าบริหารพอร์ตเพื่อรองรับการบริหารความเสี่ยงได้ดี
.
….. แต่ถึงกระนั้นแม้หลายคนจะอ้างว่าเป็นเทรดเดอร์ระยะสั้น ไม่จำเป็นต้องเผื่อมาร์จิ้นระดับมาราธอนขนาดนี้ก็ได้ อันนี้ก็แล้วแต่แผนการเทรดของแตละคนครับ แต่มุมมองหลักๆ เรื่องการเผื่อมาร์จิ้นไว้ให้มากและเพียงพอต่อการระยะเวลาที่ต้องใช้การตัดสินใจครั้งสำคัญ นั้นเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เป็นอันขาด เพราะการตัดสินใจในขณะที่มาร์จิ้นเหลือน้อย กับการตัดสินใจในขณะที่ระดับมาจิ้นเหลือเยอะนั้น ผลลัพธ์ที่ออกมาไม่เหมือนกันนะครับ
.
เรื่องของ Over Trade เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องระมัดระวังให้มากสำหรับการเทรดครับ จริงอยู่ผลลัพธ์ระยะสั้นอาจทำให้รวยได้ แต่ระยะยาวขอให้ฉุกคิดสักนิดว่าคุ้มค่าหรือไม่ กับการที่อาจต้องแลกด้วย สมการล้างพอร์ตไม่รู้จบ

120
มือใหม่ Forex นักเทรนเบื้องต้นเข้ามาดูกันได้นะครับ กับเรื่องที่จะนำเสนอในวันนี้ เรื่อง forex no deposit bonus โบนัสไม่ต้องฝาก คืออะไร ใช้อย่างไร

ตัวอย่างโบรกเกอร์ Forex ที่มี no deposit bonus
ต่อไปนี้เป็นการรีวิวอย่างคร่าวๆ ถึงโบรกเกอร์ที่มี no deposit bonus หรือ โบนัสที่ได้เงินฟรีๆมาทันทีโดยไม่ต้องฝากเงินก่อน แต่อย่างไรเสียคุณควรเข้าไปศึกษารายละเอียดเงื่อนไขต่างๆเพิ่มเติมด้วยนะครับ เพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือมีเงื่อนไขที่ซับซ้อนอะไรต่างๆซึ่งบางทีคุณอาจจะพบว่า ที่แจกเยอะๆอาจดีไม่สู้แจกน้อยๆก็ได้ครับ

exness-free ขอนำเสนอ ของเล่นสนุกๆ ครับ เป็นโบรกเกอร์ที่ต้องการโปรโมทหาลูกค้าเพิ่ม เทรดได้กำไรมากพอก็เบิกได้ โบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ต่างๆ เหล่านี้ แจกเงินฟรีให้เทรดกันแบบไม่ต้องฝาก (no deposit bonus )เราสามารถเบิกได้เมื่อเทรดถึงกำหนดที่ทางโบรกเกอร์กำหนดครับ  ทั้งนี้จะต้องส่งเอกสารเพื่อยืนยันตัวตนก่อนนะครับ  บางโบรกเกอร์สามารถถอนออกมาได้ทั้งหมดเลย แต่บางโบรกก็จะให้ถอนได้เฉพาะกำไรครับ

แนะนำอีกนิด ยังมีโบรกเกอร์ที่ แจก no deposit bonus   อีกหลายโบรกเกอร์ เพื่อโปรโมทบริษัท เป็นโปรโมชั่นที่ไม่ควรไปหวังอะไรกับมันมากครับ ของฟรียังไงก็คือของฟรี แต่ถ้าเอาไว้ซ้อมเทรด ก็เหมาะทีเดียวครับ ขอท้าให้เทรดให้ครบ 200$ แล้วค่อยเบิก  มีทีมงานผมคนหนึ่งเทรดได้ 200$ พอจะถอน ขอเทรดอีกไม้นึง  วึบ!! หาย สบายตาเลยทีเดียว  ขอให้สนุกครับ ลุยเลย

roboforex   มีโบนัส   $40 (แต่ต้องฝากเข้าก่อน $10)
ironfx           มีโบนัส   $25
fbs                มีโบนัส   $123 (เงื่อนไขการเบิกค่อนข้างซับซ้อน  เบิกได้จากจำนวนล็อตที่เทรด)
FXOpen       มีโบนัส   $10
PaxForex    มีโบนัส   $7
XM               มีโบนัส   $30 (แนะนำ! เพราะดูแล้วจำนวนเงินที่ให้มากและตรงไปตรงมาที่สุดแล้ว)
markets.com  มีโบนัส   $25
Nano4x        มีโบนัส   $12
AGEA           มีโบนัส   $5
NordFx        มีโบนัส   $8 (เฉพาะบัญชี Welcome Account เท่านั้น)
IncoNeon   มีโบนัส   $10
PaxForex    มีโบนัส   $7
VECTOR      มีโบนัส   $10

ซึ่งแตกต่างจาก deposit bonus หรือโบนัสเงินฝาก ซึ่งโบนัสนี้จะได้รับก็ต่อเมื่อเราทำการฝากเงินแก่โบรกนั้นๆก่อน ส่วนมากคิดเป็นจำนวน % ของเงินที่ฝาก โดยจะได้ 50%-200% กันเลยทีเดียว แต่โบนัสประเภทนี้มักเป็นโบนัสช่วยเทรดเท่านั้น ทำให้สามารถซื้อเพิ่มได้มากขึ้น เวลาได้-เสีย ก็ได้-เสียเพิ่มขึ้น ทำหน้าที่คล้ายๆ เลเวอเรจ (Leverage) เบิกมาใช้จริงๆไม่ได้ แต่สำหรับบางโบรกหากเราสามารถทำตามเงื่อนไขอันซับซ้อนของเขาได้ ก็จะสามารถเบิกเงินออกมาได้จริงๆ และแน่นอนคุณอาจต้องเวียนหัวและเสียกำลังไปไม่ใช่น้อยที่จะได้กินเงินของบรรดาโบรกเกอร์ต่างๆเหล่านั้นครับ

นักเทรดหลายๆท่านจึงมองว่า deposit bonus นั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากนัก อาจจะเป็นโทษด้วยซ้ำไปเพราะอาจทำให้ระบบ Money Management (MM) ของระบบเทรดเสียหายได้ ทำให้เทรดเกินตัว เกิด Over Lot ซึ่งทำให้มีโอกาสล้างพอร์ตได้

ส่วน no deposit bonus นั้นเป็นการแจกโบนัสให้เราไปเทรดฟรีๆ โดยไม่ต้องฝากเงินก่อนส่วนมากต้องยืนยันตัวตนให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นไปโหลด platforms ของโบรกเกอร์นั้นมาลง ถึงจะไปรับโบนัสมาเทรดได้ และต้องเทรดตามเงื่อนไขให้ได้ก่อนจึงจะสามารถเบิกเงินมาใช้ได้ ซึ่งบางโบรกเกอร์ก็สามารถถอนออกมาได้ทั้งหมดเลย แต่บางโบรกก็จะให้ถอนได้เฉพาะกำไร no deposit bonus นี้จะได้เพียงครั้งเดียว เป็นเงินที่ให้เพื่อการจูงใจในการสมัครเข้าใช้บริการของสมาชิกใหม่ครับ


ข้อดีของการใช้ no deposit bonus โบนัสไม่ต้องฝาก
เพื่อการซ้อมเทรดของเทรดเดอร์ โดยเฉพาะนักเทรดหน้าใหม่ คือหลังจากทดลองเทรดด้วยเงินปลอม หรือบัญชี Demo มาสักระยะหนึ่งแล้ว เพื่อให้รู้ถึงอารมณ์ความแตกต่างระหว่างเงินปลอมกับเงินจริง เพราะอย่างน้อยหากเทรดเสียก็จะได้ประสบการณ์ แต่ถ้าเทรดได้ก็มีเงินเข้ากระเป๋ามาฟรีๆ สมัครสมาชิกเพื่อรับเงินฟรีสัก 3 โบรกก็ไม่เสียหายอะไร แม้บางท่านอาจมองว่าเป็นโปรโมชั่นที่ไม่ควรไปหวังอะไรกับมันมาก ของฟรียังไงก็คือของฟรี แต่เชื่อไหมครับบางท่านที่เทพมากๆ ที่ผ่านการลองสนามเทรด Demo จนชำนาญแล้ว เขาเทรดจากเงินฟรีนี่แหละได้ไปถึงเป็น 1000 เหรียญ แต่ผมว่าเทรดได้สัก 200$ ก็ให้รีบเบิกมาใช้ได้แล้ว เกมส์ Forex นี่มันแปลกครับ ลองได้โลภเมื่อไหร่ เงินจะหายวับไปอย่างเร็วทีเดียว
ทดลองระบบเทรด MT4 หรือ MT5 ของ โบรกเกอร์นั้นๆ ทำให้คุณสามารถทดสอบผลิตภัณฑ์และบริการของโบรกเกอร์นั้นๆได้โดยไม่ต้องลงทุน และไม่มีความเสี่ยงแต่อย่างใด ทำให้คุณทดสอบ platforms ของโบรกเกอร์ว่าเป็นอย่างไร ใช้ลื่นมือ มีข้อติดขัดอะไรไหม และเป็นข้อดีกับคุณที่จะได้มีโอกาสทดลอง Forex โบรกเกอร์ใหม่ๆ โดยไม่ต้องฝากเงินก่อน ได้ทดสอบว่าใช้ดีไหม บริการดีไหม มีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง หากถูกใจก็ใช้บริการต่อไป ถามว่าแต่ละโบรกเกอร์ก็มีบัญชี Demo อยู่แล้ว ใช้ทดลองเทรดก็ได้ ไม่เหมือนกันหรือ? คำตอบคือระบบ Demo กับบัญชีเงินจริงความเร็วในการส่งสัญญาณจะต่างกัน แม้แต่อารมณ์ในการเทรดในแง่เงินจริงกับเงินปลอมก็ต่างกันลิบครับ ยิ่งถ้าเป็นเงินเราจริงๆที่เราฝากจริงๆจะยิ่งกดดันหนักเข้าไปอีกครับ

no deposit bonus โบนัสไม่ต้องฝาก คืออะไร

no deposit bonus โบนัสไม่ต้องฝาก คืออะไร
คำว่า no deposit bonus โบนัสไม่ต้องฝาก เป็นคำศัพท์หนึ่งที่จำเป็นต่อการเลือกโบรกเกอร์ อาจใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการสกรีนความจริงใจ หรือความใจกว้างของโบรกเกอร์ได้ สำหรับคำศัพท์คำนี้แปลว่าอะไร เรามาดูกันครับ

no deposit bonus โบนัสไม่ต้องฝาก คืออะไร
no deposit bonus โบนัสไม่ต้องฝาก คือโปรโมชั่นในการจูงใจหนึ่งของโบรกเกอร์ที่จะจูงใจให้เทรดเดอร์ เข้ามาสมัครใช้บริการในโบรกนั้นๆ โดยที่คุณไม่ต้องฝากเงินคุณก็สามารถเข้าไปเทรดด้วยเงินจริงได้ มันคือเงินให้เปล่าในฐานะลูกค้าใหม่ ซึ่งเมื่อคุณเทรดตามเงื่อนไขครบแล้วคุณก็สามารถเบิกเงินนั้นมาใช้ได้จริงๆ


หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 14
SMF 2.0.15 | SMF © 2011, Simple Machines
SMFAds for Free Forums