แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Tamol

หน้า: 1 ... 11 12 [13] 14 15 ... 17
181
ผมพยายามรวบรวมความรู้เกี่ยวกับหุ้น ตั้งแต่เริ่มต้นเอาไว้ เพื่อให้นักลงทุนรุ่นใหม่ได้ศึกษาหาความรู้ก่อนที่จะเข้าสู่สังเวียน.. เอ๊ย ขออภัย ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ (ที่บางคนก็เรียกว่า ตลาดหลอกทรัพย์บ้าง ตลาด(ห)ลักทรัพย์ บ้าง อันนี้ก็แล้วแต่กรรมแต่วาระนะครับ) ลองค่อยๆ อ่านดูด้านล่างนี้นะครับ เป็นความรู้ทั่วไปสำหรับมือใหม่ในการลงทุน สมควรจะทราบไว้เพื่อเป็นเกราะป้องกันตัวเอง


- หุ้นคืออะไร
หุ้น ก็คือเอกสารแสดงความเป็นเจ้าของกิจการโดยการร่วมทุน เช่นเมื่อเราต้องการทำธุรกิจกับเพื่อน เราก็เอาเงินมารวมกัน แล้วทำกิจการ และเพื่อป้องกันการคดโกงกันในภายหลัง เราและเพื่อนก็จะต้องทำสัญญาต่อกันว่าได้ลงทุนร่วมกัน รูปแบบหนึ่งที่บอกว่าคนหรือกลุ่มคน ได้ร่วมทุนกันทำธุรกิจ ก็คือการแบ่งเงินทุนออกเป็น "หุ้น" แต่ละ "หนึ่งหุ้น" ก็จะมีส่วนเป็นเจ้าของเท่าๆ กัน คนที่มีหุ้นหรือเรียกว่า "ถือหุ้น" มากกว่า ก็จะมีส่วนเป็นเจ้าของมากกว่าคนที่ถือหุ้นน้อยกว่า เป็นต้น
ผู้ที่ถือหุ้น จะได้รับผลประโยชน์จากการถือหุ้นในหลายลักษณะ เช่นได้รับปันผล, หรือเมื่อมีการเพิ่มทุน ก็จะได้รับสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนก่อนผู้อื่น และอาจจะในราคาถูกกว่าผู้อื่น เป็นต้น
หุ้น สามารถจำหน่ายจ่ายโอนกันได้ ดังนั้นแล้วเมื่อมีการจำหน่าย ราคาก็สามารถที่จะเปลี่ยนไปได้ตามความนิยม หรือตามความสามารถในการทำเงินของกิจการนั้นๆ หากกิจการทำเงินได้ดี ได้มาก และมั่นคง เจ้าของหุ้นก็สามารถขายหุ้นในราคาที่สูงได้ (เพราะมีคน "ยอมจ่ายเงินแพงขึ้น" เพื่อแลกกับกิจการที่มั่นคง, ทำเงินได้ดี นั้นๆ) แต่ในทางตรงกันข้าม หากกิจการประสบภาวะขาดทุน และไม่สามรถแข่งขันได้ ราคาหุ้นก็อาจจะตกต่ำลงมามากเนื่องจากไม่มีใครต้องการ
จริงๆ แล้วที่เราเรียกว่าหุ้น ยังสามารถแบ่งออกได้อีกหลายประเภทคือ หุ้นสามัญ, หุ้นบุริมสิทธิ, และหุ้นกู้ โดยที่ทั้งสามอย่างนี้ บอกถึงความมีส่วนเกี่ยวพันกับบริษัท แต่ว่าในลักษณะที่ต่างกัน


- หุ้นสามัญ (Common Stocks)
คือเอกสารที่บอกถึงความมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของในบริษัท มีสิทธิในการออกเสียงเพื่อการบริหารงาน และมีสิทธิประโยชน์อื่นๆ เช่นสิทธิในเงินปันผล สิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุน สิทธิในการได้รับจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญ (วอแรนท์ - Warrant) เป็นต้น ดังนั้น การที่เราเป็นเจ้าของหุ้น ก็เหมือนกับว่าเรามีส่วนในการเป็นเจ้าของบริษัทด้วย โดยผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรมในการลงทุนในหุ้นนั้นก็คือ ผลตอบแทนจากเงินปันผล, ผลตอบแทนจากมูลค่าหุ้นที่ (อาจจะ) เพิ่มขึ้น, และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ในการซื้อหลักทรัพย์เกี่ยวพันกับบริษัทในราคาต่ำกว่าบุคคลภายนอก ไม่ใช่เพียงแต่การซื้อมาแล้วขายไปเพื่อกำไรที่เกิดขึ้นจากราคาที่เปลี่ยนแปลงสูงขึ้นเพียงอย่างเดียว


- หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stocks)
คล้ายกับหุ้นสามัญ เพียงแต่ว่าไม่มีสิทธิออกเสียงในการบริหาร แต่มีสิทธิประโยชน์ด้านเงินปันผลมากกว่าหุ้นสามัญ กล่าวคือเมื่อบริษัทจะจ่ายปันผล จะต้องจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นบุริมสิทธินี้ก่อน หลังจากนั้นจึงจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นสามัญ เป็นต้น รายละเอียดของบุริมสิทธิที่พึงจะมี จะต้องดูในเอกสารของบริษัทนั้นๆ อีกครั้งหนึ่ง แต่โดยทั่วไปแล้ว หุ้นบุริมสิทธิ์มักไม่เป็นที่ดึงดูดในการลงทุนนัก เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการจัดทำสูง และมีสิทธิประโยชน์ (กับบริษัทผู้ออก) ต่ำกว่าหุ้นสามัญ ในขณะที่หากบริษัทถึงกาลมีปัญหาจริงๆ ก็มักไม่เหลือเงินคืนให้แก่ผู้ถือหุ้นชนิดนี้อยู่ดี นักลงทุนส่วนมากจึงมักหลีกเลี่ยงกัน


- หุ้นกู้ (Bonds)
พวกนี้ จริงๆ แล้วเป็นเอกสารแสดงความเป็นเจ้าหนี้ต่อบริษัทผู้ออกหุ้นกู้นั้น ซึ่งก็คือการที่บริษัทผู้ออกหุ้นกู้ ได้กู้เงินผู้ซื้อหรือผู้ถือหุ้นกู้นั้นเพื่อนำไปใช้ในการดำเนินกิจการ โดยสัญญาว่าจะจ่ายค่าตอบแทน (ดอกเบี้ยนั่นแหละ) ให้กับผู้ถือเป็นจำนวนเท่าใด เป็นเวลานานเท่าใด และครบกำหนดไถ่ถอนเมื่อใด ซึ่งเมื่อครบกำหนดแล้ว บริษัทก็จะนำเงินสดมาซื้อหุ้นกู้นั้นคืนจากผู้ถือตามราคาหน้าตั๋ว ซึ่งก็คือการใช้หนี้นั่นแหละครับ
ทั้งหนี้ หุ้นกู้เอง ด้วยตัวมันแท้ๆ แล้วถือว่าเป็นตราสารหนี้ (ส่วนหุ้นสามัญ, หุ้นบุริมสิทธิ เป็นตราสารทุน) แต่หากหุ้นกู้ใดถูกกำหนดไว้ว่าสามารถแปลง (ร่าง) เป็นหุ้นสามัญได้ด้วยตามแต่ที่จะได้ตกลงกันไว้ ก็จะเป็นตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ผู้ลงทุนจะต้องไปตรวจดูรายละเอียดของหุ้นกู้นั้นๆ อีกครั้งหนึ่ง
มีข้อหนึ่ง ที่ผมอยากจะบอกเล่าให้กับท่านนักลงทุนหน้าใหม่ได้ทราบ คือการซื้อขายหุ้น ก็เหมือนกับสินค้าทั่วไป คือมันมีราคา เพราะมีคนต้องการ เราขายสินค้าหรือหุ้นได้ทั้งหมดโดยไม่เหลือ ก็เพราะมีคนต้องการสินค้านั้น หรือหุ้นนั้นในปริมาณที่เรามีอยู่ คือวันหนึ่งๆ ซื้อขายกันไม่มากเท่าไร ซื้อยากขายยาก ซึ่งเราเรียกว่าเป็นหุ้นประเภทสภาพคล่องต่ำนั่นเอง ดังนั้นแล้ว หากเรามีหุ้นที่สภาพคล่องต่ำ คือไม่ค่อยมีการซื้อขาย การที่เราจะเปลี่ยนเป็นเงิน "ทั้งหมด" คือขายหุ้นได้ทั้งหมดในราคาหุ้นละเท่าๆ กับราคาสุดท้ายบนกระดาน ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก หรือหากเมื่อใด ทั้งที่บริษัทที่เราถือหุ้นอยู่ เป็นบริษัทที่ดี จ่ายเงินปันผลสูง การเติบโตดี เรียกว่าดีทุกอย่าง แต่ไม่มีใคร Bid เพื่อซื้อหุ้นนั้นบนกระดาน เราก็ขายไม่ได้ นะครับ ดังนั้นแล้ว เมื่อเราซื้อหุ้น (โดยเฉพาะหุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำ) เราจะต้องคิดว่ามันให้ผลตอบแทนได้ดี เมื่ออยู่กับเราไปเรื่อยๆ เราไม่เดือดร้อนแม้ว่าขายไม่ได้ หุ้นประเภทนี้เราต้องมองเป็นหุ้นลงทุน ไม่ใช่เก็งกำไร เพราะราคาจะกระโดดไปมาได้มาก การ Bid (ต่อราคาเพื่อซื้อ) /Offer (ตั้งราคาเพื่อขาย) อาจจะไม่ต่อเนื่องกันได้ ตรงกันข้ามกับหุ้นประเภทที่มีสภาพคล่องสูงๆ หุ้นเหล่านี้ซื้อง่ายขายคล่อง สามารถเก็งกำไรได้ง่าย (ถ้าจะทำ) อันนี้ก็แล้วแต่ท่านจะพิจารณานะครับ


- ตลาดหุ้นคืออะไร ซื้อแล้วหุ้นไปไหน
ตลาดหุ้นคืออะไร
เมื่อพูดถึงตลาด แน่นอนว่าจะต้องเป็นที่ที่มีสินค้ามากมาย และมีคนนำสินค้ามาขาย ในขณะเดียวกันก็มีคนที่เป็นลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้านั้น โดยปกติแล้วตลาดที่เราเห็นอยู่ ก็จะเป็นสินค้าอาหารแห้ง หรือสิ่งอื่นใดที่สามารถจับต้องเป็นตัวตนได้ โดยที่ถ้าสินค้าส่วนใหญ่เป็นผลไม้ ก็เรียกว่าตลาดผลไม้ ถ้าสินค้าส่วนใหญ่เป็นข้าว ก็เรียกว่าตลาดข้าว ดังนั้นตลาดหุ้น ก็คือที่ที่สินค้าส่วนใหญ่เป็นหุ้นนั่นเอง จริงๆ แล้วเรามีชื่อที่เรียกให้ไพเราะหน่อยก็คือ ตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งบอกเราให้รู้ว่า จริงๆ แล้วไม่เพียงแต่ว่าเป็นที่ซื้อขายหุ้นเท่านั้น แต่ซื้อขายหลักทรัพย์อย่างอื่นๆ ด้วย (เอ... ชักงงๆ แล้วสิ ว่าหลักทรัพย์ที่ว่านี่มันคืออะไรบ้าง) หลักทรัพย์ที่ว่านี้ ก็ประกอบไปด้วยหุ้นสามัญ, หุ้นกู้, หุ้นบุริมสิทธิ, และวอร์แรนท์ เป็นหลักครับ นั่นไงล่ะ มีตั้งหลายอย่าง ไม่ใช่ว่ามีแต่หุ้นสามัญเพียงอย่างเดียวเมื่อไร
เมื่อมีตลาดเกิดขึ้น ก็จะต้องงมีหน่วยงานที่ควบคุมดูแลการทำงานซื้อขายสินค้าภายในตลาดของตัวเองให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีการคดโกงกัน สำหรับเมืองไทยแล้วหน่วยงานนี้ก็คือ "ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย" หรือ ตลท. นั่นเอง และหน่วยงานแห่งนี้ก็ต้องมีหัวหน้าคอยควบคุมดูแล ซึ่งก็คือผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั่นแหละครับ
นอกจากตัวตลาดหลักทรัพย์ ที่มี ตลท. เป็นผู้ดูแลแล้ว ก็ยังมีหน่วยงานอีกหน่วยงานนึ่งที่มาดูแลตลาดอีกชั้นหนึ่ง (จะเทียบไปก็เหมือนกับกระทรวงพาณิชย์ ที่คอยดูแลตลาดสดจริงๆ ไม่ให้สินค้ามีราคาเกินจริง หรือไร้คุณภาพ) ก็คือคณะกรรมการกำกับและดูแลตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ กลต. ซึ่งมีหน้าที่หลักคอยควบคุมดูแลตรวจสอบการซื้อขายที่ผิดปกติ หรือการสร้างข่าวที่ผิดปกติ
อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนต้องการซื้อสินค้าภายในตลาดหลักทรัพย์ จะไม่สามารถเข้ามาซื้อขายได้เองนะครับ แต่จะต้องทำผ่านนายหน้า (โบร๊กเกอร์ - Broker) โดยนายหน้าเหล่านี้จะเป็นบริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียนพิเศษ ให้ทำกิจการซื้อขายหลักทรัพย์โดยเฉพาะ โดยผู้ซื้อขาย (นักลงทุน) จะต้องเสียค่านายหน้าเป็นจำนวนราวๆ 0.21 - 0.25% รวมกับภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 7% ของค่านายหน้า (ส่วนของภาษีนี้ บริษัทนายหน้าไม่ได้รับนะครับ แต่จะต้องนำส่งให้กับรัฐ ก็ถือว่าเป็นการพัฒนาประเทศก็แล้วกัน) โดยบางบริษัทจะคิดค่าธรรมเนียมขั้นต่ำจำนวน 50 บาท (รวมกับภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วก็เป็น 53.50 บาท) โดยคิดเฉพาะวันที่ทำการซื้อขาย แต่ถ้าเราซื้อขายจนเสียค่านายหน้าเป็นเงินจำนวนมากกว่า 50 บาทแล้ว ก็นับเอาจำนวนนั้นแทน (แน่นอนล่ะ !) บริษัทนายหน้าเหล่านี้ในปัจจุบันก็มีอยู่มากมายหลายบริษัทนะครับ หากสนใจ ก็เลือกได้ตามใจชอบ โดยอาจจะสอบถามจากเพื่อนๆ หรือคนอื่นที่เคยใช้บริการมาแล้วก็ได้ สำหรับรายชื่อของบริษัทนายหน้าค้าหุ้นเหล่านี้ สามารถดูได้จากเว็ปไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย <http://www.set.or.th/>
ข้อดีของการซื้อขายหุ้นผ่านบริษัทหลักทรัพย์ และผ่านตลาดหลักทรัพย์ก็คือ หากท่านได้กำไร ท่านไม่จำเป็นต้องเสียภาษี นะครับ (ถ้าขาดทุน ก็ตัวใครตัวมันล่ะครับ รัฐไม่เกี่ยว) แต่ถ้าท่านไปซื้อขายกันนอกตลาด จะต้องเสียภาษีด้วยนะ นอกจากนั้น ท่านยังมีเจ้าหน้าที่การตลาด หรือเจ้าหน้าที่ซื้อขายหลักทรัพย์ คอยให้คำแนะนำอีกด้วย แต่บางท่านอาจจะชำนาญมากจนซื้อขายได้เองโดยไม่ต้องการคุยกับใคร ก็สามารถที่จะเปิดบัญชีซื้อขายผ่านทางระบบอินเตอร์เน็ตก็ได้ หรืออาจจะเปิดทั้งสองบัญชีเลยก็ได้ (ผมเองก็มีสองบัญชีเลยเหมือนกัน - มือเก่าหัดขับ)
สำหรับการจ่ายเงินนั้น สามารถทำได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับประเภทของบัญชีด้วย เช่นบัญชีเงินสด หรือแบบอินเตอร์เน็ต อาจจะต้องนำเงินเข้าบัญชีไว้ก่อนเลย คือโอนเงินให้กับบริษัทนายหน้าที่เราใช้บริการอยู่ เมื่อเราซื้อหุ้น เงินก็จะถูกตัดออกจากบัญชีของเรา (ที่อยู่กับเขา) โดยอัตโนมัติ แบบนี้เรียกว่าเป็นบัญชีเงินสด หรืออาจจะเป็นบัญชีที่เรียกว่าเครดิต จะทำการจ่ายเงินอีกสามวันทำการถัดมา เช่นซื้อหุ้นวันจันทร์ ก็จ่ายวันพฤหัสบดี หรือซื้อหุ้นวันศุกร์ ก็จ่ายเงินวันพุธ เป็นต้น แบบนี้เรียกว่าเป็นบัญชีแบบเครดิต คือเราสามารถซื้อหุ้นเข้ามาได้ทั้งที่ไม่ได้จ่ายเงินเขาไว้ก่อน และหุ้นที่ซื้อนั้นก็ถือว่าเป็นของเราแล้ว คือเราสามารถขายได้ด้วย ในบัญชีแบบนี้ อาจจะมีการตัดเงินจากบัญชีธนาคารของเรา (เรียกว่าระบบตัดบัญชีอัตโนมัติ) ในวันทำการที่สามก็ได้ (ต้องเซ็นยินยอมไว้ก่อน เพื่อให้บริษัทนายหน้าไปหักจากบัญชีเราได้ ไม่งั้นธนาคารของเราย่อมไม่ยอมจ่ายเงินให้) หรือว่าจะใช้โอนเป็นคราวๆ ไปก็ได้ (ไม่ค่อยสะดวกสำหรับบางคน)

ซื้อหุ้นแล้ว หุ้นไปไหน

นักลงทุนหน้าใหม่ๆ สมัยนี้ อาจจะเคยสงสัยว่าเมื่อซื้อหุ้นแล้วหุ้นนั้นไปไหน ในสมัยก่อน เมื่อมีการซื้อขาย ก็จะต้องมีการเอาใบหุ้นมาให้เราเก็บเอาไว้เป็นหลักฐาน เวลาที่เราขาย เราก็จะต้องลงลายมือชื่อหลังใบหุ้นนั้นเพื่อโอนให้คนอื่นที่มาซื้อไป แต่เดี๋ยวนี้ตลาดหลักทรัพย์ของเรามีขนาดใหญ่ขึ้นมาก (มูลค่าตลาดปัจจุบัน 5 ล้านล้านบาท : ข้อมูล ณ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2548) และมีการซื้อขายที่หนาแน่นกว่าเมื่อก่อนหลายเท่านัก หากจะต้องให้พนักงานส่งเอกสารมาคอยรับส่งใบหุ้น ก็คงจะไม่ต้องทำอะไรกันแล้วครับ
ดังนั้นในสมัยนี้ เมื่อเราซื้อหุ้น หุ้นก็จะถูกโอนไปเก็บไว้ในระบบฐานข้อมูล ว่ามีเราเป็นเจ้าของ ตั้งแต่วันที่เท่าไร ในจำนวนเท่าไร และเมื่อเราขายหุ้นออกไป ฐานข้อมูลนี้ก็จะถูกเปลี่ยนแปลงไป โดยหุ้นก็จะวิ่งไปอยู่ในฐานข้อมูลของผู้ที่ (ได้) ซื้อหุ้นนั้นจากเราไปนั่นเอง
คนหรือหน่วยงานที่ทำหน้าที่เก็บรักษา "หุ้น" ของเราหรือที่ดูแลฐานข้อมูลของเรานี้ก็คือ บริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ไม่ใช่ตัวบริษัทนายหน้าของเรา โดยที่การเก็บรักษานี้ บริษัทศูนย์รับฝากฯ ก็จะคิดค่าเก็บรักษาด้วย โดยมีผู้ที่ใจดีออกค่าเก็บนี้ให้กับเรา ก็คือบริษัทนายหน้าของเรานั่นเองครับ ดังนั้นแล้ว เวลาเขาคิดค่านายหน้า ก็จ่ายไปแต่โดยดีเถิด เพราะบริษัทเหล่านี้ก็มีค่าใช้จ่ายไม่น้อยเหมือนกัน (ลำพังบำรุงระบบคอมพิวเตอร์และการซื้อขาย ก็หลายสตางค์แล้วครับ)
นอกจากนี้ ข้อดีของการเก็บรักษาหุ้นของเราไว้ที่บริษัทศูนย์รับฝากฯ ก็คือ เมื่อมีสิทธิประโยชน์ หรือข่าวสารเกี่ยวกับบริษัทใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรา ทางบริษัทของเรา (ต้องเป็นบริษัทของเราสิ เพราะเราถือหุ้นอยู่ จะมากจะน้อย ก็มีส่วนเป็นเจ้าของด้วยเหมือนกันล่ะน่า) ก็จะแจ้งให้บริษัทศูนย์รับฝากฯ ส่งข้อมูลมาให้กับเรา (รวมทั้งเช็คเงินปันผลจากบริษัทด้วย - อันนี้ดีมาก ผู้เขียนชอบ) เนื่องจากทางศูนย์จะเก็บข้อมูลที่อยู่ของเราไว้เพื่อการนี้ด้วย นอกจากนั้น การเก็บรักษา "หุ้น" ไว้ที่บริษัทศูนย์รับฝากฯ ยังมีข้อดีที่ว่าไม่ต้องกลัวว่าบริษัทนายหน้าของเราจะเอาหุ้นของเราไปขาย หรือไปหมุนเวียนเล่นอีกด้วย (ปัญหาที่เกิดจาก "หุ้นหาย" นั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากบริษัทนายหน้าคดโกง แต่เกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ซื้อขาย ขโมยหุ้นเราไปหมุนเวียนมากกว่า)


- แนวทางการซื้อขายหลักทรัพย์
เมื่อ (ว่าที่) นักลงทุนได้ตัดสินใจเข้ามาลงทุนโดยการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แล้ว ก็มักจะต้องทำการซื้อขายหลักทรัพย์ชนิดต่างๆ (หุ้น, วอแรนท์) แทนที่จะได้แต่นั่งดูเฉยๆ (เปรียบเหมือนกับการไปเดินเล่นที่ตลาด เดินอยู่ทุกๆ วันโดยไม่ซื้ออะไรเลย) ทั้งนี้ การซื้อขายนั้น บางท่านก็มีวิธีในการซื้อขายของตัวเอง บางท่านก็ใช้วิธีถามคนอื่นว่าหุ้นนี้ดีหรือไม่ดี ราคาจะขึ้นหรือลง (ผู้เขียนก็ถูกถามบ่อยๆ เหมือนกัน แต่ก็ไม่เคยตอบในเรื่องราคา ว่าจะวิ่งไปที่กี่บาท - มือเก่าหัดขับ) หรือถ้าพูดแบบกำปั้นทุบดิน ก็คือ "ซื้อให้ถูก (เข้าไว้ จะได้) ขายให้แพง" หรือไม่ก็ "ยอมซื้อแพง เพื่อ (หวังว่า) จะขายได้แพงกว่า" หรือไม่ก็ "ซื้อแล้ว ให้ได้ปันผลด้วย ได้กำไรด้วย (เอาหมดอ่ะ)" ซึ่งฟังๆ ดูแล้วก็ไม่น่าจะยากเย็นอะไรนักหนา แต่ว่าอย่างที่ผมเคยบอกไว้หลายที่ ทั้งผ่านกระทู้ต่างๆ ในพันทิป และในเว็ปนี้ว่า เงินทองไม่ได้หามาได้ง่ายๆ โดยการไม่ต้องคิดอะไรหรอก ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีใครจนน่ะสิ จริงไหมครับ ดังนั้นแล้ว การเข้ามาลงทุน จะต้องศึกษาถึงหลักการต่างๆ ให้ดีเพื่อที่ "น่าจะ" ทำให้ความเสี่ยงในการลงทุนของเราลดลงไป หรือมี "โอกาส" ที่จะได้กำไรกลับมา "มากกว่าความเสี่ยงที่มีอยู่" (High Risk, but higher return to cover the risk)
หลักการต่างๆ ในการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ สามารถสรุปเป็นสังเขปได้ดังนี้ :
> การซื้อขายโดยใช้ปัจจัยพื้นฐาน
เรียกว่าการซื้อโดย "ดูเนื้อผ้า" นั่นเอง เหมือนกับเมื่อเราซื้อบ้าน เราต้องดูว่าบ้านหลังนั้นให้ผลตอบแทนแก่เราอย่างไร สวยงามหรือไม่ ภายในอยู่สบายหรือไม่ เพื่อนฝูงมาหาแล้วเราภูมิใจหรือเปล่า เป็นต้น หุ้นก็เช่นกัน ในมุมมองหนึ่ง ก็คือดูปัจจัยพื้นฐานของหุ้น เช่น:
- บริษัทนั้นทำอะไร ผลิตสินค้าหรือให้บริการอะไร ในอนาคต ผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้น จะเป็นที่นิยมหรือต้องการมากน้อยแค่ไหนเทียบกับจำนวนผู้ขายในตลาด (Demand / Supply)
- บริษัทสามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่นได้หรือไม่ มีคู่แข่งที่จะมาแข่งขันได้ในอนาคตหรือไม่ อย่างไร (พิจารณา Entry Barrier, Exit Barrier, และ 5-Forces in competitiveness)
- บริษัทมีกำไรเท่าไร ทั้งอัตรากำไร (Profit Margin) และ กำไรสุทธิ (Net Profit) ยิ่งสูงยิ่งดี แต่เรื่องนี้เหมือนดาบสองคม เพราะหากอัตรากำไรสูง และตลาดกำลังเป็นที่ต้องการมาก (Emerging Market) รวมทั้ง Entry Barrier ไม่สูง ก็จะจูงใจให้ผู้ประกอบการรายอื่นกระโดดเข้ามาร่วมแข่งขัน แบ่งส่วนการตลาดไป
- ในอดีตบริษัทมีผลประกอบการเป็นอย่างไร ในอนาคตน่าจะเป็นอย่างไร หากเคยประสบปัญหา เพราะอะไร จะแก้ไขได้หรือไม่ ใช้เวลาหรือเงินหรือไม่ อย่างไร
- มีเงินสดในบริษัทมากพอขยายธุรกิจหรือจ่ายปันผลหรือไม่ ธุรกิจบางประเภท ต้องการเงินทุนเพิ่มเติมตลอดเวลา เพื่อดำรงสภาพความสามารถในการแข่งขันได้ บริษัทพวกนี้มักมีเงินสดในมือน้อย มีหนี้สินระยะยาวมาก และค่อนข้างเสี่ยงกว่าบริษัทที่ต้องการเงินทุนต่ำกว่า
- ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return On Equity - ROE) ควรจะมากกว่า 12% หรือยิ่งมากยิ่งดี ตัวเลขนี้บอกความสามารถในการดำเนินงานของบริษัทเทียบกับเงินของผู้ลงทุนที่จ่ายไป
- บริษัทมีหนี้สินมากหรือไม่ เป็นหนี้ระยะยาวหรือระยะสั้น อย่างละเท่าใดเมื่อเทียบกับทุน (เรียก Debt/Equity - D/E ratio)
- มีความสามารถในการจ่ายหนี้สิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งดอกเบี้ย แค่ไหน ปกติแล้วจะคิดจากว่ามีกำไรเป็นจำนวนกี่เท่าของดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายนี้ ตัวเลขนี้เรียกว่า Payout Ratio
- ผู้บริหารมีความสามารถแค่ไหน ซื่อสัตย์สุจริต และเห็นแก่ประโยชน์ของเจ้าของ (ก็ผู้ถือหุ้นนั่นล่ะ) เป็นที่ตั้ง (รองจากคุณธรรมและจริยธรรมต่างๆ ในการทำธุรกิจ) เพียงใด
เหล่านี้เป็นต้น

> การซื้อขายโดยใช้ปัจจัยทางเทคนิค
นักลงทุนหลายท่าน อาจจะบอกว่าการดูปัจจัยพื้นฐานมันยากเหลือเกิน หรือว่าไม่ถนัดในการดูธุรกิจ หรือดูตัวเลขบัญชีต่างๆ อาจจะเลือกใช้วิธีซื้อขายหุ้นด้วยการดูปัจจัยทางเทคนิค หรือดูราคา เวลา และโวลลุ่ม ของหุ้นหนึ่งๆ ที่สนใจจะเข้าซื้อขาย วิธีการเรื่องนี้เป็นเรื่อยาวและมีรายละเอียดมาก พูดโดยรวมก็คือ กล่าวกันว่าปัจจัยเทคนิคจะบอกเราได้ว่ามีคนต้องการหุ้นนั้นหรือไม่ มากขึ้นหรือน้อยลงอย่างไร และน่าจะมีคนเข้ามาซื้อ หรือขายออกมากกว่ากัน ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมีคนเข้ามาซื้อมากขึ้น ราคาก็ย่อมจะปรับตัวสูงขึ้น (เราต้องชิงซื้อก่อน) แต่หากมีคนอื่นต้องการขายหุ้นออกมากกว่าซื้อ ราคาก็น่าจะปรับตัวต่ำลง (เราต้องชิงขายก่อน) เรียกว่า ใครเร็วกว่าหรือ "ดูเทคนิค" ออกก่อนกันก็ได้เปรียบคนอื่นครับ
สำหรับนักลงทุนที่สนใจหลักการซื้อขายโดยอาศัยปัจจัยทางด้านเทคนิค ก็สามารถหาซื้อหนังสือเพื่อศึกษาเพิ่มเติมได้จากหลายผู้แต่งนะครับ เล่มหนึ่งที่ดีคือโดยคุณสุรชัย ไชยรังสินันท์ ซึ่งท่านได้เขียนไว้นานแล้ว หรืออาจจะหาหนังสือทางด้านปัจจัยเทคนิคที่มีขายอยู่ในปัจจุบันมาศึกษาดูก็ได้ครับ
มือใหม่ อ่านตรงนี้ (ตอนที่ 4)

- เทคนิคต่างๆ ในการซื้อขายหลักทรัพย์
เมื่อเราได้เลือกบริษัทที่ต้องการเข้าไปลงทุนแล้ว การวางกลยุทธ์ในการซื้อขายก็เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องเรียนรู้ ในหลายๆ ครั้ง ตลาดก็ไม่ได้มีเหตุผล (หรือมีเหตุผล ที่เราไม่สามารถเข้าใจได้ง่ายนัก) ที่ทำให้ราคาหุ้นแต่ละตัวนั้นขึ้นลงได้รวดเร็วมาก เร็วกว่าพื้นฐานของบริษัทที่เปลี่ยนไปในแต่ละวัน สัปดาห์ หรือแม้แต่เดือนหรือไตรมาสด้วยซ้ำไป ทั้งนี้อาจจะมาจากความ "คาดหวัง" ต่างๆ นาๆ ของนักลงทุน และแรงซื้อขายเก็งกำไรต่างๆ ที่มีอยู่ตลอดเวลาในตลาดหลักทรัพย์
กลยุทธ์ต่างๆ ในการซื้อหุ้น สามารถแบ่งออกได้คร่าวๆ ดังต่อไปนี้ :

> วิธี Dollar Cost Average
วิธีนี้จะใช้ประกอบกับการซื้อหุ้นลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐาน เมื่อเราเลือกบริษัทหรือหุ้นแล้ว เราจะแบ่งเงินออกเป็น 5 หรือ 10 กองเท่าๆ กันเพื่อเข้าซื้อหุ้นเป็นจำนวน 5 หรือ 10 ครั้งทุกๆ ระยะเวลาที่กำหนดเช่น 15 วันหรือ 1 เดือนหรือ 2 เดือนเป็นต้น เช่นสมมติว่าเราต้องการลงทุนหุ้นตัวหนึ่งด้วยเงินหนึ่งล้านบาท เราอาจจะแบ่งออกเป็น 5 กอง กองละสองแสนบาท แล้วเข้าซื้อหุ้นครั้งแรก เมื่อเราเห็นว่าหุ้นนั้นมีราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับพื้นฐานของบริษัท โดยการซื้อครั้งละสองแสนบาทนั้น จะได้กี่หุ้นก็ตามแต่ และเมื่อเวลาผ่านไป อาจจะเป็นราวๆ 1 เดือน เราก็ซื้อหุ้นนั้นอีกด้วยเงินสองแสนบาทเช่นกัน ถ้าหุ้นราคาต่ำลงมา เราก็จะได้หุ้นจำนวนมากขึ้น แต่หากหุ้นมีราคาพุ่งสูงขึ้นไป เราก็จะได้หุ้นน้อยลง (แต่ครั้งแรกก็ได้กำไรแล้วไงล่ะ) และทำอย่างนี้เรื่อยไป จนอาจจะหมดครบครั้งสิบครั้ง หรือหากคิดว่าราคาหุ้นนั้นสูงเกินไปแล้ว เราก็อาจจะตัดสินใจขายออกไปก่อนทั้งที่ยังซื้อไม่ครบทั้งห้าครั้งก็ได้
ด้วยวิธีนี้ เราจะมีเงินเหลือเพื่อซื้อหุ้นให้ได้จำนวนมากขึ้นเมื่อราคาหุ้นนั้นต่ำลง แต่หลายๆ ท่านที่ยึดถือหลักการทางเทคนิค อาจจะค้านและไม่เห็นด้วยกับวิธีการนี้ (เราจะไม่ถกกันว่าใครผิดหรือถูก เพราะขึ้นกับสถานการณ์แวดล้อมอีกมาก หรือตราบใดที่ยังทำกำไรได้อย่างมีเหตุผลและสม่ำเสมอ ก็คงพอถือว่าถูกต้องได้) และแนะนำให้ตัดขาดทุนไปแต่แรกก็ได้

> วิธี DSM (Densri Method แห่งเว็ปไซต์พันทิป)
วิธีนี้ ผมไม่ขอกล่าวในรายละเอียด เนื่องจากอาจจะติดปัญหาลิขสิทธิ์การประดิษฐ์วิธีการ แต่โดยคร่าวๆ แล้ว หลักการก็คือ "การที่เราต้องการมีหุ้นจำนวนมากขึ้น แต่ไม่ต้องการลงเงินเพิ่มเพื่อซื้อหุ้นนั้น" คือดูที่จำนวนหุ้นเป็นหลัก โดยวิธีการก็คือ เมื่อหุ้นมีราคาเริ่มลดลง จะใช้วิธีขายออกเป็นส่วนๆ ยิ่งราคาต่ำลง โดยไม่ขยับขึ้น นักลงทุนก็จะขายหุ้นออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมีเงินสดเต็มมือ และเมื่อหุ้นนั้นราคาไม่ลดต่ำไปอีกแล้ว ก็นำเงินที่ทะยอยขายมานั้นเข้าซื้อกลับคืน ผลก็คือจะได้หุ้นจำนวนมากขึ้นโดยที่ไม่ได้เติมเงินเพิ่มเข้าไป แต่วิธีนี้จะต้องใช้กับหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง และไม่เหวี่ยงไปมามากนัก ไม่เช่นนั้นแล้ว จะมีโอกาสมากที่จะขายแล้วซื้อคืนไม่ได้ครับ

> Turtle Trading System
วิธีนี้ ไม่ใช่วิธีใหม่ แต่ถูกสร้างขึ้นมานานเพื่อใช้ในการพิสูจน์ว่าคนที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องการซื้อขายตราสารใดๆ เลย จะสามารถทำกำไรได้หรือไม่หากยึดติดอยู่กับหลักการที่คิดว่าน่าจะทำกำไรได้ในระยะยาว ในเริ่มแรก ผู้ที่คิดวิธีการนี้ได้จัดหาคนที่ไม่มีความรู้เลยในการซื้อขายตราสารสินค้าล่วงหน้า (ดูๆ แล้วจะยากและเสี่ยงกว่าหุ้นเสียอีก) นำมาสอนหลักการในการเข้าซื้อและขายออก คนเหล่านี้ถูกเรียกว่า Turtle (เต่า) โดยที่ให้ทำการซื้อขายด้วยหลักการอย่างเคร่งครัด โดยไม่จำเป็นต้องรับรู้ถึงข่าวสาร ข่าวลือ ใดๆ จากตลาด โดยความคาดหมายว่า ด้วยหลักการนี้จะให้ผลขาดทุนราว 8 ในสิบครั้ง และได้กำไร 2 ในสิบครั้ง แต่การขาดทุน 8 ครั้งจะขาดทุนไม่มาก (ต้องขายตัดขาดทุน) และในการที่ได้กำไรเพียง 2 ครั้งนั้น แต่ละครั้งจะได้กำไรมากมายกว่าการขาดทุนมากนัก ผลของการทดลองในครั้งนั้น บรรดา Turtles ทั้งหลายสามารถทำกำไรได้มาก คนที่ไม่ได้กำไรก็เพราะไม่ได้ทำตามวิธีการอย่างเคร่งครัดซึ่งบางคนก็ถูกไล่ออกจากกลุ่มเสียกลางคัน
ดูวิธีการนี้จากเว็ปไซต์ https://http://www.originalturtles.org/

> การลงทุนแนวคุณค่า/มูลค่า (Value Investment)
วิธีการนี้ไม่ใช่วิธีการใหม่ แต่ได้รับการถ่ายทอดศึกษามานานแล้ว โดย เบนจามิน เกรแฮม ผู้ที่เป็นอาจารย์ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนเอกคนหนึ่งของโลกได้ประยุกต์เป็นหลักการเอาไว้นานแล้ว ตัวของวอร์เรนบัฟเฟตต์เอง ก็มาประยุกต์เพิ่มเติมอีกนิดหน่อย ซึ่งจะว่าไปแล้ว การลงทุนในแนวคุณค่า หรือดูมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทนั้น ก็เหมือนกับการที่เราซื้อของอย่างอื่น ที่จะต้องดูว่ามันให้ผลตอบแทนแก่เราอย่างคุ้มค่าหรือไม่ การซื้อหุ้นก็เช่นเดียวกัน จะต้องดูว่าราคาถูกหรือแพง (เมื่อเทียบกับมูลค่าต่อหุ้น หุ้นราคาหุ้นละ 200 บาทอาจจะถูกกว่าหุ้นราคาหุ้นละ 5 บาทมากก็เป็นได้) หากสนใจในการลงทุนแนวนี้ก็ดูเพิ่มเติมจากหนังสือต่างๆ ของ เบนจามิน เกรแฮม หรือ วอร์เร็น บัฟเฟตต์ ได้เลยครับ

> วิธีผสมผสาน
เป็นการนำเอาความรู้ทุกด้านมารวมกัน ไม่ว่าจะแนวเก็งกำไรด้วยเทคนิค แนวลงทุนด้วยการดูมูลค่าหุ้น วางแผนการซื้อด้วยวิธี Turtle Tradeing หรือว่าแบบ Dollar Cost Average สุดแล้วแต่ว่าจะเน้นหนักทางด้านใดมากกว่าด้านอื่น ก็แล้วแต่นักลงทุนแต่ละคน บางคนจะดูพื้นฐานก่อน แล้วดูราคาหรือรอราคาให้ถูกลงแล้วจึงซื้อ บางคนก็ดูราคาก่อนแล้วค่อยวกกลับมาดูพื้นฐาน หากเห็นว่าพอไปได้แล้วราคาปัจจุบันถูกเกินไป ก็เข้าไปซื้อ ดังนี้เป็นต้น และแน่นอนว่าไม่มีกฏตายตัวว่าจะต้องเลือกอย่างใดก่อน หรือผสมกันอย่างไร เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ทุกอย่างขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลครับ

โค๊ด: [Select]
http://muegao.blogspot.com/p/blog-page_14.html

182
1. ไม่นั่งเฝ้าราคาทั้งวัน การเป็นมนุษย์เงินเดือนนั้น บริษัทจ้างเรามาเพื่อทำงานครับ ถ้าคุณไม่ได้ทำงานเป็นมาร์ของโบรกที่ต้องคอยดูราคาขึ้นๆ ลงๆ คุณก็ไม่ควรนั่งจ้องหน้าจอหุ้นตลอดเวลา มีช่วงหนึ่งของชีวิตที่ผมเคยเล่นหุ้นโดยมีระบบการซื้อขายที่ตัดสินใจจากราคาหุ้นที่เปลี่ยนแปลงไป ช่วงนั้นผมต้องนั่งเฝ้าหน้าจอทั้งวันเลย ดีที่ตอนนั้นทำงานเป็นฟรีแลนซ์เลยปรับเวลาทำงานตัวเองเป็นหลังตลาดปิด แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองเสีย Productivity มาก เมื่อเทียบกับเงินเพียงเล็กน้อยที่ได้มาจากการเฝ้าหน้าจอ

2. ไม่เล่นรอบเพื่อหวังรวยเร็ว เชื่อว่า 99% ของคนที่ไม่เคยเล่นหุ้นมาก่อนและกำลังตัดสินใจจะเล่นโดยที่ยังไม่มีความรู้อะไรมากนัก ย่อมคิดว่าการเล่นหุ้นทำให้รวยเร็ว เริ่มจากเงินลงทุนจำนวนไม่มากของตัวเอง ซื้อหุ้นตอนราคาต่ำๆ ถือไว้สักพักราคาจะวิ่งขึ้น จากนั้นก็ขายเพื่อเอาทุนคืน เอากำไรที่ได้ไปซื้อหุ้นตัวใหม่ ทำแบบนี้ไม่กี่รอบ จากเงินลงทุนหลักหมื่นจะกลายเป็นหลักแสน หลักแสนจะกลายเป็นหลักล้าน ผมไม่ปฏิเสธว่ามีคนที่ทำแบบนี้แล้วพอร์ตโตขึ้นจริง แต่คำถามคือมีคนกี่เปอร์เซ็นต์ที่ทำได้แบบนี้? และเขาจะได้กำไรไปเรื่อยๆ หรือเปล่า? มันทำให้ผมคิดถึงคนที่เล่นหวย บางคนดวงดีทำบุญมาเยอะ ซื้อหวยแล้วถูกเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะถูกหวยบ่อยๆ เหมือนเขานะ

3. เล่นหุ้นให้เหมือนฝากประจำ สมัยที่ผมทำงานใหม่ๆ ได้เงินเดือน 20,000 บาท ผมจะแบ่งเงินครึ่งหนึ่งสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน อีกครึ่งเอาเข้าบัญชีเงินฝากประจำทุกเดือนเป็นเวลา 24 เดือน มันน่าอึดอัดเหมือนกันเวลาที่ผมอยากซื้อของราคาสูงๆ อย่างโน้ตบุ๊ก แต่มันก็ช่วยให้มีวินัยทางการเงิน และส่งผลให้สองปีต่อมา ผมมีเงินก้อน 240,000 บาท บวกดอกเบี้ยอีกก้อนเล็กๆ ตอนนี้ผมประยุกต์ใช้วิธีนี้กับการเล่นหุ้น คือแบ่งเงินส่วนหนึ่งไว้ทุกเดือนเพื่อโอนเข้าบัญชีหุ้น (ผมใช้บัญชีเงินสด) บางคนอาจใช้เงินก้อนนี้ซื้อหุ้นทุกเดือนเลยโดยไม่สนราคา แต่ผมใช้วิธีถือเงินสดไว้และรอเข้าซื้อในจังหวะที่หุ้นตกแรงๆ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา แต่ละปีจะมีช่วงเวลาที่หุ้นตกหนักประมาณ 2-3 ครั้ง

4. ซื้อหุ้นเหมือนซื้อกิจการ เป็นกฎของนักลงทุนแนวพื้นฐาน (Fundamental) และนักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor) เนื่องจากมนุษย์เงินเดือนไม่มีเวลานั่งเฝ้าราคา และไม่หวังรวยเร็วจากการเล่นรอบ เลยต้องซื้อหุ้นโดยวิเคราะห์พื้นฐานของธุรกิจนั้นๆ เสมือนว่าเราจะซื้อกิจการ ต้องเข้าใจว่ารายรับของบริษัทมาจากไหน มีรายจ่ายอะไรบ้าง ลูกค้าคือใคร สภาพตลาดเป็นยังไง อีก 5 ปี ตลาดจะใหญ่ขึ้นมั้ย คู่แข่งแข็งแกร่งแค่ไหน ผู้บริหารเป็นยังไง ฯลฯ ถ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างเข้ามาทำให้ราคาหุ้นตกหนัก ผมก็จะเข้าใจว่าเหตุการณ์นั้นส่งผลกระทบต่อพื้นฐานของธุรกิจในระยะยาวจริงหรือเปล่า ถ้ามีผลแค่ระยะสั้น ผมก็จะใช้เงินสดในข้อ 3 เพื่อซื้อหุ้นเพิ่ม แต่ถ้าดูแล้วน่าจะส่งผลกระทบในระยะยาว แบบนี้ก็ค่อยพิจารณาขายทิ้ง

5. ตั้งเป้าหมายว่าจะมีรายได้จากเงินปันผลไว้ใช้ตอนเกษียณ ลองประเมินดูว่าทุกวันนี้ถ้าเรากินอยู่อย่างประหยัด ต้องใช้เงินเท่าไหร่ ลองคูณเงินเฟ้อเพื่อดูว่าอีก 20-30 ปีที่เราเกษียณแล้ว เราต้องใช้เงินเท่าไหร่ ถ้าค่าใช้จ่ายของเราในอนาคตมาจากเงินปันผล แปลว่าตอนนั้นเราควรมีพอร์ตขนาดไหน พอร์ตของเราในปัจจุบันยังห่างจากเป้าหมายเท่าไหร่ ในแต่ละปีเราควรจะมีเป้าหมายในการเพิ่มขนาดพอร์ตปีละเท่าไหร่ ถ้าวางแผนให้ดีตั้งแต่ตอนที่ยังมีแรงทำงาน พอถึงตอนที่ทำงานไม่ไหวแล้ว เราจะได้ไม่ต้องลำบากลูกหลานครับ

โค๊ด: [Select]
http://macroart.net/2012/07/5-stock-investment-technics-for-salaryman/

183
ตลาด Forex เป็นตลาดระดับสากลและเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ในวันธรรมดา

เปิดเวลา 0:00 CET (GMT + 2) วันจันทร์
ปิดเวลา 22:00 CET (GMT + 2) วันศุกร์
หยุดวันเสาร์และวันอาทิตย์ซึ่งธนาคารส่วนใหญ่ปิดและสภาพคล่องอยู่ในระดับต่ำ
มีช่วงเวลาในการเทรดของแต่ละภูมิภาค ช่วง ต่อไปนี้
เอเชีย คือ โตเกียว ฮ่องกง และสิงคโปร์
ยุโรป คือ แฟรงค์เฟิร์ต และลอนดอน
อเมริกา คือ นิวยอร์ก และชิคาโก
แปซิฟิก คือ เวลลิงตัน และซิดนีย์
แต่ละช่วงเวลาจะมีลักษณะที่ไม่ซ้ำกัน คุณต้องทำความเข้าใจความแตกต่างเพื่อจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากแต่ละตลาด
เอเชีย
คู่สกุลเงินที่เทรดกันมาก ได้แก่
USDJPY - ดอลลาร์สหรัฐกับเยนญี่ปุ่น
EURUSD - ดอลลาร์สหรัฐกับยูโร
EURJPY - ยูโรกับเยนญี่ปุ่น
AUDUSD - ดอลลาร์ออสเตรเลียกับดอลลาร์สหรัฐ
ยุโรป
เป็นช่วงเวลาที่มีความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญอันเนื่องมาจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของเครื่องมือทางการเงินที่ใช้สกุลเงินยูโร
ความผันผวนเพิ่มขึ้นเมื่อตลาดลอนดอนเปิด
กิจกรรมลดลงในช่วงอาหารกลางวัน
กิจกรรมเพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงบ่าย
อเมริกา
การเทรดของ Forex เกิดขึ้นมากที่สุดเมื่อตลาดในนิวยอร์กเปิด และหลังจากเทรดเดอร์ชาวยุโรปกลับมาจากรับประทานอาหารกลางวัน โดยช่วงเวลาในอเมริกามีดังต่อไปนี้
ความผันผวนอยู่ในระดับต่ำเนื่องจากธนาคารของอเมริกาและยุโรปอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน
ความผันผวนอาจจะเพิ่มขึ้นเมื่อตลาดยุโรปปิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันศุกร์
การเทรดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
แปซิฟิก
การเทรดในโซนนี้ไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวมากนัก
ตลาดเปิดเวลาใด?
ทุกช่วงเวลาจะปรากฏเป็น CET (GMT + 2)
ตารางเวลาของช่วงเทรด
ภูมิภาค   เมือง   เวลาเปิด   เวลาปิด
เอเชีย   โตเกียว   1:00   9:00
ฮ่องกง   2:00   10:00
สิงคโปร์   1:00   9:00
ยุโรป   แฟรงค์เฟิร์ต   7:00   15:00
ลอนดอน   8:00   16:00
อเมริกา   นิวยอร์ก   14:00   22:00
ชิคาโก   15:00   23:00
แปซิฟิก   เวลลิงตัน   21:00   5:00
ซิดนีย์   21:00   5:00

โค๊ด: [Select]
http://www.forex4you.com/th/clients/forex-market-hours/

184
เวลาการเทรดจะแบ่งออกเป็นช่วงๆ ดังนี้

1. เมื่อ เข้าสู่ เกือบต้นเดือน และต้นเดือนพอดี จะมีข่าว แรงๆเสมอ โดยมันจะ ประกาศ ให้คนทั่วโลกกลัว เลยทำให้ นักลงทุนระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ไม่กล้า เล่นกันนัก เลยทำให้กราฟ ไม่วิ่งสักเท่าไหร่ ช่วงนี้ คือ ควรงดเทคนิค และ ระบบที่คิดว่า แน่ๆก็ งด เสีย!!!! ควร หันมา สนใจ ในการ เล่นสั้นๆ เก็บเล็กน้อย แล้วปิด เพราะ ไม่ว่าจะ เทคนิค อะไรก็ตาม กราฟ หลอกแน่นอน ก็บอกแล้วไงครับ เป็นการรอ ราคาระหว่างนัก ซื้อและนักขาย เพื่อ รอประกาศ ข่าว

2. สัปดาห์ที่สอง จะเริ่ม ง่ายขึ้น แต่จะยังไม่สดใส ในวันจันทร์ คือ กราฟ ซึม หม่นหมอง หดหู่ อาลัยแด่ นักลงทุนที่ขาดทุน ยับเยินจากข่าวและโดนเทคนิคอย่างจังแต่ สัปดาห์ นี้จะเริ่ม เทรด แบบ เทคนิคได้แล้ว จะไม่มีปัญหา แต่สัปดาห์ก็ควรดูสภาพตลาดด้วยก็ดี

3. ส่วน สัปดาห์ที่ สาม ต่อมา ควรหันมาสนใจกันอย่างแรง เป็นสัปดาห์แห่งเทคนิค กลาง เดือน บางครั้งจะวิ่งตามเทคนิคตั้งแต่วันจันทร์ และวันจันทร์มักจะเริ่ม เจอเทรนที่ชัดเจน เล่นตามเทรนก็คงอิ่มกัน ทั่วหน้า ขาขึ้นจะขึ้นจนกว่าจะลง ขาลงจะลงจนกว่าจะขึ้น

4.และสัปดาห์ก่อนสิ้นเดือน ก็แบบนี้เช่นกัน ไม่ว่า ข่าวกลางสัปดาห์ จะมาแบบไหน ถ้าไม่ใช้ ข่าว แรงๆแบบต้นเดือน ไม่มีทาง หลุดกรอบเทคนิคเคิลได้ เล่นตามเทคนิคก็จะได้ตามเทคนิค ที่เราเล่น
ครบ สี่ สัปดาห์ จะมีเกือบๆ สามสัปดาห์ ที่จะเล่นเทคนิคได้ แต่เทคนิคที่ชัวร์ๆ คือ กลางเดือนสองสัปดาห์ ก่อนจะสิ้นเดือน เทคนิค คืออุปกรณ์ ที่ช่วยตัวเองได้ดีที่สุด

เวลา 1 เดือน มี ช่วง ฟันกันแบบชี้ชัด ในสไตล์ เกมรุก ทาง เทคนิค อยู่ สองสัปดาห์ และ อีกสัปดาห์ คือ สัปดาห์ของ ข่าวร้อนแรง ข่าวฉาวโฉ่(ที่น่ากลัวในสมัย เล่นแรกๆ เพราะบางคนเก่งข่าว มาขี้โม้ให้ฟัง สมัยนี้ มันเบสิคแล้ว ขอโทษด้วยที่จับทางได้) ส่วนอีก สัปดาห์ จะวิ่ง แบบ ค่อยๆไป เทคนิค เริ่ม ใช้ได้   ครบ 4 สัปดาห์ พอดี

Credit from

เวลาการเทรดจะแบ่งออกเป็นช่วงๆ ดังนี้

1. เมื่อ เข้าสู่ เกือบต้นเดือน และต้นเดือนพอดี จะมีข่าว แรงๆเสมอ โดยมันจะ ประกาศ ให้คนทั่วโลกกลัว เลยทำให้ นักลงทุนระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ไม่กล้า เล่นกันนัก เลยทำให้กราฟ ไม่วิ่งสักเท่าไหร่ ช่วงนี้ คือ ควรงดเทคนิค และ ระบบที่คิดว่า แน่ๆก็ งด เสีย!!!! ควร หันมา สนใจ ในการ เล่นสั้นๆ เก็บเล็กน้อย แล้วปิด เพราะ ไม่ว่าจะ เทคนิค อะไรก็ตาม กราฟ หลอกแน่นอน ก็บอกแล้วไงครับ เป็นการรอ ราคาระหว่างนัก ซื้อและนักขาย เพื่อ รอประกาศ ข่าว

2. สัปดาห์ที่สอง จะเริ่ม ง่ายขึ้น แต่จะยังไม่สดใส ในวันจันทร์ คือ กราฟ ซึม หม่นหมอง หดหู่ อาลัยแด่ นักลงทุนที่ขาดทุน ยับเยินจากข่าวและโดนเทคนิคอย่างจังแต่ สัปดาห์ นี้จะเริ่ม เทรด แบบ เทคนิคได้แล้ว จะไม่มีปัญหา แต่สัปดาห์ก็ควรดูสภาพตลาดด้วยก็ดี

3. ส่วน สัปดาห์ที่ สาม ต่อมา ควรหันมาสนใจกันอย่างแรง เป็นสัปดาห์แห่งเทคนิค กลาง เดือน บางครั้งจะวิ่งตามเทคนิคตั้งแต่วันจันทร์ และวันจันทร์มักจะเริ่ม เจอเทรนที่ชัดเจน เล่นตามเทรนก็คงอิ่มกัน ทั่วหน้า ขาขึ้นจะขึ้นจนกว่าจะลง ขาลงจะลงจนกว่าจะขึ้น4.และสัปดาห์ก่อนสิ้นเดือน ก็แบบนี้เช่นกัน

4.และสัปดาห์ก่อนสิ้นเดือน ก็แบบนี้เช่นกัน ไม่ว่า ข่าวกลางสัปดาห์ จะมาแบบไหน ถ้าไม่ใช้ ข่าว แรงๆแบบต้นเดือน ไม่มีทาง หลุดกรอบเทคนิคเคิลได้ เล่นตามเทคนิคก็จะได้ตามเทคนิค ที่เราเล่น
ครบ สี่ สัปดาห์ จะมีเกือบๆ สามสัปดาห์ ที่จะเล่นเทคนิคได้ แต่เทคนิคที่ชัวร์ๆ คือ กลางเดือนสองสัปดาห์ ก่อนจะสิ้นเดือน เทคนิค คืออุปกรณ์ ที่ช่วยตัวเองได้ดีที่สุด

ครบ สี่ สัปดาห์ จะมีเกือบๆ สามสัปดาห์ ที่จะเล่นเทคนิคได้ แต่เทคนิคที่ชัวร์ๆ คือ กลางเดือนสองสัปดาห์ ก่อนจะสิ้นเดือน เทคนิค คืออุปกรณ์ ที่ช่วยตัวเองได้ดีที่สุด
ช่วงเวลาที่เหมาะสมเข้าทำกำไร

*** ส่วนช่วงเวลา กราฟ มักจะ ขยับขยาย บิดเมื่อย ยักไหล่ เตรียมวิ่ง มักจะช่วง ตลาดยุโรปเปิด คือ ช่วง เที่ยง ควรมามอง หาจุดเข้า บ่ายหนึ่ง บ่ายสอง และบางครั้ง บ่ายสาม มักจะวิ่ง แต่ส่วนใหญ่จะบ่ายสอง บ่ายสาม กราฟวิ่งเสมอ

*** ส่วนตลาดอเมริโกย(กา) หกโมงเย็นก็มา ส่องๆมองๆ เตรียมตัวเทรด ช่วงทุ่ม ถึงสามทุ่มครึ่ง มักจะวิ่ง แต่ที่ชัดเจน สามทุ่ม มักจะ วิ่งเสมอ

     ช่วงเวลา ที่เทรดกันโดยส่วนใหญ่ ก็๋จะเทรดตั้งแต่ เที่ยงวัน จนถึง เที่ยงคืนนะครับ ทั้งนี้ ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับสภาวะของตลาดและปัจจัยพื้นฐานของตลาดโซนนั้นๆด้วย ว่ามันมีข่าวแรงๆมากระแทกกราฟหรือป่าว ถ้ามีข่าวแรงๆมากระแทกกราฟมันก็วิ่งแรงครับ

ช่วงเวลาที่ผมจะแนะนำ ให้เทรดทุกตลาดครับ เริ่มตั้งแต่ช่วงเช้า

     เป็๋นตลาดซิดนี่ (ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์) แล้วต่อด้วย ตลาดโตเกียว  เวลาที่เราควรจะเทรด(ถ้าตื่นเช้านะ) เราควรเทรดตั้งแต่ 7โมงเช้า ถึง 9 โมงเช้า ช่วงนี้กราฟวิ่งค่อนข้างแรง
ต่อด้วยตลาดตอนบ่าย คือ โซนยุโรปและอังกฤษ ราคาจะเริ่มวิ่งตั้่งแต่ตอนเที่ยง ไปจนถึงประมาณ 5 โมงเย็น ในช่วงนี้ตลาดโตเกียวและซิดนี่ ก็จะปิดลง
ตั้งแต่ 5 โมงเย็น ถึง 1 ทุ่ม โดยส่วนใหญ่ กราฟจะเป็นการพักตัวและไซด์เวย์อยู่ในกรอบ เพื่อรอตลาดนิวยอร์คเปิด

ประมาณ 19.30 ทุ่มครึ่ง กราฟก็เริ่มผันผวนอีกครั้ง เพราะช่วงนี้มีข่าวเศรษฐกิจของสหรัฐที่จะเปิดช่วงเวลานี้มากมาย เราก็สามารถดูข่าวได้จากตารางข่าว www.forexfactory.com  กราฟข่าวช่วงทุ่มครั้ง จะวิ่งอยู่ประมาณ15-30 นาที แล้วจะรอตลาดหุ้นของอเมกาเปิด คือ พวก ดัชนีดาวโจนส์ ดาวโจนนี้จะเปิด 20.30 ช่วงนี้กราฟจะวิ่งแรง ไปจนถึง 3 ทุ่มจะมีข่าวอีกที ถ้าข่าวในช่วง 3 ทุ่มเป็นข่าวแรง ก็จะวิ่งแรงๆไปจนถึง 5 ทุ่ม และจะเริ่มพักตัว

จะมีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งที่กราฟวิ่งแรง ก็คือช่วงเวลาที่ตลาดยุโรปและลอนดอนปิด ประมาณ 5 ทุ่ม ถึงเที่ยงคืน กราฟจะค่อนข้างผันผวนอีกครั้ง หลังจากนี้ กราฟก็จะนิ่งๆ ประมาณ ตี 2 ฝั่งนิวยอร์คก็จะทำการปิด ตลาดหุ้นนิวยอร์คจะปิดตอน ตี 3 ช่วงตี 2 ถึง 3 ในบางครั้ง กราฟก็จะแรง วิ่งกระฉูดเลยทีเดียว

จริงๆแล้วเราสามารถเทรดได้ทุกค่าเงินและทุกช่วง ถ้าเรามีเวลาและความสามารถพอ ช่วงเช้าเราก็เทรดค่าเงิน Jpy พอตอนบ่ายก็เทรด EUR , GBP , CHF , ตอนค่ำ ก็เทรดได้ทุกคู่ที่จับคู่กับ USD มันวิ่งแหลกครับ

ค่าเงินที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่เทรดก็คือ EUR/USD และ GBP/USD  สาเหตที่เทรดก็เพราะว่า มันมีพวกบทวิเคราะห์เยอะแยะจากค่ายต่างๆ

โค๊ด: [Select]
http://www.luihoon.com/2013/08/forex_21.html

185
เวลาเปิดทำการของตลาด FOREX
เวลาเปิดทำการของตลาด Forex นั้น จะเปิดตลอด 24 ชั่วโมง เป็นเวลาห้าวันต่อสัปดาห์ อนึ่ง ตลาดซื้อขายสกุลเงินระหว่างประเทศนั้น ไม่ได้ถูกชี้นำโดยตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราเพียงตลาดเดียวเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับเครือข่ายทั่วโลกของตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราและโบรกเกอร์รอบโลกด้วย
การทำการของตลาดจะเริ่มตั้งแต่ประเทศนิวซีแลนด์ที่เปิดตลาดในทวีปเอเชีย ไปจนถึงเวลาปิดตลาดของสหรัฐอเมริกา โดยตลาดยังเปิดทำการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันอาทิตย์ถึงค่ำวันศุกร์ตามเวลา GMT
มีรอบทำการหลัก ๆ จำนวน 3 รอบ ที่รวบรวมปริมาณซื้อขายได้มากที่สุด และรอบเหล่านี้ยังเกี่ยวข้องกับเวลาเปิดทำการของตลาดหุ้นในท้องถิ่นด้วย
ลอนดอน, นิวยอร์ค และโตเกียว .ในระหว่างบางชั่วโมงทำการของวัน รอบต่าง ๆ จะมีความเหลื่อมกัน นั่นคือ เมื่อมีตลาดที่เปิดทำการมากขึ้น ก็จะให้โอกาสในการซื้อขายได้ดียิ่งขึ้น
มีเหตุผลอย่างน้อย 2 ข้อว่า ทำไมคุณควรติดตามเวลาเปิดทำการของตลาด Forex ที่เป็นตลาดหลัก
ชั่วโมงแรกหลังจากที่ตลาดหลักเปิด จะถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง และบ่อยครั้งก็ชี้ให้เห็นว่า แต่ละรอบจะพัฒนาไปอย่างไร
ในแต่ละช่วงเวลาเมื่อตลาดที่มี “ชั่วโมงทำการซื้อขาย” ที่เหลื่อมกัน จะทำให้สภาพคล่องมีแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้น เพราะมีเทรดเดอร์จำนวนมากเข้าร่วมในตลาด FX
แผนที่นี้จะช่วยทำให้คุณเห็นภาพของช่วงเวลาดังกล่าวของวัน
เวลาปัจจุบันจะถูกไฮไลต์ และแสดงให้เห็นว่าตลาดกำลังเปิดอยู่

โค๊ด: [Select]
http://www.ironfx.com/th/trading-tools/forex-market-hours

186
หลังจากที่ได้คุยกับเทพ ๆ หลายท่านในนี้ พูดถึงเรื่องวิธีการเทรดแบบสองทาง หรือ Grid trading forex (มั้ง ฮา...) คือการเปิดออร์เดอร์ทั้งสองฝั่งพร้อมกัน หลังจากไปเจอลิงค์ที่บอกวิธีการ ตามนี้ hxxp://www.ehow.com/how_4912472_grid-trade-forex.html ก็เลยตีความเอาเองมั่ว  ๆ ได้แบบนี้ครับ...ฮา

1. เปิดออร์เดอร์พร้อมกันสองทาง คือทั้งบาย และชอตพร้อมกัน เช่น เปิดบายและเซลที่ราคา 1.3000
2. ตั้ง TP อย่างเดียว ไม่มี SL เช่น ตั้งที่ 100 จุด
3. ตั้ง Pending Order ไว้ที่ 100 จุด(ตามทีพี) เช่น เพนดิ้งไว้ที่ราคา 1.2900 และที่ 3100
4. เมื่อราคาวิ่งถึง TP ก็จะปิดออร์เดอร์ที่ถูกทาง แล้วก็เปิดออร์เดอร์ที่เราเพนดิ้งไว้ทันที
5. ส่วนออร์เดอร์ที่ปิดทำกำไรไปแล้ว เราก็ไปเพนดิ้งไว้ที่จุดเดิมอีก

มั่ว ๆ ได้ประมาณนี้ ผิดถูกก็แนะนำ เสนอแนะกันได้คับ แล้วจะเอาผลงานมาโชว์ครับ จะไปทดสอบกับเดโมด้วยทุน 10000 เซน ดูสิว่าจะรอดหรือเปล่า

(ใครจะลองตาม แนะนำว่าควรเล่นเดโมก่อนน่ะครับ...ด้วยความเคารพ)

โค๊ด: [Select]
http://thaiforexschool.com/index.php?topic=875.0

187


สวัสดีตอนดึกนะครับเพื่อนๆ นี่เวลาก็ย่างเข้าวันใหม่แล้ว แต่ผมยังนั่งครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ คิดอะไรหนะหรือ ก็คิดคำตอบของคำถามที่เพื่อนๆหลายคนส่งเข้ามายังไงละครับ ส่วนคำถามไหนที่ยังไม่ได้ตอบทางอีเมล์หรือนำมาเขียนเป็นบทความ ก็อย่างเพิ่งน้อยใจนะครับ ผมตอบทุกคน แต่ไม่ได้ตอบทุกวันนะครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ

จากคำถามที่ว่า “ ผมนั่งเทรด Forex ทั้งวันรึเปล่า แล้วเทรดช่วงไหนดีที่สุด “ ขออนุญาตเท้าความนิดนึงนะครับ สมัยแรกๆที่ผมเทรด Forex ผมนั่งเฝ้าจอทั้งวันทั้งคืน กินไม่ได้นอนไม่หลับเลย ชีวิตไม่เป็นชีวิตเลย ไม่มีเวลาให้กับตัวเองและครอบครัว ผลการเทรดที่ออกมา ก็ไม่ได้สวยงามตามระยะเวลาที่นั่งเฝ้าเอาซะเลย ผมจึงเริ่มกลับมานั่งคิดว่า ถ้ายังทำอย่างนี้ต่อไป มันคงไม่ใช่อาชีพในฝันแล้วแหละ มันเหมือนการถูกมัดไว้กับเก้าอี้มากกว่า และแล้วผมก็ได้เริ่มพัฒนาระบบการเทรด Forex ของผม โดยเขียนขึ้นมาเป็นกฎสำหรับการเข้าและออกอย่างชัดเจน โดยปฏิบัติตามนั้นอย่างไม่มีข้อแม้ และไม่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง

ผมเรียกระบบนี้ว่า “ Just a Hour Per Day “ คือเทรด Forex แค่วันละ 1 ชั่วโมงต่อวัน ก็รวยได้ ผลออกมาดีกว่าการนั่งเฝ้าหน้าจอเป็นอย่างมาก จิตวิทยาดีไม่ถูกหลอกด้วยภาพที่ตลาด Forex พยายามยัดใส่สมองเรา ผมเทรดตั้งแต่ตลาด Euro เปิดไปจนถึงเวลาที่ตลาด London เปิด ซึ่งเป็นเวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมง ตลาดช่วงนี้ไม่วิ่งเร็วมาก แต่ก็ขยับตัวมากกว่าช่วง Asian Session นักเทรดฟอเร็กซ์ส่วนใหญ่ชอบแนะนำให้เทรดช่วงตลาดคาบเกี่ยวกันระหว่าง London กับ America ซึ่งวิ่งเร็วมาก ผมไม่แนะนำสำหรับนักเทรดหน้าใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์เพียงพอ ซึ่งยังต้องใช้เวลาเก็บเกี่ยวประสบการณ์อีกมาก ถ้าไม่เชื่อลองดู ถ้าคุณยังไม่มีระบบการเข้าออกที่ชัดเจน คุณจะอยู่ในสภาวะเดี๋ยวเข้า เดี๋ยวออก ผลออกมาก็คือออกตอนที่ติดลบตลอดเวลา เพราะจิตวิทยาคุณยังไม่ดีพอ สามารถแก้ไขได้ด้วยการมีระบบเทรดที่คุณเชื่อมั่นและศรัทธามันจริงๆ

ก่อนจากกันในบทความนี้ขอย้ำอีกทีนะครับว่า เทรด Forex แค่ 1 ชั่วโมงต่อวัน ก็รวยได้ ลองกลับไปหาดูว่า ช่วงเวลาไหนของวันที่เหมาะสมกับชีวิตของคุณมากที่สุด สวัสดี

โค๊ด: [Select]
http://www.forexheng.com/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%94-forex-%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B9%88-1-%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89/

188
ในปัจจุบัน คนทุกคนก้มหน้าก้มตาทำมาหากิน เพื่อหวังที่จะให้เกิดความร่ำรวยแก่ชีวิตของตนเอง ซึ่งเป็นความคิดที่ถูกต้อง หากทำสัมมาอาชีพอย่างสุจริต ไม่คดโกง ไม่ไปปล้นชิงวิ่งราว อย่างนี้ถือว่าใช้ได้ ถูกต้องและก็ถูกต้อง ใครก็ตามที่พยายามจะมาบอกผมว่า เงินเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ ชีวิตของคนเราไม่จำเป็นต้องร่ำรวย นั่นแสดงว่า คุณยังไม่เคยตกอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่มีเงินจริงๆ ซึ่งจากประสบการณ์ส่วนตัวของผม บอกได้คำเดียวว่า มันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายมาก เศร้ามาก ทุกข์มาก ขออย่าได้เจอะได้เจอกับมันอีกเลย และผมก็ไม่อยากให้พวกคุณต้องประสบพบเจอกับมันด้วยเหมือนกัน วันนี้จึงขอนำเอา 5 องค์ประกอบสำคัญ ที่จะทำให้คุณ รวยด้วย Forex มาเล่าสู่กันฟัง

การที่คนเราจะรวยด้วย Forex จะต้องประกอบไปด้วย 5 องค์ประกอบหลักสำคัญ ดังนี้คือ

1.มีเงินทุนที่เป็นเงินเย็น หรือเงินญี่ปุ่นนั่นเอง – การเทรด Forex คือการลงทุนแบบเก็งกำไร ซึ่งมีองค์ประกอบทางด้านเวลาและความเสี่ยงเข้ามาเกี่ยวข้อง หากคุณมีเงินที่ร้อนคือไปกู้หนี้ยืมสินมา รับรองไม่ถึงเดือน เงินไหม้หมดบัญชีเทรดแน่ๆ ก็เงินมันร้อนไง แล้วจิตใจคุณจะเย็นได้อย่างไร คนที่จะรวยด้วย Forex ต้องเป็นคนที่ใจเย็น สามารถอยู่เฉยๆ ปล่อยให้เงินทำงานให้คุณได้ ดังนั้นการจะเริ่มต้นเทรด forex จึงจำเป็นที่จะต้องมีเงินที่เสียได้ โดยไม่กระทบกับการดำรงชีวิตของคุณแม้แต่นิดเดียวก่อน

2.มี Forex โบรกเกอร์ ที่เป็นเสมือนเพื่อนที่จริงใจ และน่าเชื่อถือ – Forex โบรกเกอร์ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในลำดับต่อมาสำหรับการก้าวไปสู่ความรวยด้วย Forex หากคุณเทรดกับ ฟอเร็กซ์โบรกเกอร์ที่ไม่ดี เล่นนอกกติกาอยู่บ่อยๆ ถึงคุณจะมีระบบเทรด Forex ขั้นเทพขนาดไหน ก็ไม่มีทางรอดหรอกครับ ฉะนั้นแล้ว ควรให้ความสำคัญกับการเลือก Forex โบรกเกอร์ อย่างละเอียดรอบคอบ คำแนะนำส่วนตัวของผมก็คือ ให้เริ่มเปิดบัญชีเทรดเงินจริง ด้วยเงินจำนวนน้อยๆก่อน (ประมาณ $100) เพื่อทดสอบระบบและหยั่งเชิง Forex โบรกเกอร์นั้นๆ

3.มีระบบเทรด Forex ที่ดี เข้าใจได้และปฏิบัติตามได้ง่าย – ระบบเทรดที่จะนำคุณไปสู่ความร่ำรวยด้วย Forex ไม่จำเป็นต้องเป็นระบบเทรดที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน แค่เป็นเพียงระบบเทรด Forex ที่คุณเข้าใจมันอย่างแท้จริง และรู้ทุกขั้นตอนในการปฏิบัติตามระบบเทรด Forex ของคุณ ก็เพียงพอแล้ว สิ่งที่ละเลยไปไม่ได้เลยจริงๆก็คือ ต้องเป็นระบบเทรด Forex ที่คุณเชื่อมั่นกับมัน 100% หากคุณไม่เชื่อมันในระบบเทรดของตนเองแล้ว เมื่อถึงช่วงเวลาที่คุณ ขาดทุนอย่างต่อเนื่อง มันจะส่งผลทำให้คุณมีอาการเป้ และอาจถึงขั้นหวาดกลัวออกจากตลาด forex ไปเลยก็ได้ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ จงเชื่อมั่นในระบบเทรดของคุณ แล้วคุณจะรวยด้วย Forex

4.มีระบบการบริหารจัดการเงินทุนในบัญชีเทรดที่ดี – ข้อนี้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งอาจจะสามารถชี้ชะตาได้เลยว่าคุณจะรวยด้วย Forex หรือไม่ ระบบการบริหารเงินทุนที่ดี สามารถเปลี่ยนระบบเทรดที่ไม่ค่อยดี ให้กลายเป็นระบบเทรดที่ดีขึ้นมาได้ แต่ระบบเทรดที่ดี ไม่สามารถทำให้คุณมีระบบการบริหารเงินทุนในบัญชีที่ดีได้ ยกตัวอย่างเช่น คุณมีระบบเทรดที่มีอัตราการชนะเท่ากับ 2:1 หมายความว่า เทรด Forex 6 ครั้ง จะเกิดผลกำไรในการเทรด 4 ครั้ง และเกิดการขาดทุน 2 ครั้ง หากคุณมีระบบการบริหารจัดการเงินทุนที่ดี เช่นเทรดเท่ากันทุกครั้ง ในระยะยาวระบบเทรดนี้จะทำให้คุณมีกำไรและรวยด้วย Forex เพราะระบบถูกมากกว่าผิด แต่ในทางตรงกันข้าม หากคุณมีการบริหารเงินทุนที่ไม่ดี โดยมีการเทรดในแต่ละครั้งไม่เท่ากัน คุณอาจจะขาดทุนใน 2 ครั้งมากกว่าผลกำไรใน 4 ครั้ง ก็เป็นได้ เพราะคุณเทรดด้วยจำนวนเงินที่ไม่เท่ากัน เป็นต้น

5.มีจิตวิทยาในการเทรด Forex ที่ดี – ข้อนี้ผมยกให้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด มันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย หากคุณได้ตระเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความสมบูรณ์แบบ แต่คุณไม่สามารถทำมันได้ เพราะอาจจะเกิดจากความกลัวที่จะเสียเงิน หรืออาจจะเกิดจากความไม่เชื่อมั่นในตัวเองและระบบเทรด โดยนำเอาอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเทรด Forex อยู่เสมอๆ ถ้าเป็นแบบนี้รับรองได้เลยว่า คุณจะกำลังเดินไปสู่ความจนด้วย Forex อย่างแน่นอน คำแนะนำของผมคือ ให้คุณพยายามฝึกจิตของตัวเองให้นิ่ง ปล่อยวาง นั่งสมาธิ เมื่อคุณรู้สึกว่า “คุณเทรดแบบไร้ใจเมื่อไหร่ นั่นแหละคุณกำลังจะรวยด้วย Forex “ สวัสดี

โค๊ด: [Select]
http://www.forexheng.com/5-%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8D-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93-%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2-forex/

189


วันนี้แวะไปค้นเว็บเพื่อนบ้านมาครับ กะว่าจะเข้าไปดูเล่นๆ พอดีเห็นระบบนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ยังเล่น forex ได้ไม่นานนัก อีกทั้งเหมาะกับคนที่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ลองระบบนี้ไปก่อนซักพักเผื่อเป็นแนวทางการพัฒนาระบบของตัวเองให้ดีขึ้น

หลักการเข้า - ออก Order ไม่ยากเลยนะครับ ดูตามแนวเส้น Sigsag จะมีตัวลูกศรบอกว่า Sell หรือ Buy
เป็นไปได้ดูจุดไข่ปลาด้วยนะครับ เพื่อให้มีความสัมพันธ์กัน การเข้าออร์เดอร์นั้นควรจะแท่งเทียนที่ 2 เพราะบางครั้งสัญญาณชี้แท่งเทียนที่ 1 อาจจะไม่ชัดเจน ควรตัดสินใจดูให้รอบคอบอีกทีหนึ่งนะครับ

คำเตือน:เป็นที่รู้ดีกันอยู่ว่าทุกระบบย่อมมีข้อเสียเปรียบเสมอ ระบบนี้ไม่ได้ 100% บางครั้งมัน repaint ได้
ต้องดูให้ดีๆ แต่อย่างไรก็ดี ควรศึกษาระบบ ทุกระบบไว้เป็นกรณีศึกษาจะได้รู้แนวทางการแก้ไขและพัฒนาระบบของตัวเองให้ดียิ่งๆขึ้นไป ต่อยอดองค์ความรู้ให้สูงขึ้น ขอให้ผู้ที่ทดลองใช้ จงโชคดีครับ

ระบบนี้มีอินดี้ดังนี้:
Free Download Forex Pips Striker Indicator v2.rar :
indicator01.ex4
indicator02.ex4
Forex-Pips-Striker.tpl

โค๊ด: [Select]
http://tradding2onlinemoney.blogspot.com/2013/11/forex-pips-striker-indicator-v2.html

190
เวลา 1 เดือน มี ช่วง ฟันกันแบบชี้ชัด ในสไตล์ เกมรุก ทาง เทคนิค อยู่ สองสัปดาห์ และ อีกสัปดาห์ คือ สัปดาห์ของ ข่าวร้อนแรง ข่าวฉาวโฉ่(ที่น่ากลัวในสมัย เล่นแรกๆ เพราะบางคนเก่งข่าว มาขี้โม้ให้ฟัง สมัยนี้ มันเบสิคแล้ว ขอโทษด้วยที่จับทางได้) ส่วนอีก สัปดาห์ จะวิ่ง แบบ ค่อยๆไป เทคนิค เริ่ม ใช้ได้   ครบ 4 สัปดาห์ พอดี

เวลาการเทรดจะแบ่งออกเป็นช่วงๆ ดังนี้
1. เมื่อ เข้าสู่ เกือบต้นเดือน และต้นเดือนพอดี จะมีข่าว แรงๆเสมอ โดยมันจะ ประกาศ ให้คนทั่วโลกกลัว เลยทำให้ นักลงทุนระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ไม่กล้า เล่นกันนัก เลยทำให้กราฟ ไม่วิ่งสักเท่าไหร่ ช่วงนี้ คือ ควรงดเทคนิค และ ระบบที่คิดว่า แน่ๆก็ งด เสีย!!!!
ควร หันมา สนใจ ในการ เล่นสั้นๆ เก็บเล็กน้อย แล้วปิด เพราะ ไม่ว่าจะ เทคนิค อะไรก็ตาม กราฟ หลอกแน่นอน ก็บอกแล้วไงครับ เป็นการรอ ราคาระหว่างนัก ซื้อและนักขาย เพื่อ รอประกาศ ข่าว
2. สัปดาห์ที่สอง จะเริ่ม ง่ายขึ้น แต่จะยังไม่สดใส ในวันจันทร์ คือ กราฟ ซึม หม่นหมอง หดหู่ อาลัยแด่ นักลงทุนที่ขาดทุน ยับเยินจากข่าวและโดนเทคนิคอย่างจังแต่ สัปดาห์ นี้จะเริ่ม เทรด แบบ เทคนิคได้แล้ว จะไม่มีปัญหา แต่สัปดาห์ก็ควรดูสภาพตลาดด้วยก็ดี
3. ส่วน สัปดาห์ที่ สาม ต่อมา ควรหันมาสนใจกันอย่างแรง เป็นสัปดาห์แห่งเทคนิค กลาง เดือน บางครั้งจะวิ่งตามเทคนิคตั้งแต่วันจันทร์ และวันจันทร์มักจะเริ่ม เจอเทรนที่ชัดเจน เล่นตามเทรนก็คงอิ่มกัน ทั่วหน้า ขาขึ้นจะขึ้นจนกว่าจะลง ขาลงจะลงจนกว่าจะขึ้น
4.และสัปดาห์ก่อนสิ้นเดือน ก็แบบนี้เช่นกัน ไม่ว่า ข่าวกลางสัปดาห์ จะมาแบบไหน ถ้าไม่ใช้ ข่าว แรงๆแบบต้นเดือน ไม่มีทาง หลุดกรอบเทคนิคเคิลได้ เล่นตามเทคนิคก็จะได้ตามเทคนิค ที่เราเล่น
ครบ สี่ สัปดาห์ จะมีเกือบๆ สามสัปดาห์ ที่จะเล่นเทคนิคได้ แต่เทคนิคที่ชัวร์ๆ คือ กลางเดือนสองสัปดาห์ ก่อนจะสิ้นเดือน เทคนิค คืออุปกรณ์ ที่ช่วยตัวเองได้ดีที่สุด
ช่วงเวลาที่เหมาะสมเข้าทำกำไร
*** ส่วนช่วงเวลา กราฟ มักจะ ขยับขยาย บิดเมื่อย ยักไหล่ เตรียมวิ่ง มักจะช่วง ตลาดยุโรปเปิด คือ ช่วง เที่ยง ควรมามอง หาจุดเข้า บ่ายหนึ่ง บ่ายสอง และบางครั้ง บ่ายสาม มักจะวิ่ง แต่ส่วนใหญ่จะบ่ายสอง บ่ายสาม กราฟวิ่งเสมอ
*** ส่วนตลาดอเมริโกย(กา) หกโมงเย็นก็มา ส่องๆมองๆ เตรียมตัวเทรด ช่วงทุ่ม ถึงสามทุ่มครึ่ง มักจะวิ่ง แต่ที่ชัดเจน สามทุ่ม มักจะ วิ่งเสมอ

โค๊ด: [Select]
https://greenforexsignal.wordpress.com/2013/09/14/%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2-forex/

191
คำถาม: เล่น Forex แล้วได้เงินจริงหรือเปล่า ?

ตอบ: ได้จริงและเสียจริงครับ อยู่ที่ว่าคุณทำได้หรือเปล่า มันเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ คุณต้องขยันศึกษาหาความรู้ หาเทคนิคในการทำกำไร มีหลายคนทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ ทำเป็นอาชีพหลักได้เลย อยู่ที่การฝึกฝนครับ เหมือนเป็นอาชีพหนึ่งถ้าคุณตั้งใจ การเล่น Forex จะคล้ายๆ การเล่นหุ้น แต่เป็นการซื้อขายค่าเงินระหว่างคู่เงินแทน เป็นการเก็งกำไรจากค่าเงิน ตลาดเงินจะคล่องตัวกว่าตลาดหุ้นมาก ใน Eglobal-Forex จะมีเงินปลอมให้ทดลองเทรด ควรศึก ษาให้เข้าใจก่อน แล้วจึงเล่นด้วยเงินจริงครับ ขยันศึกษา+ฝึกฝน+มีระเบียบวินัย+การบริหารความเสี่ยง จะทำให้ประสบความสำเร็จใน Forex ได้ครับ

คำถาม: Pips หรือ Points คืออะไร?

คำตอบ: Pip (Price Interest Point) หรือ Point (จุด) คือ ค่าต่ำสุดของราคา ที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งก็คือจุดทศนิยมหลักสุดท้ายของราคานั่นเอง เช่น EUR/USD ราคาอยู่ที่ 1.3630 เมื่อราคาขึ้นไปเป็น 1.3631 หรือ USD/JPY ราคาอยู่ที่ 115.70 ขึ้นไปเป็น 115.71 ก็คือขึ้นไป 1 Pip หรือ 1 point

คำถาม: Margin คืออะไร?

คำตอบ: คือวงเงินของเรา จะมี Available Margin= วงเงินคงเหลือที่ใช้ซื้อขายได้, Used Margin= วงเงินที่เราใช้ไป
สูตร -> Available Margin = เงินในบัญชี – Used Margin + Profit
เมื่อ เริ่มต้นเรามีเงินฟรี $5 ยังไม่ได้เทรด Used Margin เป็น 0 เราก็จะมี Available Margin=5.0 ถ้าเราทำการเทรดซื้อ EUR/USD ไป $1 จะเกิด Used Margin=1.0 และเหลือ Available Margin เกือบ 4.0 (เนื่องจากถูกหักค่า Spread 2 pips เป็นค่าติดลบใน Profit) ถ้าราคาขึ้นไปจนเราได้กำไร +10 point เราจะได้ Profit=0.1 ค่า Available Margin จะเพิ่มเป็น 4.1 point ถ้าราคา + ขึ้นไปเรื่อยๆ เราจะได้ Available Margin เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ในทางกลับกัน ถ้าเราขาดทุน ค่า Profit จะติด – และ Available Margin เราจะลดลงแทน หากเราไม่ตัดขาดทุนจะลดลงไปเรื่อยๆ จน Margin เกือบหมดเราจะถูกปิดโดยอัตโนมัติ เรียกว่า Margin Call โดนไปทีแทบไม่เหลืออะไรเลย จึงควรรักษา Margin ไว้ให้ดี มีชัยไปกว่าครึ่งครับ ^^

คำถาม: Long และ Short คืออะไร?

คำ ตอบ: Long คือ ซื้อไว้แล้วขาย หลักคือเราต้องซื้อไว้ที่ราคาถูกแล้วไปขายที่ราคาแพงกว่า เราก็จะได้กำไรจากส่วนต่าง ตอนเราเปิด Long ก็คือ ส่งคำสั่งซื้อ หรือ Send Buy Order ไปที่ Marketiva และจะเกิด Long Position ขึ้น
Short คือ ขายออกแล้วซื้อกลับ หลักคือเราขายออกไปก่อนที่ราคาสูง แล้วไปซื้อกลับคืนเมื่อราคาต่ำกว่า เราก็จะได้กำไรที่ส่วนต่าง ตอนเราเปิด Short ก็คือ ส่งคำสั่งขาย หรือ Send Sell Order ไปที่ Marketiva และจะเกิด Short Position ขึ้น
ตลาด Forex จะต่างจากตลาดหุ้น คือสามารถเทรดได้ทั้งสองทาง ทั้งซื้อและขาย เล่นได้ทั้ง ขาขึ้น และขาลง ตลาดหุ้นซื้อได้อย่างเดียว เล่นได้แต่ขาขึ้น ถ้าเป็นขาลงต้องนอนรออย่างเดียว

คำถาม: Stop-Loss (SL) คืออะไร?

คำตอบ: Stop Loss ปกติจะเห็นในห้องแชทพิมพ์ว่า SL (sl) คือจุดที่เรายอมขาดทุน ตรงข้ามกับ TP
– Buy (Long) Order ค่า Stop Loss จะตั้งไว้ต่ำกว่าราคาที่เราซื้อ ถ้าราคาลดลงไปถึงจุดที่กำหนด จะถูกปิดออเดอร์ทันที เพื่อตัดขาดทุน เช่น เราซื้อ EUR/USD ที่ราคา 1.3630 เรายอมขาดทุนได้ 30 จุด ก็ตั้ง SL ไว้ที่ 1.3600 ถ้าราคาไม่ขึ้นตามที่เราตั้งใจแต่กลับลดลงมาถึง 1.3600 เราก็จะขาดทุนเพียง 30 จุด ถ้าเราไม่ตัดขาดทุน ราคาอาจจะลดลงไปมากกว่านี้เยอะ
– Sell (Short) Order จะตั้ง Stop Loss ไว้สูงกว่าราคาที่เราเปิด Sell ถ้าราคาขึ้นไปถึงจุดนั้น จะถูกปิดโดยอัตโนมัติ

คำถาม: Target (Take Profit/TP) คืออะไร?

คำตอบ: Target หรือ TP (Take Profit) คือเป้าหมายกำไรที่เราต้องการ ตรงข้ามกับ SL
– Buy (Long) Order เราจะได้กำไรเมื่อราคาปรับขึ้น เราอาจใช้แนวต้าน เป็นเป้าหมายทำกำไร เมื่อราคาขึ้นไปถึงจุดนั้น จะถูกขายออกโดยอัตโนมัติ
– Sell (Short) Order เราจะได้กำไรเมื่อราคาปรับลดลง เราอาจใช้แนวรับเป็นเป้าหมาย เมื่อราคาลงไปถึงจุดนั้น จะถูกปิดออเดอร์ โดยอัตโนมัติ

คำถาม: การตั้งซื้อขายแบบ Limit / Stop คืออะไร?

คำตอบ: เป็นการตั้งซื้อขายไว้ล่วงหน้า หรือ Pending Order จะยังไม่มี Position เกิดขึ้น
Limit Order ใช้ตั้ง ซื้อที่ราคาต่ำกว่าราคาปัจจุบัน หรือ ตั้งขายที่ราคาสูงกว่าราคาปัจจุบัน ตัวอย่างถ้าตอนนี้ EUR/USD ราคาอยู่ที่ 1.2953/55 ถ้าเราคิดว่ามันเป็นเทรนขาขึ้น และราคาแพงเกินไป เราอยากซื้อราคาต่ำกว่านี้แต่ไม่ว่างนั่งดู เราอาจตั้ง Buy Limit Order ไว้ที่ราคา 1.2945 ถ้าราคาลดลงมาถึงจุดก็จะถูกซื้อโดยอัตโนมัติ และเมื่อราคาขึ้นไปตามคาด เราก็จะได้กำไรเพิ่มขึ้นถึง 10 จุด สำหรับ Sell Limit ก็กลับกัน
Stop Order คือ ตั้งซื้อที่ราคาสูงกว่าราคาปัจจุบัน หรือ ตั้งขายที่ราคาต่ำกว่าราคาปัจจุบัน ใช้เมื่อเราไม่ว่างนั่งเฝ้าอยู่ที่หน้าจอเทรด และใช้สำหรับจับเทรน ตัวอย่าง EUR/USD ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 1.2953/55 เราคิดว่าถ้าราคาผ่านแนวต้านที่ 1.2963/65 ขึ้นไป (Breakout) แล้วน่าจะขึ้นไปต่อ เราอาจตั้ง Buy Stop Order ไว้ที่ 1.2970 เมื่อราคาทะลุขึ้นไปก็จะซื้อให้อัตโนมัติ สำหรับ Sell Stop ก็กลับกันครับ ถ้าคิดว่าจะหลุดแนวรับเราก็ตั้ง Sell Stop Order ไว้ใต้แนวรับ

คำถาม: เวลาเปิดให้เทรดได้เวลาไหน และปิดเวลาใด?

คำตอบ: ตลาดเปิดให้เทรดเวลา 4.00 เช้าวันจันทร์ ไปจนถึงปิดเวลา 4.00 น. เช้าวันเสาร์ สามารถเทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง

คำถาม: เปิดซื้อขายทิ้งไว้ แล้วออกโปรแกรมไป หรือไฟดับ จะเป็นอะไรไหม?

คำตอบ: ไม่เป็นไรครับ ข้อมูลจะถูกเก็บไว้ที่ทางโบรกเกอร์ เมื่อเรากลับเข้ามาอีกที อาจจะ + เป็น 100 หรือ – เป็น 100 ก็ได้ตามราคาตลาดในตอนนั้น หรือแม้แต่เปิดทิ้งไว้จนถึงปิดตลาดเช้าวันเสาร์ พอวันจันทร์ตลาดเปิด ก็ยัง + – ไปตามราคาตลาดต่อไป จนกว่าเราจะสั่งปิดเอง หรือ ราคาชน Target หรือ ราคาชน Stop-Loss หรือ ถูก Margin Call เพราะ margin หมด

คำถาม: Spread (2/3 pips) คืออะไร?

คำตอบ: ที่เห็น 2 pips หรือ 3 pips for EUR/USD เป็นผลต่างระหว่าง ราคาซื้อ (Bid) กับราคาขาย (Offer) ครับ ตอนที่เราซื้อเราจะซื้อที่ราคาขาย (Offer บางโบรกเกอร์ เรียกว่า Ask) พอจะขายก็ต้องขายที่ราคาซื้อ (Bid) นะครับ ยกตัวอย่าง ร้านทองก็มี ราคาซื้อ-ราคาขาย ติดไว้ที่หน้าร้าน เวลาคุณจะไปซื้อทอง ก็ต้องซื้อที่ราคาขาย (Offer) พอจะขายคืนก็ต้องขายให้ที่ราคาที่เค้ารับซื้อ (ฺBid) ถ้าซื้อแล้วขายเลยก็ขาดทุนแน่ๆ ครับ เพราะราคารับซื้อเค้าจะต่ำกว่าราคาขาย ใน Forex ก็คล้ายๆกัน จะเห็นว่าพอเราเปิดซื้อขายมาออเดอร์นึง จะลบทันที 2 จุด (pips) สำหรับ EUR/USD ใน Marketiva เหมือนเป็นค่าต๋งนะแหละครับ ยังไงเปิดมาก็ต้องลบ EUR/USD ปกติจะมี Spread ต่ำสุด แล้วแต่ว่าแต่ละโบรกเกอร์จะกำหนดเท่าไหร่ครับ บางโบรกเกอร์ก็ 3 pips สำหรับตัวอื่นค่า Spread ส่วนมากก็จะมากกว่านี้ครับ เช่น GBP/USD 4 pips หรือตัวที่วิ่งเยอะๆ เช่น GBP/JPY ถึง 8 pips เปิดมา -8 ทันทีเลยครับ ^_^

คำถาม: Leverage (ที่เห็น 1:100, 1:200) คืออะไร?

คำตอบ: Lever แปลว่า คาน Leverage แปลตรงตัว = กำลังคาน ครับ
สำหรับ ใน Forex ค่า Leverage เป็นตัวช่วยเวลาเราลงทุนครับ เป็นการให้ Margin เราเพิ่มตอนเทรด ยกตัวอย่าง ถ้าเราจะเทรด 100 หน่วยของ USD/JPY เราต้องใช้เงินถึง $100 ดอลลาร์ (Leverage 1:1) ถ้าโบรกเกอร์ให้ Leverage เรา 1:100 ก็คือ เราใช้เงินลงทุนเพียง $100/100=$1 หรือใช้เงินเพียง 1 ดอลลาร์เท่านั้น
แล้วมีผลยังไง? 1:100 เราลงทุน 1$ เหมือนลงทุนไป 100$ ทำให้เราได้กำไร (หรือขาดทุน) เพิ่มขึ้นด้วยเงินเพียงนิดเดียว ถ้า Leverage มากขึ้น ก็ยิ่ง กำไรขาดทุนมากขึ้นไปอีกครับ ที่เงินลงทุนเท่ากัน ยิ่ง Leverage เยอะเวลา – ยิ่งขาดทุนเยอะนะครับ ต้องระวังไว้ด้วย
ในโบรกเกอร์ จะมีการกำหนด Leverage ที่ต่างกันแล้วแต่ทางโบรกเกอร์เค้าครับ 1:100, 1:200 หรือ บางโบรกเกอร์ 1:500 ก็มี สำหรับ Marketiva จะมีค่า 1:100 ครับ ถ้าเราซื้อ EUR/USD $1 ถ้าราคาขึ้นไป 10 จุดแล้วขาย เราก็จะได้กำไร $0.1 ถ้าไม่มีค่า Leverage หรือเป็น 1:1 เราจะได้กำไรเพียง $0.001 เท่านั้น

โค๊ด: [Select]
https://greenforexsignal.wordpress.com/2013/09/14/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B9%8C-forex/

192
ระบบเทรด 100-28 MOVING AVERAGE
เป็นระบบเทรด forex ที่สามารถใช้ทำกำไรได้ ดีเช่นกันครับแต่ก็ดเหมือนหลายๆ ระบบที่ผู้ใช้ ต้อง อาศัยความเข้าใจและความอดทนในการเทรดและการกำหนด Money Management ให้กับระบบ ทุกระบบที่ใช้อยู่ เพราะ อย่างที่ผมเคยย้ำไว้ทุกครั้งแล้ว ว่าไม่มีระบบใดในโลกนี้ที่จะ เทรด ชนะทุกครั้งไปไม่งั้นก็คงมี จอร์จ โซรอส กันทั้งโลกแล้วครับ พูดมายาวแล้วมาเข้า เรื่องระบบเทรด 100-28 Moving Average กันเลยดีกว่า ครับ

Currencies Pair: แนะนำดีที่สุดนะครับ EUR/USD

Time frame: TF1 และ TF4

Indicator: Moving Average ใน Mt4

การตั้งค่า Indicator: 100EMA ให้ Set เป็น Exponential ตั้ง เป็น สี เหลือง

                                 : 28SMA ให้ set เป็น ตั้งเป็นสีแดง

clip_image002

การเข้าเทรดของระบบ ENTRY



โดย เส้น EMA 100 สีเหลืองจะเป็นตัวบอกเทรนถ้าแท่งเทียนปิดใต้เส้น EMA 100 โดย หมายถึง เป็นเทรนลง

การเข้า Sell: เมื่อเส้น SMA28 ตัดเส้น EMA 100 ตัดกันลงมาให้รอราคาแท่งเทียนปิดใต้เส้นทั้งสองอย่าง สมบูรณ์ แล้ว เปิด Sell Order เมื่อขึ้นแท่งใหม่ โดย ที่แท่งใหม่ต้องอยู่ใต้แส้นทั้งสอง

การเข้า Buy: เมื่อเส้น SMA28 ตัดเส้น EMA100 ขึ้นไปให้รอให้จบแท่งเทียนก่อนโดยที่ราคาที่เปิดในแท่งถัดไปต้องอยู่เหนือ เส้น ทั้งสอง

Take Profit ของระบบ: TF1 = 70-120 Pips

TF4 = 100-500 Pips

Stop loss ของระบบ: TF1 = 50-60 Pips

TF4 = 100 Pips

ข้อแนะนำ : หลังจากเข้า Order ด้วย ระบบ 100-28 Moving Average แล้ว ให้ ตั้ง TP และ SL ตาม ระบบอย่างเคร่งครัดและ เมื่อเข้า ด้วย ระบบนี้ก็ควรออกด้วยระบบนี้เท่านั้น และอย่าลืม Money Management ในทุกๆ การเทรด

โค๊ด: [Select]
https://greenforexsignal.wordpress.com/2013/09/18/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%94-moving-average/

193
วันนี้มีระเบบเทรด forex ที่ดีที่สุดระบบหนึ่งมาแจกครับ
เริ่มเลยดีกว่า เชื่อว่าทุกคนคงรู้วิธีการดู เทรนขาขึ้น ขาลงนะครับ จึงขอข้ามการดูเทรนไปเลย
ระบบเทรด Forex ก็คือ เลือกเล่นตัวที่กลับเทรนจากขาลงเป็นขาขั้นแล้วเพื่อลดความเสี่ยง

ให้ buy ไม้แรกด้วยทุนแค่ 1 % ที่เรามีอยู่  จากนั้นถ้าหุ้นวิ่งขึ้นก็ให้ถือหุ้นไปยาวๆจนกว่าเราจะพอใจหากหุ้นตกให้รอลงมาจนติดลบ 100 จุด แล้วให้ buy ไม้ 2 โดยใช้ทุนเป็นสองเท่าของไม้แรก ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าลบอีก 100 จุดก็ให้ buy ไม้ต่อไป โดยใช้ทุนเป็นสองเท่าของไม้ที่แล้ว

รับประกันว่า คุณรวยแน่นอน ไม่มีเสีย ถ้าไม่เชื่อเราถ้าพิสูตร แต่ว่าต้องอดทนนะครับ แล้วก็ต้องทำให้ได้ตามระบบ อย่าเห็นว่าเสียแล้วต้องรีบ cut lose จะทำให้คุณสูญเสียเงินทุนแน่นอน

โค๊ด: [Select]
https://greenforexsignal.wordpress.com/2013/09/19/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%94-forex-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94/

194
เป็นระบบที่เล่นในกราฟ 1 ชม. ถ้าเข้าตามหลักเกณฑ์แล้วกำไรครับ โดยหลักการ

คือ MBFX แตะเส้น 80 บน เตรียม sell อีกไม่นานมันจะลงครับ

MBFX แตะเส้น 20 ล่างเตรียม buy ไม่นานมันจะขึ้น

ในกรอบ Breakout trendline กราฟมักจะวิ่งอยู่ในกรอบนี้ ถ้าในภาพตัวอย่างจะกรอบสีเหลืองๆ ถ้าหลุดไปบนหรือล่าง ให้คัตลอส

ใช้ในกราฟ 1 ชม. ขึ้นไป



โค๊ด: [Select]
http://www.thaitalkforex.com/index.php?mod=vi-post&cid=34&id=884

195
ปัจจุบันผมมีการเทรดหลักๆ 3 ระบบ คือ Price Action, fundamentals และ TMS ซึ่งสิ่งที่ผมอยากจะพูดถึงในบทความนี้ก็คือ TMS ครับ

TMS หรือ Trading Made Simple เป็นระบบกระโดดขี่ Momentum เราไม่ได้หวังจับ pips จำนวนมาก แต่เพียงต้องการอาศัยแรงขับเคลื่อนที่เหลืออยู่ทำกำไรเท่านั้น

TMS พัฒนาขึ้นมาโดย Big E แห่ง Forex Factory น่าเสียใจที่ปัจจุบันเขาจากไปเสียแล้ว เขาทิ้งกระทู้ระบบเทรดไว้บน Forex Factory ซึ่งกลายเป็นกระทู้ไร้ทิศทาง สมาชิกแต่ละคนวิเคราะห์แตกต่างกันจนจับต้นชนปลายไม่ถูก



สิ่งที่ทำให้ผมชอบระบบ TMS ก็คือการที่เราสามารถมองกราฟแว้บเดียวก็บอกได้แล้วว่าสัญญาณสวยหรือไม่ น่าเทรดหรือไม่ หากไม่เกิดสัญญาณเราไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์อะไรเพิ่มเติมเลย

ซึ่งต่างกับ Price Action และ Fundamentals... 2 วิธีนี้ผมใช้เทรดมานาน แม้จะได้ผลดี แต่หลายๆ ครั้งต้องทนดู order ติดลบอยู่เป็นอาทิตย์ มีครั้งนึงผมเคยต้องติดลบอยู่ถึง 3 อาทิตย์ ว่ากันตรงๆ มันเครียดครับ แถมจะเทรดเพิ่มก็ไม่ได้ ไม่งั้น over trade



Pin bar trade จากกราฟวัน ติดลบอยู่ 1 สัปดาห์เต็มๆ ก่อนจะวิ่งไป TP

ซึ่งทำให้ผมชอบ TMS มากกว่า ผมสามารถปิด order ในเวลาไม่มากนักแล้วไปทำอย่างอื่นต่อ สัญญาณการเข้าก็เรียบง่ายไม่ต้องคิดวิเคราะห์หัวแตกอะไรนัก ทุกๆ ต้นชั่วโมงผมก็ดูกราฟทีว่ามีสัญญาณมั้ย... ถ้ามี มันสวยมั้ย ... ทั้งหมดนี้ผมใช้เวลากราฟละไม่ถึง 30 วินาทีเท่านั้น

ผมต้องออกปากไว้ก่อนว่าการเทรดไม่ใช่เรื่องง่าย ครับ... โอเคการวิเคราะห์สัญญาณของระบบนี้อาจจะง่ายจริง แต่จิตวิทยา, ทัศนคติ, money management และอารมณ์ที่ถูกต้องสำหรับการเทรดเหล่านี้ต่างหากที่ฝึกหัดได้ยากกว่ากันหลายเท่านัก

โค๊ด: [Select]
http://panupatforex.blogspot.com/2014/10/blog-post.html

หน้า: 1 ... 11 12 [13] 14 15 ... 17
SMF 2.0.15 | SMF © 2011, Simple Machines
SMFAds for Free Forums