แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - นักศึกษา22

หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 14
61
ดึกๆ แบบนี้เราว่าดูเรื่อง forex โบรกเกอร์ DMA/STP คืออะไร ใช้อย่างไร


ประโยชน์ของการเปิดโบรกเกอร์ DMA/STP

1.โบรกเกอร์ DMA/STP สามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้เร็วกว่าการเปิดกับโบรกเกอร์ประเภทอื่นๆ เนื่องจากคำสั่งซื้อขายไม่ต้องวิ่งเข้ามาที่ส่วนกลางแต่อย่างใด แต่สามารถเดินทางไปถึงส่วนกลางได้ทันที

2.ผู้เทรด forex สามารถได้ราคาตามที่ตนเองต้องการมากกว่าการเทรดกับโบรกเกอร์ประเภทอื่น ซึ่งการได้ราคาที่ตรงตามเป้าหมาย สามารถทำให้การคำนวณทางเทคนิคเพื่อการทำกำไรมีความแม่นยำกว่ามาก

3.ค่าสเปรดเริ่มต้นจาก 0 หรือไม่มีค่าสเปรด ทำให้คุณไม่ต้องกังวลเรื่องส่วนต่างแต่อย่างเ แต่ในบางโบรกเกอร์นั้นอาจมีการเรียกเก็บเป็นค่าคอมมิชชั่นแทน ซึ่งให้คุณพิจารณาเป็นกรณีๆไปนะครับ

ข้อจำกัดบางประการของโบรกเกอร์ DMA/STP

1.ต้องใช้เงินทุนในการเปิดบัญชีสูง โดยมากจะเริ่มต้นที่ 500 เหรียญ ในขณะที่บางโบรกเกอร์ การเลือกเปิดโบรกเกอร์ DMA/STP อาจต้องใช้เงินสูงมากถึง 2000 เหรียญเลยทีเดียว

2.คุณจะได้มูลค่าของเงินไม่สูงมากนัก (เลเวอเลจ) ซึ่งส่งต่อจำนวนของสัญญาที่ทำการเปิดกล่าวอย่างง่ายๆคือ คุณจะเปิดสัญญาการเทรดแบบ 5 สัญญา 10 หรือ 20 สัญญาในครั้งเดียวไม่ได้ครับ ซึ่งค่าเลเวอเลจที่พบบ่อยในโบรกเกอร์ DMA/STP คือ 1:100 หรือ 1:200 (แต่ผู้เขียนกลับมองว่าดีครับ เพราะทำให้เรามีสมาธิในการเทรดมากยิ่งขึ้น)

ใครบ้างที่เหมาะสมสำหรับโบรกเกอร์ DMA/STP

สำหรับคนที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการเทรดกับโบรกเกอร์ DMA/STP คือคนที่มีความเชี่ยวชาญในการเทรด forex และสามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่องแล้วเท่านั้น ไม่อย่างนั้นแล้วหากคุณยังเป็นมือใหม่แต่มีทุน แม้เข้ามาเทรดกับโบรกเกอร์ DMA/STP ก็ไม่ได้ส่งผลให้คุณทำกำไรได้มากขึ้นแต่ประการใดครับ

โบรกเกอร์ DMA/STP คืออะไร

หากจะพูดแต่เฉพาะความเป็นมืออาชีพแล้ว ใครที่เทรด forex จะต้องไม่พลาดในการเทรดกับบัญชี โบรกเกอร์ DMA/STP อย่างแน่นอน เพราะถือว่าเป็นบัญชีที่สามารถช่วยให้เราเข้าถึงคำสั่งซื้อขายได้เร็วกว่าใคร และสามารถทำกำไรได้ทันที ไม่ต้องรอค่าสเปรดให้ต่ำลงแต่อย่างใด ดังนั้นมาทำความเข้าใจเพิ่มเติมกันเกี่ยวกับโบรกเกอร์ DMA/STP

โบรกเกอร์ DMA/STP คืออะไร

โบรกเกอร์ DMA/STP หมายถึงโบรกเกอร์ที่ไม่ต้องผ่านคนกลาง หรือตัวโบรกเกอร์ก่อนที่เราจะส่งคำสั่งซื้อเข้าสู่ส่วนกลาง เรียกว่าคำสั่งซื้อขายที่เราทำนั้นจะเข้าสู่ส่วนกลางทันที ซึ่งตรงนี้มีข้อดีทันทีเกิดขึ้นสองประการคือ 1.)คำสั่งซื้อขายของเราจะไปแมตท์ได้เร็วกว่าทุกบัญชี 2.) ทำให้เรานั้นได้ราคาของคู่เงินที่ต้องการได้ดีกว่าแบบอื่นๆ ดังนั้นมืออาชีพในการเทรด forex ทุกคนต่างเลือกเปิดโบรกเกอร์ DMA/STPกันทั้งสิ้น

โบรกเกอร์ forex ประเภท Direct Market Access (DMA/STP) คือโบรกเกอร์ที่ไมมีตัวกลางในการซื้อขาย การซื้อขายของเรา จะถูกส่งเข้าตลาดโดยตรง เหมือน ECN ครับเป็นรูปแบบที่รองรับการซื้อขายทุกประเภท เทรดสั้น เทรดยาว เฮดดิ้ง  ECN กับ DMA เป็นการส่งคำสั่งเข้าตลาดโดยตรงเหมือนกัน แต่ DMA มีเทคโนโลยีที่ดีกว่าในการซื้อขายโดยรวม และส่วนมาก DMA จะมีค่าคอมมิชชั่นที่ถูกกว่า ECN ครับ

ข้อดีคือ ได้ราคาที่ดีที่สุดจากตลาด  ซื้อขายเร็วมาก ไม่รีโควตคำสั่ง

ข้อเสียคือ เปิดบัญชีค่อนข้างแพง  $500  $1000 $2000 $5000 แล้วแต่โบรกเกอร์ และบัญชีประเภทนี้ให้เลเวอร์เลจค่อนข้างต่ำ ส่วนมากไม่เกิน 1:200 ครับ

แนะนำโบรกเกอร์ประเภท DMA บางส่วนครับ โบรกเกอร์เหล่านี้มีบัญชีหลายประเภท เอาง่ายๆ บัญชีแบบ DMA ก็คือแบบที่ใช้เงินเปิดบัญชีแพงที่สุดในทุกประเภทนั่นเองครับ

62
นักเทรด Forex ต้องไม่พลาดเรื่องนี้แน่นอน forex โบรกเกอร์ Dealing Desks (DD) คืออะไร ใช้อย่างไร

การทำงาน / กำไรที่โบรกเกอร์หรือเทรดเดอร์ที่จะได้
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราส่งคำสั่งไปยังโบรกที่เป็น Dealing Desk ถ้าเราได้กำไรจากตรงนั้นโบรกเกอร์ก็จะส่งคำสั่งไปที่แบงค์เพื่อหาลูกค้าคนอื่นๆ หรือไปที่แบงค์เพื่อเอาเงินมาให้เรา ส่วนที่เสียก็จะเป็นกำไรของโบรกเกอร์ไป และรายได้อีกอันหนึ่งของโบรกเกอร์ก็คือ Spread ของโบรกที่กำหนดไว้ตายตัว หรือเราเรียกว่า Market Maker โดย Dealing Desk จะเป็นคนกำหนดราคาอันตราแลกเปลี่ยนเอง ก็คือจะเป็นราคาของโบรกเกอร์ซึ่งไม่ใช่ราคาจาก Liquidity Provider (หรือเราเรียกว่า แบงค์ หรือ จาก บ.ที่ป้อนราคา บิด และ ออฟเฟอ ให้กับโบรกเกอร์) ซึ่งเราจะไม่เห็นราคาจริงๆ จากแบงค์ครับ

โบรกเกอร์ DD  จะมีห้องรวบรวมข้อมูลของลูกค้าไว้ และจะมีพนักงานคอยตรวจสอบข้อมูลของลูกค้าบางคนที่โบรกเกอร์สามารถรับกินเองได้ ก็จะดักไว้กินเอง จะไม่ส่งเข้าตลาดฟอเร็ก  แต่ถ้ากินไม่ได้ก็จะกินแต่สเปรด และส่งข้อมูลของลูกค้าเข้าตลาด

โบรกเกอร์ DD จึงคล้ายๆคนเดินโพยหวย (แต่จะซับซ้อนกว่ามากๆ) สมมุติว่าคุณเป็นคนเดินโพยหวย งวดนี้มีคนแทงหวย 2 ตัว (เลขท้าย 2 ตัว เลขที่จะออกได้จะมีตั้งแต่ 00, 01, … 99 ทั้งหมด 100 ตัว) ซึ่งแทง 1 บาทถ้าถูกจะได้ 70 บาท เกิดงวดนี้มีคนแทงเลขต่างๆ มา หลังจากสรุปผลก่อนนำส่งเจ้ามือแล้ว มีเลขแตกต่างกันถึง 80 ตัว (มี 20 ตัวไม่มีใครแทงเลย) ง่ายๆ ว่าแทงตัวละ 10 บาทเท่ากันหมด



ถามว่าคุณจะนำส่งเจ้ามือหรือไม่ คุณก็ต้องคิดว่า ถ้าคุณส่งเจ้ามือคุณได้เปอร์เซ็นต์เท่าไหร่ แล้วถ้าคุณเก็บไว้เอง ไม่นำส่ง คุณจะได้เท่าไหร่ แน่นอนถ้าเก็บไว้เองก็จะได้เงินเท่ากับ 80×10=800 บาท ถ้าเกิดหวยออกใน 20 ตัวที่ไม่มีใครแทงก็จะได้เต็มๆ 800 แต่สมมุติหวยออกใน 80 ตัวที่มีคนแทง คุณก็จะต้องจ่ายเท่ากับ 10×70=700 (แทง 10 บาท จ่ายบาทละ 70) ก็ยังได้กำไร= 800-700=100 บาท

จะเห็นว่าคุณไม่มีสิทธิ์ขาดทุนเลยใช่ไหมครับ ถ้ามีการแทงกันกระจายเกือบครบทุกตัวแบบนี้ ที่นี้ด้านคนซื้อหวย กระทบอะไรหรือไม่ ก็ไม่กระทบครับ แทงถูก 10 บาทก็ได้ 700 เหมือเดิมครับ

อันนี้ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ นะครับ ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับพวกบ่อนการพนัน และพวกนายหน้า หรือคนเดินโพยทั่วไปใช้อยู่เป็นปกติ ย้ำว่าเป็น “ปกติ” นะครับ และมันไม่ได้กระทบกับผู้เล่น แต่เป็นการเพิ่มรายได้ให้คนเดินโพย

กลับมาที่ DD อาจจะต้องซับซ้อนกว่า และอาศัยข้อมูลประกอบมากขึ้นครับ เขามีระบบคอมพิวเตอร์คำนวณและเปรียบเทียบตัดสินใจหลายๆด้าน เพื่อให้ DD เองมีกำไรมากขึ้นนอกจาก spread อย่างเดียว นั่นมันก็เรื่องของ DD ครับ ไม่กระทบเราก็พอแล้ว



เราจะเลือกโบรกเกอร์ประเภทไหนดี?
โบรกเกอร์แต่ละประเภทก็จะมีข้อดี-ข้อเสีย ที่แตกต่างกันออกไป เราจึงควรเลือกให้ตรงกับความต้องการของเราอย่างแท้จริง หรือประเมินจากการยอมรับได้ด้วยเหตุผลเฉพาะตัวของเราเอง อย่างเช่น ประเภท Dealing Desk (DD) ก็จะมีค่าบริการที่ค่อนข้างถูกและสเปรดคงที่ (Fix Spread) และประเภท No Dealing Desk (NDD) ก็จะมีค่าบริการค่อนข้างสูงกว่าแต่ก็ได้รับบริการที่สูงกว่า และความปลอดภัยที่มากกว่า มาชดเชยครับ

แต่อย่างไรก็ตามเราก็ควรต้องเข้าไปดูเงื่อนไขของโบรกเกอร์แต่ละบริษัทด้วยนะครับว่าเป็นอย่างไร และมีความน่าเชื่อถือสูงหรือไม่ เพราะบางทีโบรกเกอร์บางบริษัทในรูปแบบประเภท Dealing Desk (DD) อาจจะมีความน่าเชื่อถือกว่าโบรกเกอร์บางบริษัทที่เป็นประเภท No Dealing Desk (NDD) ด้วยซ้ำไปครับ

ปัจจุบันนี้ มีโบรกเกอร์ต่างๆมากมายเกิดขึ้นทำให้มีการแข่งขันกันอย่างมาก ดังนั้น โบรกเกอร์ต่างๆก็พยายามทำให้ตัวเองมีข้อดี มีจุดเด่นเยอะๆ เพื่อที่จะดึงดูดลูกค้า และถ้ามีข้อเสียมากเท่าไหร่ลูกค้าก็จะยิ่งมีน้อยลงไปเท่านั้น เพราะเดี๋ยวนี้การสมัครโบรกเกอร์ ตลอดจนกระทั่งการยืนยันตัวตนนับเป็นเรื่องง่ายๆแล้ว ลูกค้าเมื่อเห็นว่าโบรกไหนไม่เวิร์คก็สามารถเปลี่ยนใจไปใช้อีกโบรกได้โดยใช้เวลาไม่นาน เป็นสาเหตุให้โบรเกอร์ส่วนใหญ่จะไม่โกงหรือเอาเปรียบลูกค้าแบบโต้งๆหรอกครับ เน้น !.. แค่ส่วนใหญ่เท่านั้นเองนะครับ ถ้าคุณโชคร้ายไปเจอส่วนน้อย ก็รีบเปลี่ยนซะครับ….^_^



ตัวอย่างโบรกเกอร์ที่เป็นแบบ โบรกเกอร์ Dealing Desks (DD)

1.โบรกเกอร์ FBS

2.โบรกเกอร์ FXCL(Fix Spread)

3.โบรกเกอร์ Fxprimus

4.โบรกเกอร์ Exness(mini, cent) เป็นต้น

โดยโบรกเกอร์ระบบ DD / Market Maker ที่น่าเชื่อถือ ส่วนใหญ่จะ Fix Spread (Spread คงที่ไม่เปลี่ยน)

โบรกเกอร์ Dealing Desks (DD) คืออะไร
โบรกเกอร์ที่ให้บริการเราในตลาดนั้นจะแบ่งออกมาเป็น 2 ประเภทคือ แบบ DD หรือ โบรกเกอร์ Dealing Desks กับอีกแบบคือ NDD ซึ่งทั้งสองประเภทนี้มีความแตกต่างกันในด้านการให้บริการการเทรด forex อย่างชัดเจน แต่สำหรับบทความนี้เราจะกล่าวเจาะประเด็นเฉพาะ DD เท่านั้น ถ้าพร้อมแล้วเรามาดูกันครับ



ประเภทของโบรคเกอร์
โบรกเกอร์ ก็คือบริษัทที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการรับส่งคำสั่งของเราเข้าไปสู่ตลาด Forex โดยโบรกเกอร์จะมีอยู่ 2 ประเภทหลัก ๆ คือ

1.Dealing Desk (DD) หรือที่เรียกว่า Market Maker คือ โบรกเกอร์ที่ดำเนินการผ่านเคาน์เตอร์จัดการ (Dealing Desk) จะมีห้องรวบรวมข้อมูลของลูกค้าไว้ และจะมีพนักงานคอยตรวจสอบข้อมูลของลูกค้า ออร์เดอร์ที่คุณสั่งก็จะอยู่ในมือของโบรกเกอร์ เมื่อเราทำการซื้อขาย โบรกเกอร์ก็จะทำการจับคู่กับอีกฝั่งหนึ่งให้เรา

2.No Dealing Desk (NDD) คือ โบรกเกอร์ที่มีการส่งข้อมูล ด้านคำสั่งซื้อขายของเราเข้าไปที่ส่วนกลางโดยตรง โดยที่ไม่ผ่าน server หลักของทางโบรกเกอร์ก่อน สามารถแยกย่อยได้อีก คือ

Straight Through Processing (STP) คือ การประมวลผลโดยตรง
Electronic Communication Network + Straight Through Processing (ECN+STP) คือ ระบบอัตโนมัติเพื่อเก็บคำสั่งซื้อที่ตรงกัน + การประมวลผลโดยตรง
ซึ่งในบทความนี้จะขอเจาะประเด็นแต่เพียง Dealing Desk (DD) นะครับ เนื่องจากประเภทอื่นๆได้เขียนอย่างละเอียดไว้ในหัวข้อนั้นๆแล้วครับ ลองคลิกอ่านดูได้ เพราะถ้ารวมกันไว้ที่นี้หมด หน้าเว็บจะยาวไป คนอ่านคงตาลายครับ..555

 โบรกเกอร์ Dealing Desks (DD) คืออะไร (8)โบรกเกอร์ Dealing Desks (DD) คืออะไร
โบรกเกอร์แบบ Dealing Desks (DD) หรือหลายคนอาจจะเรียกว่า  Market Maker คือ โบรกเกอร์ประเภทที่ไม่ได้ส่งคำสั่ง ซื้อ ขาย ของเราเข้าสู่ตลาดกลางโดยตรง คือจะเป็นไปในลักษณะ

ตัวเรา —> สั่งคำสั่งซื้อเข้า MT4 —> โบรกเกอร์

โบรกเกอร์จะดำเนินการผ่านเคาน์เตอร์จัดการ (Dealing Desk) โดยจะมีห้องรวบรวมข้อมูลของลูกค้าไว้ และจะมีพนักงานคอยตรวจสอบข้อมูลของลูกค้า ออร์เดอร์ที่คุณสั่งก็จะอยู่ในมือของโบรกเกอร์ เมื่อเราทำการซื้อขาย โบรกเกอร์ก็จะทำการจับคู่กับอีกฝั่งหนึ่งให้เรา เช่น เมื่อเราเปิดคำสั่ง Buy EUR/USD จำนวน 1 lot โบรคเกอร์จะพยายาม หาคำสั่ง Sell ของลูกค้ารายอื่นๆ มาจับคู่ กับออเดอร์ Buy ของเรา โดยหากจับคู่ไม่ได้ ก็จะส่งออเดอร์ของเรา ไปให้ฝ่ายบริหารจัดการสภาพคล่องของบริษัทซึ่งเป็นนิติบุคคลขนาดใหญ่ที่พร้อมจะซื้อขายทางการเงินอยู่แล้ว ซึ่งการทำแบบนี้จะช่วยลดความเสี่ยงของ broker เพราะโบรกเกอร์จะได้เงินจากค่าสเปรดโดยไม่ต้องถือออเดอร์ที่เป็นฝั่งตรงข้ามกับออเดอร์ของเรา


ราคาที่เราเห็นในโบรกเกอร์ประเภทนี้จะเป็นราคาที่โบรกเกอร์เป็นตัวกำหนดขึ้นมาเอง เอาง่ายๆเลยก็คือราคาที่เราเห็นนั้นเป็นราคาอัตราแลกเปลี่ยนเทียม แต่โบรกเกอร์ประเภทนี้ส่วนใหญ่จะอ้างอิงราคามาจากตลาดจริง รายได้ของโบรกเกอร์ประเภทนี้ส่วนใหญ่จะมาจากค่าสเปรดครับ

โบรกเกอร์ Forex  ประเภท Dealing Desk หรือ เราเรียกว่า Market Maker โบรกเกอร์ประเภทนี้ส่วนใหญ่จะ Fix Spread (Spread คงที่ไม่เปลี่ยน) การซื้อขายคำสั่งจะเข้าไปที่ห้องวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ก่อน ก่อนที่จะส่งไปตลาด โบรกเกอร์มีสิทธิ์ที่จะเก็บออเดอร์ของเราไว้ในบางออเดอร์(เก็บไว้กินเองว่างั้น) ในเรื่องของความรวดเร็วในการเปิด และปิดออเดอร์ โบรกเกอร์ประเภทนี้ หรือบัญชีประเภทนี้ ก็จะช้ากว่าประเภท NDD ราคาที่เราเห็นในกราฟก็จะช้ากว่าราคาตลาดอยู่นิดหน่อยครับ

ทั้งนี้ในแต่ละโบรกเกอร์(โดยเฉพาะโบรกเกอร์ใหญ่ๆ ด้านล่าง) อาจจะมีบัญชีอยู่หลายประเภท สามารถเลือกได้ครับว่าชอบแบบไหน สำหรับผมแนะนำ NDD หรือ ECN ครับ แบบ Fix Spread จะมีประโยชน์คือ ในกรณีที่กราฟพุ่งขึ้น ลง แรงมากๆภายใน 1-2 วินาที กราฟจะไม่ขยับแบบหวือหวา ทำให้เราไม่ต้องไปตื่นตระหนกกับมันนัก และ Spread ก็กำหนดได้แบบตายตัว มันไมมากหรือน้อยไปกว่านี้อีกแล้วไม่ว่าเวลาไหน ถ้าทางโบรกจะเปลี่ยนเขาจะส่งจดหมายมาหรือประกาศให้รู้ทั่วกันครับ

อีกอย่างคือ EA บางตัวจะเหมาะกับแบบ FIX มากกว่าครับ


ลักษณะของโบรกเกอร์ประเภทนี้ส่วนใหญ่จะ Fix Spread (Spread คงที่ไม่เปลี่ยน) และค่าบริการต่างๆจะค่อนข้างถูกด้วย

63
สวัสดีตอนบ่ายๆ นะครับ วันนี้เราจะมาศึกษาเรื่อง  forex โบรกเกอร์ No Dealing Desks (NDD) คืออะไร ใช้อย่างไร

ประโยชน์ของการเลือกโบรกเกอร์  No Dealing Desks (NDD)
1.ส่งคำสั่งซื้อขายได้อย่างรวดเร็ว

ประโยชน์ข้อแรกของการใช้ No Dealing Desks (NDD) คือ เราสามารถทำคำสั่งซื้อหรือขายไปได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งความเร็วตรงนี้มีผลโดยตรงต่อการเทรด forex เพราะยิ่งถ้าเป็นช่วงที่ตลาดมีการแกว่งตัวแรงๆ ถ้าเราสามารถเข้าไปเทรดได้ทัน นั่นหมายความว่าเราสามารถทำเงินและทำกำไรได้เร็วกว่ามากกว่า หรือรีบตัดการขาดทุนได้เร็วกว่าโบรกเกอร์ที่ไม่ใช่ No Dealing Desks (NDD) ครับ

2.ได้ราคาที่ใกล้เคียงกับราคาจริง

ข้อนี้จะมีส่วนสำคัญช่วยให้เรานั้นสามารถเลือกกลยุทธ์ในการทำการตลาดได้ง่ายยิ่งขึ้น อันเนื่องมาจากราคาที่มีความใกล้เคียงกับราคาจริงมากๆนั่นเอง ถ้าเป็นโบรกเกอร์ที่ไม่ใช่เป็นแบบ NDD แล้ว ก็อาจจะไม่สามารถทำลักษณะแบบนี้ได้

3.ค่าเสปรดมีการแกว่งตัวหลายแบบ

ข้อดีต่อมาคือเรื่องของค่า สเปรดที่มีการแกว่งตัวหลายแบบขึ้นอยู่กับลักษณะ และช่วงเวลาของการเทรด หลักการง่ายๆคือ ถ้าช่วงเวลาดังกล่าวมีผู้เข้าทำการเทรด forex ในคู่เงินนั้นน้อยๆ ก็จะทำให้ค่าตัวนี้มีราคาสูง แต่ในทางตรงกันข้าม ก็จะทำให้มีราคาต่ำเช่นกัน จึงสามารถประยุกต์ข้อมูลตรงนี้ในการวางแผนการเทรดได้ อย่างเช่น การชิพไปเทรดในคู่เงินที่มีสเปรดต่ำๆครับ



โบรกเกอร์ที่เป็นแบบโบรกเกอร์  No Dealing Desks (NDD)
ได้แก่

1.โบรกเกอร์ exness

2.โบรกเกอร์ FBS

3.โบรกเกอร์ instaforex

4.โบรกเกอร์ forex4you



บทสรุป
จะเห็นว่าการเทรด forex นั้นหากเราเลือกโบรกเกอร์ประเภท โบรกเกอร์  No Dealing Desks (NDD) เราจะรู้สึกมีความมั่นใจกว่าการเลือกโบรกเกอร์ที่ไม่ใช่แบบนี้เนื่องจากว่า ทำให้เรารู้สึกว่าข้อมูลต่างๆนั้นจะไม่ถูกขโมยออกไป หรือว่าเอาไปเล่นตุกติกก่อน อาจเป็นผลที่ทำให้เราได้กำไรน้อยลง ทำให้มั่นใจได้ว่า ราคาซื้อขาย ของคุณ เป็นอิสระจากการแทรกแซง ทำให้คุณสามารถจดจ่อกับการซื้อขายของคุณได้เป็นอย่างดี และสามารถ ส่งคำสั่งซื้อขายได้อย่างรวดเร็ว ได้ราคาที่ใกล้เคียงกับราคาจริง ซึ่งนี่ถือเป็นคำศัพท์อีกคำที่สำคัญมาก ดังนั้นก่อนเลือกโบรเกอร์อันไหน อย่าลืมดูรายละเอียดในแง่มุมต่างๆให้ชัดเจนด้วยนะครับ

โบรกเกอร์  No Dealing Desks (NDD) คืออะไร
ปกติแล้วเวลาเราทำการเทรด forex เราจะต้องส่งคำสั่งซื้อ-ขาย เข้าไปที่โบรเกอร์เสียก่อน ซึ่งการทำแบบนี้นั้น บางทีเราอาจมีความรู้สึกครางแคลงใจว่า อาจมีการเก็บข้อมูลของเราเพื่อเอาไปทำสถิติในการเทรด หรืออื่นๆ ซึ่งอาจมีการตุกติกเกิดขึ้น(คิดแบบโลกไม่สวยน่ะครับ) ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาในส่วนนี้ จึงมีโบรกเกอร์แบบ No Dealing Desks (NDD) หรือแปลง่ายๆว่าเป็นโบรกเกอร์ที่ไม่ผ่านตัวกลางนั่นเอง ส่วนจะเป็นอย่างไรนั้น มาศึกษาไปพร้อมๆกันครับ



ประเภทของโบรคเกอร์
โบรกเกอร์ ก็คือบริษัทที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการรับส่งคำสั่งของเราเข้าไปสู่ตลาด Forex โดยโบรกเกอร์จะมีอยู่ 2 ประเภทหลัก ๆ คือ

1.Dealing Desk (DD) หรือที่เรียกว่า Market Maker คือ โบรกเกอร์ที่ดำเนินการผ่านเคาน์เตอร์จัดการ (Dealing Desk) จะมีห้องรวบรวมข้อมูลของลูกค้าไว้ และจะมีพนักงานคอยตรวจสอบข้อมูลของลูกค้า ออร์เดอร์ที่คุณสั่งก็จะอยู่ในมือของโบรกเกอร์ เมื่อเราทำการซื้อขาย โบรกเกอร์ก็จะทำการจับคู่กับอีกฝั่งหนึ่งให้เรา

2.No Dealing Desk (NDD) คือ โบรกเกอร์ที่มีการส่งข้อมูล ด้านคำสั่งซื้อขายของเราเข้าไปที่ส่วนกลางโดยตรง โดยที่ไม่ผ่าน server หลักของทางโบรกเกอร์ก่อน สามารถแยกย่อยได้อีก คือ

Straight Through Processing (STP) คือ การประมวลผลโดยตรง
Electronic Communication Network + Straight Through Processing   (ECN+STP) คือ ระบบอัตโนมัติเพื่อเก็บคำสั่งซื้อที่ตรงกัน + การประมวลผลโดยตรง
ซึ่งในบทความนี้จะขอเจาะประเด็นแต่เพียง No Dealing Desk (NDD) นะครับ เนื่องจากประเภทอื่นๆได้เขียนอย่างละเอียดไว้ในหัวข้อนั้นๆแล้วครับ ลองคลิกอ่านดูได้ เพราะถ้ารวมกันไว้ที่นี้หมด หน้าเว็บจะยาวไป คนอ่านคงตาลายครับ..หุหุ


โบรกเกอร์  No Dealing Desks (NDD) คืออะไร
No Dealing Desks (NDD) มีความหมายว่าโบรกเกอร์ที่มีการส่งข้อมูล ด้านคำสั่งซื้อขายของเราเข้าไปที่ส่วนกลางโดยตรง โดยที่ไม่ผ่าน server หลักของทางโบรกเกอร์ก่อน (ไม่ส่งคำสั่งซื้อขายของลูกค้าผ่านเคาน์เตอร์จัดการ (Dealing Desk) คือไม่ผ่านห้องตรวจสอบข้อมูลของลูกค้า) ซึ่งหมายความว่าโบรคเกอร์นั้นไม่ได้หาผลประโยชน์ทางด้านอื่นในการเทรดของลูกค้าเลย ที่โบรคเกอร์ทำก็เพียงแค่เชื่อมโยงทั้งสองฝ่ายเข้าด้วยกันเท่านั้น

โบรกเกอร์ NDDs จึงเป็นเหมือนผู้สร้างสะพานเชื่อมต่อระหว่างสองที่ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายโดยตรง โดยโบรกเกอร์ NDDs จะมีรายได้จากการเรียกเก็บค่านายหน้าที่มีขนาดเล็กมากสำหรับแต่ละการซื้อขาย หรือคิดแค่ค่าสเปรดเพียงเล็กน้อย

แต่…ลักษณะของโบรกเกอร์ประเภทนี้ส่วนใหญ่จะมีสเปรดที่ไม่คงที่และอาจจะมีค่าคอมมิชชั่น แล้วค่าบริการต่างๆที่อาจจะมีราคาสูงกว่าแบบ Dealing Desk (DD) ครับ



ถ้าเป็นแบบนี้จะเลือกโบรกเกอร์ประเภทไหนดี?
โบรกเกอร์แต่ละประเภทก็จะมีข้อดี-ข้อเสีย ที่แตกต่างกันออกไป เราจึงควรเลือกให้ตรงกับความต้องการของเราอย่างแท้จริง หรือประเมินจากการยอมรับได้ด้วยเหตุผลเฉพาะตัวของเราเอง อย่างเช่น ประเภท Dealing Desk (DD) ก็จะมีค่าบริการที่ค่อนข้างถูกและสเปรดคงที่ และประเภท No Dealing Desk (NDD) ก็จะมีค่าบริการค่อนข้างสูงกว่าแต่ก็ได้รับบริการที่สูงกว่า และความปลอดภัยที่มากกว่า มาชดเชยครับ

แต่อย่างไรก็ตามเราก็ควรต้องเข้าไปดูเงื่อนไขของโบรกเกอร์แต่ละบริษัทด้วยนะครับว่าเป็นอย่างไร และมีความน่าเชื่อถือสูงไม เพราะบางทีโบรกเกอร์บางบริษัทในรูปแบบประเภท Dealing Desk (DD) อาจจะมีความน่าเชื่อถือกว่าโบรเกอร์บางบริษัทที่เป็นประเภท No Dealing Desk (NDD) ด้วยซ้ำไปครับ

ปัจจุบันนี้ มีโบรกเกอร์ต่างๆมากมายเกิดขึ้นทำให้มีการแข่งขันกันอย่างมาก ดังนั้น โบรกเกอร์ต่างๆก็พยายามทำให้ตัวเองมีข้อดี มีจุดเด่นเยอะๆ เพื่อที่จะดึงดูดลูกค้า และถ้ามีข้อเสียมากเท่าไหร่ลูกค้าก็จะยิ่งมีน้อยลงไปเท่านั้น เพราะเดี๋ยวนี้การสมัครโบรกเกอร์ ตลอดจนกระทั่งการยืนยันตัวตนนับเป็นเรื่องง่ายๆแล้ว ลูกค้าเมื่อเห็นว่าโบรกไหนไม่เวิร์คก็สามารถเปลี่ยนใจไปใช้อีกโบรกได้โดยใช้เวลาไม่นาน เป็นสาเหตุให้โบรเกอร์ส่วนใหญ่จะไม่โกงหรือเอาเปรียบลูกค้าแบบโต้งๆหรอกครับ เน้น !.. แค่ส่วนใหญ่เท่านั้นเองนะครับ ถ้าคุณโชคร้ายไปเจอส่วนน้อย ก็รีบเปลี่ยนซะครับ….^_^

64
กลับมาพบกันอีกครั้งกับ forex วันนี้เราจะมาพูดเรื่อง แมงเม่า คืออะไร ใช้อย่างไร

Mao on TV ตอน วิถีแห่งเม่า :
https://www.youtube.com/watch?v=l1Vwih7JkHw

ประเด็นสำคัญ
ที่นักลงทุนทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่า ต้องเข้าใจและควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ เพื่อไม่ให้ตัวเองตกเป็นแมงเม่าจึงมีได้ประมาณนี้
FOREX มันเร็ว และแรง ซึ่งบางคนก็ว่าดี บางคนก็ว่าเป็นจุดเสี่ยงอย่างมาก ส่วนตัวผมคิดว่ามันเป็นข้อดีด้วยซ้ำไป เพราะตลาดแห่งนี้มีมูลค่าใหญ่กว่าตลาดอื่นๆ เพราะฉะนั้น มันจึงเร็ว…ซึ่งดีที่ไม่ต้องรอนาน แต่นั่นหมายความว่าข้อมูลเราต้องปึ๊ก การตัดสินใจต้องมีเหตุผลเหนือความรู้สึก แนวทางการเทรดต้องยอดเยี่ยมครับ แน่นอนมันยาก แต่มันก็คุ้มค่านะครับ
ตลาดนี้ ก็ใช้วิธีวิเคราะห์เหมือนตลาดหุ้นทั่วไป…มันวิ่งตามกลไกตลาด ทั้งข่าว ทั้งความหวั่นไหว ทั้งพื้นฐานการส่งออก-การนำเข้าก็เหมือนๆกัน แต่อาจจะร้อนแรงกว่า ข้อดีของ FOREX คือข้อมูลเชิงสถิติ DEMAND-SUPPLY ที่สะท้อนในตลาด เป็นข้อมูลที่ใหญ่กว่า ซึ่งก็จะยิ่งวิเคราะห์ได้ง่ายกว่าตลาดหุ้นทั่วไป ดังนั้นสติคุณต้องดี นักเทรดเก่งๆเขาถึงไม่เทรดคนเดียวไงครับ เขาจะเทรดกันเป็นทีมครับ
ขาดความรู้ เช่น Leverage คืออะไร? ควรใช้ Indicators ไหน อย่างไร? Bonus ของ Broker ต่างๆก็ไม่สนใจ ไม่สนใจเครื่องมือเทรด ไม่ตั้ง stop loss เป็นต้น
แมงเม่า คืออะไร (5)

อย่าใช้การตัดสินใจจากความเป็นมนุษย์ล้วนๆ ซึ่งจุดนี้คือ การพยายามทำนายราคาโดยใช้ความรู้สึก ซึ่งไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะตัดสินใจถูกทุกครั้งหรอกครับ ณ.จุดนี้ผมไม่ได้บอกว่าให้ใช้ program ในการเทรด แต่ผมแค่จะบอกว่าคนที่เค้าเทรดแล้วได้กำไรนะเค้าไม่ได้คิดจะทำนายราคาครับ เค้าคิดหาวิธีที่จะรับมือกับการทำนายที่ไม่ถูกต้อง 100% ต่างหาก
สรุปคือ แมงเม่า เหล่านั้น เป็นนักพนัน ที่ไม่คิดจะหาความรู้ก่อนลงทุนครับ อย่างนี้มีเท่าไรก็หมด เมื่อใดก็ตามเมื่อเรารู้ทันตัวเองว่าเข้าใกล้นักพนันกว่านักลงทุนให้รีบหยุดทันทีครับผม

แมงเม่า คำๆนี้ถือเป็นคำที่หลายๆคนที่เล่นหุ้นอยู่ต่างมีความคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะว่า เป็นคำที่ใช้เรียกชื่อบุคคลที่เทรดหุ้นที่เป็นรายย่อยที….T T เพื่อให้มีความเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น ผมจะขออนุญาตในการอธิบายให้คุณนั้นได้รับทราบ ไปพร้อมๆกันนะครับกับคำว่า “แมงเม่า” กับการเทรด forex
แมงเม่าคืออะไร
 อันดับแรก มาทำความรู้จักกับคำว่า แมงเม่า เสียก่อน คำว่า แมงเม่านี้ ในวงการเทรด forex ก็คือ ผู้ลงทุนเทรดรายย่อย มีลักษณะการเทรดคือเป็นแบบรายบุคคล มีเงินทุนที่ตนเองเป็นผู้หามา รวมทั้งเทรดโดยใช้กลยุทธ์ที่เกิดจากการตัดสินใจคนเดียว บ้างก็หมายถึงคนที่ เทรด โดยที่ไม่มีกลยุทธ์อะไรเลย ใครว่าอย่างไรก็เทรดตามนั้น


วิธีการเป็นแมงเม่าที่สมบูรณ์แบบ
 ขั้นตอนในการเป็นแมงเม่าในตลาด forex นั้นง่ายมากๆครับ ถ้าคุณดำเนินการตามนี้แล้ว แม้เพียงข้อใดข้อหนึ่งก็ถือว่าตนเองนั้นกลายเป็นแมงเม่าได้อย่างสมบูรณ์
1.เทรดด้วยตัวคนเดียว
        จริงๆแล้วผมเชื่อว่าส่วนใหญ่ที่อ่านบทความนี้อยู่ ก็มีลักษณะที่ไม่แตกต่างจากผมเสียเท่าไหร่ นั่นคือเทรด forex ด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นจึงจัดอยู่ในความเป็นแมงเม่าด้วยกันทั้งสิ้น
2.เทรดโดยขาดเครื่องมือ
        หมายถึงเวลาคุณเทรด forex คุณจะนึกถึง ดินฟ้าอากาศ หรืออาจดูดวงจากหมอไพศาล เทรดโดยการโยนหัวก้อย ทำนายว่ามันจะขึ้นหรือมันจะลง แบบนี้เรียกว่า เทรดโดยขาดเครื่องมือ อย่างนี้ล่ะเรียกว่าเป็นแมงเม่าแบบเต็มตัว เต็มใจกันเลยครับ
3.เทรดโดยขาดความรู้ทุกส่วน
        หากคุณนั้นเลือกเทรดโดยขาดความรู้จากทุกส่วน ทั้งการใช้กลยุทธ์ การบริหารจัดการการเงินและการลงทุน อย่างนี้ผมบอกเลยว่า คุณคือแมงเม่าโดยสมบูรณ์ในตลาดแห่งนี้


ข้อเสียของการเป็นแมงเม่า
 จริงๆแล้วมีคนยุให้ผมนั้นเขียนข้อดีของการเป็นแมงเม่าเสียหน่อย แต่ผมคิดว่า อย่าไปหลอกลวงกันเลยครับ มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ถ้าคุณจะกลายเป็นแมงเม่าในตลาดสุดโหดอย่าง forex ดังนั้นผมจึงบอกข้อเสียของการเป็น แมงเม่าดีกว่า เพื่อที่ว่าคุณจะได้ระวังตัวและไม่ทำตัวเป็นแมงเม่าแบบนี้
1.ไม่มีหลักการทำกำไรเป็นของตนเอง
คนที่เทรด forex โดยขาดหลักการทำกำไรด้วยตนเอง ดูแต่กราฟของคนอื่น หรือทำแต่สิ่งที่เรียกว่า copy trading แบบนี้คงไม่เวิร์คอย่างแน่นอน เพราะว่า มีความเสี่ยงสูงและเป็นอันตรายมาก เพราะคุณจะไม่สามารถทำเงินได้เลยในระยะยาว
2.สุดท้ายคือเสียหมด
        ผมกล่าวอย่างนี้จริงๆ และผมบอกเลยว่าคุณก็จะเป็นอย่างนี้แน่นอน ถ้าคุณไม่ต้องการหมดกำลังใจในการเทรดแล้ว อย่าทำแบบนี้โดยเด็ดขาดหลุดออกจากการเป็นแมงเม่า และสยายปีกของคุณให้กลายเป็นผีเสื้อทันที!
ข้างล่างนี้เป็นวัฏจักรแมงเม่าที่คุณควรทำความเข้าใจอย่างมาก การเล่นหุ้น หรือ การ Trad  Forex สำคัญที่การควบคุมตัวเองให้ได้ มีข้อมูล ความรู้รอบด้าน ความรู้ด้านการลงทุนต้องแน่น อย่าเอาการเทรดไปปะปนกับการพนันครับ


หากยังไม่ชัดเจนลองดูมัลติมีเดียนี้ครับ คงเห็นภาพชัดเจนขึ้น

แมงเม่าฉบับสมบูรณ์

อยากเป็นแมงเม่ากันไหมกองไฟรอให้คุณเข้ามาท้าทายความร้อนในตลาด Forex กันอยู่ แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่าเป็นแมงเม่าเต็มตัวแล้ว เรามาดูกันเลย  นิสัยของแมงเม่าจะชอบการเทรดแบบตัวคนเดียว บินเดี่ยวไม่พึ่งใคร มั่นใจแบบสุด ๆ ไปเลย แต่สำหรับบางคนที่ถนัดเทรดคนเดียวก็ยินดีต้อนรับเข้าสู่แมงเม่าคลับด้วยกันเลย  นอกจากนั้นแล้วเเมงเม่าอย่างไรเครื่องมือไม่ต้อง อาศัยอารมณฺ และการตัดสินใจส่วนตัวและดวงเข้ามาช่วยล้วน ๆ เป็นแมงเม่าฉบับสมบูรณ์กันเลยทีเดียว คือ มั่นมากอ่ะ ยัง ๆ ยังไม่หมด แมงเม่าบางตนก็ยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับ Forex เลยสักด้านก็ลงมาเทรดแล้ว เจ๋งมั้ยล่ะ ? กลยุทธ์หรือ ไม่มี การบริหารเงินลงทุนก็ไม่คิด เหมือนเงินเหลือเยอะมากที่จะเอามาเทรดหว่านเล่นในตลาด ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็เสีย แมงเม่าของแท้ต้องแบบนี้แหละ

โดนเผาเกลี้ยงเพราะเป็นแมงเม่า

ก็บอกแล้วว่าไฟมันร้อนแล้วยังจะเล่นกับไฟ บินเข้าไปตัวเปล่ามันก็เจ๊งซี หากคุณได้กำไรเพราะเป็นแมงเม่าบนตลาด Forex มันก็น่ายินดีด้วย แต่ในหลักความเป็นจริงแล้วมันไม่ค่อยจะโอเคนะ เพราะความเสี่ยงสูงมากที่เราจะเสียไปเปล่า ๆ แบบไม่มีหลักการไม่มีกลยุทธ์อะไรเลย ถ้าเป็นไปได้ให้เลิกเป็นแมงเม่าดีกว่านะ เพราะข้อเสียมันก็มีค่อนข้างเยอะเลย แน่นอนว่าทำให้เป็นเทรดเดอร์ที่ไม่มีหลักการอะไรเลยในการเทรด Forex จะมาหวังดวงอย่างเดียวคงใช้ไม่ได้ หรือจะเทรดตามคนอื่นอย่างเดียวมันก็ไม่ดีมั้ง เพราะเราเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะได้หรือเสีย ยิ่งหวังการทำเงินระยะยาวละก็เลิกคิดไปเลยหากยังบินเป็นแมงเม่ากันอยู่

อันตรายมากถ้าหากเป็นแมงเม่า เห็นหมดตัวโดนเผาเกลี้ยงมาแล้วหลายราย กล้าการันตีได้เลยว่าหากยังเทรด Forex แบบเเมงเม่าแบบนี้ไม่นานก็หมดแน่นอน คุณจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการเทรดของตัวเองเสียใหม่ให้มีหลักการมากขึ้น ใช้เครื่องมือเข้ามาช่วยจะดีกว่า หัดมองหากลยุทธ์ในการเทรดของตัวเอง เรียนรู้และทำความเข้าใจหลักการเทรดในทุกด้าน บริหารเงินให้เป็นเพราะไม่งั้นไม่มีเงินจะกินข้าวได้เลยทีเดียว เมื่อไหร่ที่เลิกเป็นแมงเม่าแล้วก็จะดีกว่าเดิมในการเทรด กำไรดีกว่าเดิม กลายร่างเป็นนกเหยี่ยวเฉี่ยวโฉบได้เเล้ว

เคยได้ยินกันใช่ไหมคำว่า “แมงเม่า” ในวงการของการเทรด Forex และการเล่นหุ้นต่าง ๆ มันล้วนมีความหมายในเชิงบวกอย่างแน่นอน แล้วแมงเม่าในการเทรดหรือการเล่นหุ้นนี้คืออะไรกันนะ มีหลายคนยังคงไม่แน่ใจในบริบทความหมายของคำว่า “แมงเม่า” มันเป็นชื่อที่ดีหรือเปล่า หรือเป็นชื่อเรียกที่ไม่น่าอยากโดนกันเสียเลย เอาล่ะวันนี้เรามาทำควาวมเข้าใจกับคำว่าแมงเม่าพร้อมกันเลย

แมงเม่า หมายถึงอะไร

แมงเม่า = เทรดเดอร์ นักลงทุนรายย่อย แน่นอนว่าในการเทรดนั้นเป็นเงินของตัวเองล้วน ๆ เลย เป็นแบบรายบุคคล เป็นการเทรดที่ไม่ต้องใช้กลยุทธและแนวคิดของหลายคน ไม่ได้ทำกันเป็นกลุ่ม ทำคนเดียว เทรดคนเดียว ตัดสินใจคนเดียวเลย บางครั้งแมงเม่าเองก็ยังรวมถึงการเทรดที่ไม่ติดมีหลักการอะไรด้วยซ้ำไปเพียงแค่เทรดไปตามอารมณ์และการชี้นำของคนแนะเท่านั้นเอง แมงเม่าก็ประมานนี้

65
มาพบกันคำศัพท์ในวงการ Forex กันครับ วันนี้ขอเสนอคำว่าforex แนวรับ แนวต้าน คืออะไร ใช้อย่างไร

ประโยชน์ของ การรู้เรื่องเส้น แนวรับ แนวต้าน

1.สามารถใช้หาจุดในการเปิดสัญญา Buy หรือ สัญญา Sell ได้อย่างง่ายๆ เพียงแค่ดูว่าราคาเข้าใกล้สู่เส้นแนวรับแนวต้านมากน้อยเพียงใดเป็นต้น  แต่ว่าคุณอาจต้องใช้คู่กับอินดี้ตัวอื่นๆด้วยนะครับ ไม่ใช่ใช้แค่ตัวเดียวแล้วจบเลย

2.ช่วยให้มองเห็นกรอบราคาของการวิ่งได้ ข้อดีประการต่อมาคือช่วยให้เรามองเห็นกรอบราคาของการวิ่งไปได้อย่างชัดเจน ตรงนี้เรามักจะลากทั้งเส้นแนวรับและเส้นแนวต้านควบคู่กันไปพร้อมๆกันนั่นเองครับ

การหาอินดี้มาช่วยในการหาเส้นแนวรับและแนวต้าน

1.คุณสามารถใช้ Fibonacci ในการหาเส้นแนวรับแนวต้านได้ด้วยเช่นเดียวกัน และสามารถทำนายกรอบแนวรับ แนวต้านได้ค่อนข้างแม่นยำมากๆเสียด้วย

2.คุณสามารถใช้การลากเส้นเทรนไลน์ โดยการกำหนดยอด สูงสุดของราคา 3 จุดแล้วลากเส้น หรือ ยอดต่ำสุดของราคา 3 จุดแล้วลากเส้น เพื่อหาแนวรับแนวต้านก็สามารถทำได้

3.ใช้เส้น MA ข้อนี้ง่ายที่สุดครับ คือการใช้เส้น SMA ในการหาแนวรับและแนวต้าน ซึ่งไม่น่าเชื่อว่ามืออีพมากมายบางทีก็ใช้แค่เส้น MA นี่ละครับ

ตลอดการเทรด forex ของคุณ คุณไม่มีทางที่จะหนีได้เลยกับคำว่าแนวรับ และแนวต้าน ดังนั้น จงเตรียมพร้อมที่จะรับกับคำดังกล่าว และพร้อมที่จะศึกษาเรื่องของการใช้เครื่องมือหรือกลยุทธ์ใดๆ เพื่อการเขียนเส้นแนวรับและแนวต้านออกมาให้ได้นะครับ แล้วมันจะช่วยให้คุณเทรด forex ง่ายขึ้นเป็นกอง

แนวรับ แนวต้าน คืออะไร

มีคนจำนวนมากที่ได้ยินคำว่า แนวรับ แนวต้าน โดยเฉพาะเมื่อตนเองเปิดไปที่รายงานเรื่องหุ้นต่างๆ จะเข้าใจว่าค่าทั้งสองค่านี้ ต่างมีผลอย่างมากต่อการวางแผนหรือการใช้กลยุทธ์ในการเทรดหุ้น หรือการเทรด forex ดังนั้นเพื่อให้คุณมีความเข้าใจที่มากขึ้นเกี่ยวกับ 2 คำนี้ บทความนี้เราจะมาศึกษาถึงคำศัพท์สองคำนี้กันครับ

แนวรับ คืออะไร

เส้นแนวรับ คือเส้นที่ถูกลากขึ้นมาเนื่องจากราคาหุ้นนั้นไม่ผ่านจุดของราคานี้ลงไปเลย เช่น แนวรับที่ 2.34535 แปลว่าไม่อย่างไรราคาก็จะไม่ลงต่ำกว่า2.34535 ทำให้เราพอทำนายได้ว่าเมื่อถึงจุดที่ราคาวิ่งไปใกล้กับเส้น 2.34535 ราคาก็จะเด้งกลับ ทำให้เราสามารถเปิด Buy ได้อย่างปลอดภัย

แนวต้าน คืออะไร

แนวต้านนั้น จะมีความหมายที่ตรงกันข้ามกับแนวรับครับ จะเป็นจุดที่ราคาไปสูงสุด และไม่เคยไปเกินกว่านี้ ซึ่งการลากเส้นแนวต้านนั้นก็ใช้หลักเทรนไลน์ยอดสูงสุด 3 ยอดมาเป็นตัววัด เช่นราคาไม่เคยเกิน 2.34535 แปลว่าถ้าราคาขึ้นมาสูงใกล้เส้น 2.34535 คุณก็สามารถที่จะเปิดราคา Sell ตามลงไปได้นั่นเอง

แนวรับ-แนวต้าน(Support and Resistance)
สวัสดีครับ เพื่อนสมาชิก ทุกคนครับ วันนี้เรามาทำความรู้จักกับ แนวรับ-แนวต้านกันครับ


แนวรับ(Support)คือ จุดที่เป็นจุดกลับตัวของกราฟ แล้วราคาได้ลงมาทดสอบอีกครั้ง เราจะใช้จุดนั้นเป็นแนวรับ ถ้าราคาลงมาทดสอบจุดนั้นแล้วไม่สามารถผ่านลงไปได้ แนวรับนั้นจะกลายเป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง (Strong Support) โดยราคาจะลงมาทดสอบอย่างน้อย 2 ครั้ง (Double Bottom) หรือ 3 ครั้ง (Triple Bottom)  ถ้าราคาไม่สามารถผ่านแนวรับเหล่านี้ได้ มันก็จะกลับตัวขึ้นไปอีกครั้ง
แนวรับมีอยู่ 2 แบบ คือ 1.แนวรับหลัก( Major Support ) 2. แนวรับรอง (Minor Support)
แนวรับหลัก(Major Support)จะเป็นจุดกลับตัวของกราฟ จากแนวโน้มขาลงกลายเป็นขาขึ้น ส่วนแนวรับรอง(Minor Support) จะเป็นจุดสูงสุดหรือ ต่ำสุดของกราฟ ที่เกิดการสวิงของราคา

ภาพตัวอย่างแนวรับ



แนวต้าน (Resistance) คือ จุดที่เป็นจุดกลับตัวของกราฟแล้วราคากลับขึ้นไปทดสอบอีกครั้ง ถ้าราคาทดสอบจุดที่เป็นแนวต้านแล้วไม่ผ่านสามารถผ่านได้ จุดนั้นจะกลายเป็น แนวต้านที่แข็งแกร็ง (Strong Resistance) โดยที่ราคาจะไปทดสอบ 2 ครั้ง( Double Top ) หรือ 3 ครั้ง(Triple Top )

66
วันนี้สุดหล่อจะมาแนะนำ forex แนวคิด 3 M คืออะไร ใช้อย่างไร



M1 – Method (วิธีการเทรด)

ทุกคนต้องมีวิธีการเทรดเป็นของตัวเอง โดยวิธีการเทรดใน Forex นั้นมีค่อนข้างหลากหลายทั้ง Trend following , Mean reversion , Scalping , Breakout และอีกมากมาย ซึ่งไม่ซีเรียสว่าเราจะนำอันนั้นมาใช้ เพราะทุกวิธีการนั้นมีข้อดีที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่ว่าเทรดเดอร์ถูกจริตกับวิธีการไหนมากกว่าแค่นั้น แต่อย่างไรก็ดี วิธีการในโลกการเทรดนั้นมีทั้ง “ถูกต้อง” และ “ไม่ถูกต้อง” ซึ่งตรงนี้เทรดเดอร์ต้องระมัดระวังอย่างมากๆ อย่าไปใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้อง … ในวงการนี้เต็มไปด้วยของจริงและของปลอมปะปนกัน ยังมีพวกกูรูปลอมๆ มากมายที่ชอบมาโม้ว่ามีเครื่องมือเทพ สามารถทำให้รวยได้ไวๆ ซึ่งเราอย่าใช้ความโลภไปตกเป็นเหยื่อพวกนี้นะครับ … คำถามคือเราจะแยกแยะได้อย่างไรก็วิธีการไหนถูกต้อง วิธีการไหนไม่ถูกต้อง ซึ่งอยากจะแนะนำง่ายๆคือ ถ้าวิธีการไหนมันซับซ้อนเกินไป มันดูครุมเครือ ให้เปลี่ยนไปหาวิธีการใหม่ดีกว่า อย่าไปฝืนใช้มัน

 

M2 – Money management (การจัดการความเสี่ยง)

จากประสบการณ์ในการเทรดตลอด 5 ปีที่ผ่านมาต้องบอกว่าเสาหลักต้นนี้นั้น โคตรรรรรรรสำคัญ! เทรดเดอร์มือใหม่หลายท่านละเลิกเสาต้นนี้ ซึ่งอย่าลืมนะครับว่าการเทรดนั้นต้องอาศัย เงินทุน ถึงการเทรดได้ ถ้าเงินทุนเราหมด อาชีพการเทรดเราก็จบ เหมือนกับนักฟุตบอลที่ไม่มีลูกบอลมาเตะ ดังนั้นสิ่งสำคัญของเทรดเดอร์คือ รักษาเงินลงทุนให้ได้ การรักษาเงินลงทุนนั้นก็มีจากการจัดการความเสี่ยงที่ดี สามารถประคองพอร์ตเราให้เติบโตได้อย่างเหมาะสม

 

M3 – Mindset (จิตวิทยา)

การที่เราจะประคองการเทรดให้อยู่ในมาตรฐานปกติของเราอยู่สม่ำเสมอนั้นต้องอาศัย Mindset ของจิตวิทยาที่ดี เพราะในตลาดนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์มากมายทั้ง โลภ กลัว กังวล เครียด ต่างๆ นี้ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เทรดเดอร์นำอารมณ์เข้ามาเทรด มันจะนำไปสู่หายนะของเทรดเดอร์ทุกคน ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีในหมู่เทรดเดอร์มืออาชีพ ดังนั้นอาชีพเทรดเดอร์ต้องอาศัย Mindset ที่เหมาะสม เข้าใจกลยุทธ์ที่เราใช้ เข้าใจด้านมืดของตลาด ซึ่งจะสามารถอยู่รอดในตลาดแห่งนี้ได้

แนวคิด 3 M คืออะไร
 

ถือว่าเป็นหลักการพื้นฐานในการเทรดเลยก็ว่าได้ที่ว่า จะประสบความสำเร็จในการเทรดได้นั้นต้องประกอบด้วย 3M คือ

 

M1 – Method (วิธีการเทรด)

M2 – Money management (การจัดการความเสี่ยง)

M3 – Mindset (จิตวิทยา)

 

ซึ่งเสา 3 ต้นนี้ถือเป็นเสาหลักที่คอยค้ำจุนพาให้เทรดเดอร์ไปสู่เป้าหมาย หากขาดเสาต้นใดต้นหนึ่งไป การเทรดก็จะพัง ไม่สามารถไปต่อได้ โดยในที่นี้จะมาพูดถึงความสำคัญของเสาแต่ละต้น และทำไมเทรดเดอร์นั้นขาดเสาเหล่านี้ไม่ได้เลย


เพื่อเป้าหมายความสำเร็จในการเล่นหุ้น และการลงทุน นักลงทุนทุกท่านควรให้ความสำคัญกับสิ่งสำคัญ3 ประการ โดยเราจะเรียก 3สิ่งนี้ว่า (3M) โดยเจ้า 3M นี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้การลงทุนของเรามีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และเจ้า 3M ที่ว่านี้ประกอบไปด้วย


1. Mind
คือเรื่องของจิตใจ และจิตวิทยา สาเหตุที่ Mind เป็น M ตัวแรกก็เพราะ ในการลงทุนเรื่องของจิตใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยเราต้องฝึกที่จะควบคุมจิตใจของตัวเองให้มีระเบียบวินัยภายใต้สภาวะตลาดที่คอยกดดันให้เราเกิดความโลภ และความกลัว โดยเราต้องฝึกควบคุมสิ่งเหล่านี้ และเราต้องฝึกการอ่านจิตวิทยามวลชนเพื่อพัฒนากลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์


2. Method
คือกระบวนการในการวิเคราะห์ (analysis process)สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น ตลาดทุน และตลาดการเงิน เรามักใช้วิธีวิเคราะห์อยู่ 2 วิธีใหญ่ๆ คือ

การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (fundamental analysis) วิธีการนี้ถ้าเป็นในตลาดหุ้นเราจะเน้นวิเคราะห์ไปที่สภาพของบริษัท เพื่อดูว่าบริษัทประกอบธุรกิจเป็นอย่างไง มีความสามารถให้การแข่งขันหรือไม่ มีโอกาสในการเติบโตหรือเปล่า เพื่อนำมาประเมินหามูลค่าที่แท้จริงและวิเคราะห์หามูลค่าที่ควรเป็นในอนาคต
การวิเคราะห์ปัจจัยเทคนิค (technical analysis) วิธีการนี้เป็นการวิเคราะห์เพื่อหาโอกาสและจังหวะในการเข้าซื้อ และขายออก โดยอาศัยกราฟราคา และเครื่องมือคณิตศาสตร์สถิติ (Indicator) เข้ามาช่วยในการตัดสินใจ
 

3. Money Management
คือการจัดการทางการเงิน  โดยการจัดการในด้านนี้เราควรวางแผนจัดการตั้งแต่เรื่องที่มาของเงินทุน การวางแผนควบคุมความเสี่ยง การประเมินความคุ้มค่าของการลงทุน (Risk:Reward) และขอให้เลิกเชื่อคำพูดที่ว่า “High Risk = High Return and Low Risk = Low Return” ได้เลย เพราะ อีกด้านหนึ่งของ High Risk = High Return ก็คือหากเราผิดพลาดเราอาจถึงขั้นเจ๊งจนต้องเสียเงินทั้งหมดไป ดังนั้นการควบคุมความเสี่ยงจึงเป็นเรื่องสำคัญที่นักลงทุนทุกคนควรคำนึงไว้เสมอ และขอให้จำไว้ว่า เราไม่จำเป็นต้องเสี่ยงเกินไปโดยไม่จำเป็น เพราะตลาดแห่งนี้มีโอกาสผ่านมาเสมอ

67
วันนี้ทีม Forex สุดหล่อจะมาแนะนำ forex เทรนสั้น เทรนยาว ตามเทรน สวนเทรน คืออะไร ใช้อย่างไร

ตามเทรนคืออะไร

ตามเทรน หมายถึงการเลือกเปิดคำสั่งซื้อหรือขาย ตามเทรนที่กำหนด เช่น กราฟบ่งบอกว่าเป็นเทรนขาขึ้น อย่างนี้ ตลอดการเทรด forex ของเรา จะเปิดสัญญาณซื้อ (Buy) แต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่เปิดคำสั่งขาย (Sell) โดยเด็ดขาด ซึ่งดูรูหลายท่านนั้น ต่างให้คำแนะนำว่า หากคุณเพิ่งเริ่มต้นเทรด forex สิ่งสำคัญที่สุดคือ จงเริ่มจากการเทรดแบบตามเทรน จะปลอดภัยที่สุด

สวนเทรนคืออะไร

สวนเทรน หมายถึงการเลือกเปิดคำสั่งซื้อหรือขาย ที่ตามข้ามกับเส้นเทรนไลน์ เช่น เทรนไลน์บอกว่าเป็นสัญญาณขาลง แต่เราเลือกเปิดคำสั่งซื้อ(Buy) แบบนี้เป็นต้น ข้อดีของการเทรด forex แบบสวนเทรนคือ เราสามารถทำกำไรได้อย่างรวดเร็วมาก ภายในยะยะเวลาสั้นๆ แต่ความเสี่ยงต่อการขาดทุน ก็มีสูงมากเช่นเดียวกัน ตัวชี้วัดที่นิยมนำมาใช้กับการเทรดแบบสวนเทรน เช่น Bollinger Band เป็นต้น

เคล็ดลับการใช้ Bollinger Band เพื่อการเทรดแบบสวนเทรน

สำหรับใครที่ชื่นชอบการเทรดแบบสวนเทรน คงต้องเลือกเครื่องมือที่เรียกว่า Bollinger Band มาประกอบกับการเทรดแล้ว สำหรับแนวทาง หรือเคล็ดลับง่ายๆในการเทรดคือ

        1.รอสัญญาณกราฟแท่งเทียนทะลุ Upper Band หรือ Lower Band ประมาณ 90% ของตัวแท่ง

        2.เมื่อกราฟย่อตัวลงมาหนึ่งครั้งให้เปิดคำสั่ง Buy หรือ Sell ทันที

        3.คุณอาจเลือก RSI เอามาดูประกอบว่าแท่งเทียนนั้น ขึ้นเข้าใกล้จุดที่จะย่อตัวแล้วหรือยังได้ด้วย

เทรนสั้น เทรนยาว, ตามเทรน สวนเทรน คืออะไร

หนึ่งเครื่องมือที่ผู้เทรด forex แบบมืออาชีพจะต้องทำความรู้จัก และไม่สามารถปฏิเสธได้ คือ เทรน (Trend) ซึ่งมีส่วนช่วยอย่างมากต่อการตัดสินใจเปิดคำสั่งซื้อหรือขาย อีกทั้งยังช่วยในส่วนของการเลือกตัวชี้วัด (Indicator) รวมตลอดถึงการกำหนดกลยุทธ์ในการทำกำไรในตลาด forex อีกด้วย

เทรนสั้นคืออะไร

สำหรับเทรนสั้นนั้น มีการกำหนดคำนิยามว่า  (movement in the price of an asset over a period of a few hours or days.) ซึ่งหากแปลออกมาแล้วก็จะหมายถึง การกำหนดช่วงของราคาในรายชั่วโมง หรือรายวัน ซึ่งหมายถึงการดูทิศทางของกราฟแบบรายวัน หรือน้อยกว่านั่นเอง ปกตินิยมนำมาใช้การเทรด forex แบบ Day trade

เทรนยาวคืออะไร

ในส่วนของเทรนยาว คือ การกำหนดทิศทางของกราฟ โดยใช้ระยะเวลาของแท่งเทียนที่ยาวนานกว่า 1 วัน เช่นอาจเป็น รายสัปดาห์ รายเดือน หรือว่าตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มต้นเทรน เป็นต้น ซึ่งเทรนยาวนั้นมีการนำมาประยุกต์ใช้ ทั้งการเทรดแบบระยะยาว หรือมาช่วยกำหนดรูปแบบการเทรดระยะสั้นอีกด้วย

การเทรดสวนเทรน

เอาแบบง่าย ๆ ก็คือ เทรนบอกอะไรเราก็ทำตรงกันข้าม ดูออกจะหัวดื้อไปสักหน่อย เราจะสวนเทรดโดยการเปิดคำสั่งซื้อ – ขาย ข้ามเส้นเทรนไลน์ ตัวอย่างหากเทรนบอกว่าสัญญาณมันกำลังลง แต่แทนที่เราจะเปิดขาย ก็กลับเปิดเป็นซื้อแทน มันอาจจะเป็นข้อดีนะในบางครั้งสำหรับการสวนเทรนเพราะว่ากำไรจะมารวดเร็วมากแต่ก็เพียงระยะสั้นเท่านั้น แต่ว่าเสี่ยงมากที่จะขาดทุน และตัวชี้วัดที่นิยมใช้คู่กับสูตรนี้จะเป็น Bollinger Band

การเทรดเทรนสั้น

การเทรดแบบนี้จะมีนิยามอยู่ว่า (movement in the price of an asset over a period of a few hours or days.) เป็นการเทรดเทรนสั้น เป็นการกำหนดช่วงราคาแบบรายชั่วโมงไปเลย หรือแบบรายวันก็ยังเรียกว่าเทรดเทรนสั้นอยู่ ซึ่งเทรดเดอร์จะดูทิศทางของกราฟ รายชั่วโมง รายวัน ก็ว่ากันไปตามความถนัดของแต่ละคนเลย ซึ่งจะนิยมใช้การเทรด forex แบบ Day tradeนั่นเอง



การเทรดเทรนยาว

การเทรดแบบนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการกำหนดช่วงราคา การดูทิศทางกราฟแต่ว่าดูในระยะยาวไปเลย อย่างน้อย ๆ ก็ต้องมากกว่า 1 วัน ในการเทรดเทรนยาวอาจจะเป็น 1 อาทิตย์ 1 เดือน หรือว่าจะดูตลอดเวลาตั้งแต่เเรกเลยก็ได้เช่นกัน การเทรดแบบเทรนยาวนี้จะใช้ในการเทรดแบบระยะยาวหรือนำมาช่วยดูในการเทรดแบบระยะสั้นก็ได้เช่นกัน

Trend = เครื่องการเทรดอย่างหนึ่งที่เทรดเดอร์จะต้อองใช้ เพราะเข้ามาเสริมในการช่วนตัดสินใจซื้อ – ขาย บางคนก็ตามเทรน บางคนก็สวนเทรน ส่วนจะเทรนสั้น เทรนยาวอย่างไรก็แล้วแต่กรณีไป Trend ยังเป็นตัวช่วยในด้านของการชี้วัด(Indicator) อีกด้วย และเทรนยังทำให้เกิดมีกลยุทธ์การเทรดใหม่ ๆ ขึ้นมาในตลาด Forex อีกด้วย หากคุณจะเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพ คุณจะต้องรู้จักและเข้าใจเทรนด้วยเหมือนกัน เรามาทำความเข้าใจกันทีละแบบกันเลย

การเทรดตามเทรน

การเทรดแบบตามเทรนนั้นจะเป็นการเปิดคำสั่ง ซื้อ – ขาย ตามที่เทรดได้มีการกำหนดเอาไว้แล้ว หากว่าเทรนบอกว่ากำลังขึ้นนะ ตลาด Forex ก็จะเปิดสัญญาซื้อเท่านั้น โดยจะไม่มีการขายเลย หากเป็นเทรดเดอร์มือใหม่อยู่เทรนที่น่าทำก็คือ การตามเทรนนี่แหละเพราะค่อนข้างจะปลอดภัยมากกว่าแบบอื่น ๆ แล้ว แต่ว่าก็ควรทำความเข้าใจให้ดีทุกแบบด้วยเหมือนกัน เพราะการตามเทรนโอกาสเสี่ยงน้อยก็จริงแต่มันก็เสี่ยงเหมือนกัน

68
บทต่อมาเรามาลองดูเรื่อง forex เทรดบนภาพรายวัน คืออะไร ใช้

เทรดเดอร์มือใหม่มักจะพยายามลงไปเทรด Time frame เล็ก อย่าง 5 นาที หรือ 10 นาที คิดว่าการเทรดบ่อยๆจะสร้างกำไรให้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด … ยิ่งย่อย Time frame ลงไป กรอบการแกว่งตัวก็จะลดลง ช่วงให้เราเก็บกำไรก็จะน้อยลงตามเช่นกัน … อีกทั้งการเทรดภาพสั้นที่ต้องอาศัยทักษะการตัดสินใจที่รวดเร็ว และแม่นยำ มีเทรดเดอร์เพียงน้อยคนที่จะมีสกิลนี้ ซึ่งต้องเป็นระดับมืออาชีพเท่านั้นถึงจะลงไปเล่นในเกมส์นี้ได้ เทรดเดอร์ธรรมดาอย่างเราๆไม่จำเป็นต้องลงไปแข่งในเกมส์ที่โอกาสชนะน้อย ให้เล่นในเกมส์ที่โอกาสชนะเรามีมากดีกว่า แค่นั้น …. เพราะผลลัพธ์สุดท้ายแล้วมันคือ “กำไร” เหมือนกัน

เทรดบนภาพรายวัน คืออะไร
 
เชื่อไหมว่าเทรดเดอร์มืออาชีพหลายๆ คนเขาไม่ได้มานั่งเฝ้าจอทั้งวัน เขาเพียงแค่เชคกราฟวันละ 1-2 ครั้ง ส่วนมากก็เป็นช่วงเปิด และปิดของวัน แค่นั้น ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ก็สามารถเทรดได้กำไรอย่างต่อเนื่อง เพราะอะไรเขาเหล่านั้นถึงทำอย่างนี้ได้รู้ไหมครับ … ก็เพราะว่าเขาบน Time frame “Day” นั่นเองครับ

เป็น Time frame ที่เทรดง่าย และมีประสิทธิภาพ เพราะว่า

มีเวลาการวิเคราะห์เยอะ
ไม่มีถูกอารมณ์ดึงไปจากการแกว่งตัวระหว่างวัน
เป็นภาพที่สะท้อนพฤติกรรมของราคาที่ Make sense ที่สุด
โดยค่าธรรมเนียมน้อยกว่าการเทรดในภาพสั้น จำพวกราย 5 นาที หรือ 10 นาที
ใช้เวลาในการเฝ้าจอน้อย มีเวลาไปวางแผน สร้างกลยุทธ์เทรดต่างๆมากมาย
 

ซึ่งข้อดีต่างๆ เหล่านี้ล้วนทำให้เทรดเดอร์เทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังบริหารเวลาในการใช้ชีวิตได้ดีอีกด้วย อันนี้เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับอาชีพเทรดเดอร์ ตลาด Forex เปิด 24 ชั่วโมง เราไม่มีทางเฝ้าจอได้ตลอดได้ทั้งวันอยู่แล้ว ไม่จำเป็นเลยที่ต้องไปทำอย่างนั้น เสียทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต


69
เรื่องต่อไปที่ต้องการนำเสนอคือ forex เทรดทอง คืออะไร ใช้อย่างไร

ข้อดีของการเลือก เทรดทอง
โดยข้อดีของการเทรดทอง นั้นมีมากมาย ผู้เขียนขออนุญาตสรุปออกมาเป็นข้อๆที่น่าสนใจได้ดังต่อไปนี้คือ

1.คุณสามารถทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว

เนื่องจากการแกว่งตัวของราคาทองคำของโลกนั้น มีวาระที่ค่อนข้างจะสามารถทำนายได้อย่างแน่นอน เมื่อเป็นดังนี้ การเลือกที่จะเก็งกำไรจากส่วนต่างของราคาทองคำ จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้นั่นเอง และคุณสามารถทำได้อย่างแน่นอนด้วย

2.การใช้กราฟทางเทคนิคมีความคลาดเคลื่อนต่ำ

ข้อดีประการต่อมาคือ เมื่อคุณเทรดทองโดยการใช้กราฟทางเทคนิค สิ่งที่ตามมาคือค่าความคลาดเคลื่อนนั้นก็จะต่ำลง ทำให้คุณมีโอกาสในการเทรดได้ถูกทางในสัญญา CFD ได้มากกว่านั่นเอง



กลยุทธ์ที่สามารถนำมาใช้ในการเทรดทองได้
คุณอาจเลือกใช้เส้นไข่ปลาอย่าง parabolic ในการทำนายทิศทางการขึ้นหรือลงของกราฟ หรือคุณอาจเลือกใช้ Bollinger Band ในการมองหาช่วงแกว่งของราคาที่รุนแรงเพื่อทำการเทรดก็สามารถทำได้ครับ

โดยสรุปแล้ว การเลือกที่จะเทรดทอง ก็เหมือนกับการเทรด forex ในส่วนของราคาเงิน หรือว่าเป็นการเทรดในส่วนของหุ้นนั่นเอง แต่ว่ามีข้อดีประการสำคัญคือ คุณนั้นสามารถคำนวณหาจุดของการเทรดทอง หรือทำนายทิศทางของการแกว่งตัวของทองคำได้ง่ายกว่าสิ่งอื่นๆนั่นเองครับ อีกครั้งยังไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาจี้หรือมาปล้นเงินของคุณไปอย่างแน่นอน

เทรดทอง คืออะไร
ถ้าคุณเริ่มต้นไปทำการค้นข้อมูลผ่านทาง google ผมเชื่อว่าหนึ่งคำศัพท์ที่เราจะได้ยินบ่อยๆ นั่นคือเรื่องของคำว่า “เทรดทอง” นั่นเอง คำนี้มีความหมายที่แท้จริงว่าอย่างไร และมีความเกี่ยวข้องอะไรกับ forex รวมถึง คุณสามารถเริ่มต้นทำเงินจากการเทรดทองได้หรือไม่ ถ้าหากมีต้นทุนที่ต่ำ บทความนี้ออกแบบมาเพื่อคุณเลยครับ

เทรดทอง คืออะไร
มาดูความหมายอันดับแรกก่อนคือ คำว่า “เทรดทอง” นั้นมีความหมายว่าอย่างไร คำว่า เทรดทอง หมายถึงการซื้อขายราคาทองคำที่มีอยู่ในตลาด ก็คือการค้าทองนั่นเอง โดยใช้ราคาทองมาเป็นตัวพิจารณาในการซื้อขายซึ่งหากเราซื้อทองมาในราคาถูกและขายออกในราคาแพง เราก็จะได้กำไรจากการค้าทอง มีหลักการเทรดอยู่สองแบบคือ

1.เทรดโดยการซื้อถูกขายแพง ข้อนี้จะคล้ายๆกับเราเล่นหุ้น เช่นเราซื้อทองที่ 1 บาท ราคา 20,000 บาท และขายไปในวันถัดมาที่ราคา 1 บาท ราคา 21,000 บาท เราก็จะได้กำไรทันที 1,000 บาทอย่างนี้เป็นต้น

2.เทรดทองโดยการใช้สัญญาแบบ CFD หรือใช้การทำนายส่วนต่าง (นิยมใช้ในการเทรด forex) ถ้าเป็นการเทรดทองแบบนี้เพียงแค่คุณทำนายหรือคาดการณ์ราคาทองว่ามันจะขึ้นหรือลงภายในกรอบที่ต้องการเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วครับ ถ้าทำนายถูก คุณก็จะได้รับเงินจำนวนมากจากการทำสัญญาแบบ CFD

โบรกเกอร์ Forex เทรด ทอง(Gold)
  เทรดทอง ทอง( Gold) เงิน ( Silver) น้ำมันดิบ (Oil) กับโบรกเกอร์ที่ Spreads ต่ำที่สุด เพื่อผลตอบแทนสูงสุด
ต้องบอกไว้ก่อนว่า แทบทุกโบรกเกอร์ Forex สามารถเทรดทองได้ครับ แต่สำหรับท่านที่เทรดทอง(XAU/USD Gold) เงิน (XAG/USD Silver) น้ำมันดิบ (Oil) ข้อเสนอที่ดีที่สุดเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะบางคนเทรดสั้น วันๆ หนึ่งเทรดหลายๆ ออเดอร์คงต้องหาโบรกเกอร์ที่สเปรดต่ำๆ เพราะมันจะช่วยได้เยอะครับ

70
ดึกๆ แบบนี้เราว่าดูเรื่อง forex เทรดตามแนวโน้ม คืออะไร ใช้อย่างไร

แนวโน้มขึ้น



กราฟตัวอย่าง USDCAD ในช่วงแนวโน้มขาขึ้น ช่วงแรกในการขึ้น 350 pips และตามด้วยการย่อตัวลงมา 150 pips และขึ้นต่อที่ 600 pips และย่อตัวลงมา 250 pips และขึ้นรอบใหญ่ที่ 1450 pips … เห็นอย่างงี้เทรดเดอร์อยากจะ Short สวนไหมละครับ … ใครที่เล่นฝั่ง Long ก็จะได้เปรียบกว่าค่อนข้างเยอะ

 

แนวโน้มขาลง



จากกราฟตัวอย่าง USDJPY ในแนวโน้มขาขึ้น ขนาดในการลงโดยรวมแล้วมากกว่าขนาดการขึ้นค่อนข้างเยอะ ซึ่งแสดงให้ชัดว่าฝั่ง Short ได้เปรียบกว่าฝั่ง Long ค่อนข้างเยอะ … เทรดเดอร์ที่ดีก็ไม่ควรไปสวน Short ควรอยู่ฝั่งที่ได้เปรียบจะดีกว่า

ดังนั้นถ้าอยากได้เปรียบในการเทรดเราก็ควรจะอยู่ฝั่งเดียวกับแนวโน้ม ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เทรดตามแนวโน้ม คืออะไร
 

    Trend is your friend … คำพูดเดิมๆ ซ้ำๆ ที่เหล่าเทรดเดอร์มือเก๋าชอบพูดกัน ซึ่งที่เหล่าเทรดเดอร์หลายคนพูดถึงแต่สิ่งนี้ก็เพราะว่า การเทรดตามแนวโน้มนั้นจะทำให้เราเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถชนะตลาดได้อย่างยั่งยืน

“ข้อผิดพลาดของเทรดเดอร์หลายคนคือพยายามจะจับจังหวะเล็กๆการแกว่งตัวของราคา จนลืมดูภาพใหญ่ – Jack schwager”

ในแนวโน้มขาขึ้น: ขนาดการแกว่งตัวขึ้นของราคา มากกว่าขนาดการแกว่งตัวลง
ในแนวโน้มขาลง: ขนาดการแกว่งตัวลงของราคา มากกว่าขนาดการแกว่งตัวขึ้น

   Forex Grade 1 # Trend เทรนของกราฟ แนวโน้มกราฟ ทั่วไป

      สวัสดีครับวันนี้มาเรียน บทแรก พื้นฐานทั่วไปของการเทรด Forex คือ เรื่้อง การอ่านแนวโน้มของกราฟ ซึ่ง เรื่องแนวโน้มของกราฟนี้ เป็นหลักการทั่วไปที่ Trader หรือ นักลงทุน ทั้วไปจะต้องรู้เป็นพื้นฐานไม่ว่า คุณจะเทรด อยู่ในตลาด Forex ,หุ้น , ตลาดน้ำมัน ,ตลาด โลหะ ทอง เงิน ทองแดง หรือ ตลาดอื่นๆ ที่มีกราฟ เป็นส่งนประกอบ ทีนี้มาเรียนรู้ เทรนของกราฟ แนวโน้มกราฟ ทั่วไป

     หลักการเริ่มต้นทั่วไปของการลงทุน เทรด โดยทั่วไป ก็คือ การมองแนวโน้ม หรือ เทรนของตลาด ของกราฟ ซึ่งเทรนของกราฟจะมีอยู่ 3 ลักษณะคือ
      1.เทรนขาขึ้น Uptrend (เป็นช่วงที่น่าลงทุน)
      2.เทรนขาลง Downtrend (เป็นช่วงที่น่าลงทุน)

      3.Side way คือตลาด ยังไม่มีแนวโน้ม ที่ชัดเจนคือกราฟ เคลื่อนที่ ขึ้นลงแบบไร้ทิศทาง อาจ Side Way เพื่อที่จะไปต่อ ตามแนวโน้มเดิม
         หรือ Side way เพื่อที่ กลับตัวในทิศทางตรงกันข้ามของแนวโน้มเดิม ซึ่งก็จะมีหลักการใน การ วิเคราะห์ที่หลากหลาย แต่ โดย ส่วนมากแล้ว
         ช่วงตลาด Side way จะเป็นช่วงที่ไม่ควรลงทุกมากที่สุดเนื่องจากเป็นช่วงที่นักลงทุนส่วนมากจะขาดทุนมากที่สุดจากช่วงที่ตลาด เป็น Side Way
         ซึ่ง Side way ก็สามารถ แบ่งได้อีกเป็น 2 แบบ ก็คือ
         3.1 Side way Up
         3.2 Side way Down

     ทีนี้มาดูภาพประกอบของเทรนในแต่ละแบบกันครับ


แนวโน้มขาขึ้น Uptrend



แนวโน้มขาลง Downtrend



Sideway ในแบบต่างๆ


ทีนี้มาดูกราฟ จริงๆ กันครับ


ทั้งหมด ข้างต้นคือสิ่ง พื้นฐานที่นัดเทรดควรที่จะเรียนรู้และทำความเข้าใจในการเทรด และการทำกำไร ในทุกๆ ตลาดเพื่อการทำกำไรที่ยังยืนและมีประสิทธิภาพ
ซึ่งผมจะได้นำเสนอในบทต่อไปครับ

71
Forex today วันนี้ขอเสนอเรื่อง forex อัตราแลกเปลี่ยน คืออะไร ใช้อย่างไร

ตลาดเปิดทำการตอนไหน?
แตกต่างจากตลาดหุ้นที่มีการเปิดปิดตามเวลา ตลาด Forex เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งห้าวันในสัปดาห์ ธนาคารซื้อและขายสกุลเงินตลอดเวลา และตลาด Forex จึงต้องเปิดให้บริการ

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่ออัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินคืออะไร?
เช่นเดียวกับตลาดทั่วๆไปตลาดถูกขับเคลื่อนไปโดยอุปสงค์และอุปทาน :

หากผู้ซื้อมีมากกว่าผู้ขาย ราคาก็ขึ้น
หากผู้ขายมีมากกว่าผู้ซื้อ ราคาก็ลง
ปัจจัยต่อไปนี้สามารถมีอิทธิพลต่ออัตราแลกเปลี่ยน:

ผลการดำเนินการทางเศรษฐกิจของชาติ
นโยบายธนาคารกลาง
อัตราดอกเบี้ย
งบการค้าระหว่างประเทศ การนำเข้าและการส่งออก
ปัจจัยทางการเมือง เช่น การเลือกตั้งและการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเมือง
ความเชื่อมั่นของตลาด ความคาดหวังและข่าวลือ
สิ่งที่มองไม่เห็น การก่อการร้ายและภัยพิบัติทางธรรมชาติ
แม้จะมีปัจจัยเหล่านี้ทั้งหมด ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราทั่วโลกก็มีเสถียรภาพมากกว่าตลาดหุ้น อัตราแลกเปลี่ยนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ และเป็นจำนวนเงินไม่มาก

ข้อดีของตลาด Forex คืออะไร?
ตลาด Forex มีข้อดีหลายประการ ดังต่อไปนี้:

เป็นตลาดใหญ่ที่สุดในโลกอยู่แล้ว และจะยังคงเติบโตต่อไปอย่างรวดเร็ว
มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างกว้างขวาง ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้
ผู้ค้าสามารถทำกำไรได้ทั้งจากเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและอ่อนแอ
ผู้ค้าสามารถวางคำสั่งซื้อระยะเวลาสั้นๆได้ ซึ่งไม่สามารถทำได้ในตลาดอื่นๆ
ตลาดจะไม่ได้ถูกใครควบคุมไว้
ค่านายหน้าซื้อขายต่ำมากหรือแทบจะไม่มีเลย
ตลาดจะเปิดตลอด 24 ชั่วโมงในช่วงวันธรรมดาตลอดสัปดาห์

Forex คืออะไร? – การแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ

คำถามหนึ่งที่เรามักจะถูกถามอยู่บ่อยๆ ก็คือ “การซื้อขาย forex คืออะไร?” มีมานานเท่าไหร่? ตลาดใหญ่แค่ไหน? ใครคือผู้เล่นที่สำคัญ? อะไรทำให้อัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินเปลี่ยนแปลงไป?

นี่คือคำตอบของคำถามเหล่านั้นของคุณ

Forex คืออะไร?
Forex เป็นตลาดการค้าเสรีของสกุลเงินระหว่างประเทศ ผู้ค้าสั่งซื้อสกุลเงินหนึ่งเพื่อแลกกับเงินสกุลเงินอื่น ตัวอย่างเช่น ผู้ค้าอาจต้องการซื้อเงินยูโรและกับดอลลาร์สหรัฐและจะใช้บริการตลาด Forex ทำการแลกเปลี่ยน

ตลาด Forex เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีมูลค่าการซื้อขายกว่า $4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในแต่ละวันจำนวนเงินซื้อขายในแต่ละสัปดาห์มีขนาดใหญ่กว่า GDP ทั้งปีของสหรัฐอเมริกา

สกุลเงินหลักที่ใช้ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนคือเงินดอลลาร์สหรัฐ

Forex มีมานานแค่ไหน?
ในขณะที่โลกกำลังฉีกตัวออกจากสงครามโลกครั้งที่สอง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างความมั่นคงทางการเงินอย่างเร่งด่วน การพบปะเจรจาต่อรองจาก 29 ประเทศจึงเกิดขึ้นที่ Bretton Woods และตกลงที่จะเป็นระบบเศรษฐกิจใหม่ และสิ่งหนึ่งในนั้นคือ อัตราการแลกเปลี่ยนที่ถูกกำหนดขึ้น

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ถูกก่อตั้งขึ้นภายใต้ข้อตกลง Bretton Woods และเริ่มดำเนินการในปี 1949 อัตราแลกเปลี่ยนที่เกิน 1% ทั้งหมดจะต้องได้รับการอนุมัติจาก IMF ซึ่งมีผลทำให้อัตราแลกเปลี่ยนถูกกำหนดไว้อย่างตายตัว

ปลายปี 1960 ระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราคงที่เริ่มสลายตัวลง สืบเนื่องมาจากปัจจัยทางการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่มากมาย ท้ายที่สุดในปี 1971 ประธานาธิบดีนิกสัน ได้ระงับการผูกขาดเงินดอลลาร์สหรัฐไว้กับทอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขการล่มสลายของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่รู้จักกันว่า นิกสัน (Nixon shock) จนกระทั่งนำไปสู่ระบบแลกเปลี่ยนเงินตราแบบลอยตัวในต้นปี 1973 โดยในปี 1976 ทุกสกุลเงินหลักได้มีอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว

ด้วยอัตราดอกเบี้ยลอยตัว สกุลเงินต่างๆ สามารถซื้อขายได้อย่างอิสระ และราคาเปลี่ยนแปลงตามกลไกของตลาด ตลาดที่ทันสมัย Forex จึงได้กำเนิดขึ้น

ใครเป็นผู้ที่ซื้อขายในตลาด forex ?
มีผู้ค้าที่แตกต่างกันจำนวนมากในตลาด Forex มีทั้งที่ซื้อขายเพื่อทำกำไร บางคนค้าเพื่อป้องกันความเสี่ยง และบ้างก็เพียงต้องการซื้อเงินตราต่างประเทศเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการ ผู้ค้า ต่างๆ มีดังต่อไปนี้

ธนาคารกลางของรัฐบาล
ธนาคารพาณิชย์
ธนาคารเพื่อการลงทุน
โบรกเกอร์และตัวแทนจำหน่าย
กองทุนบำเหน็จบำนาญ
บริษัทประกันภัย
องค์กรระหว่างประเทศ
บุคคลทั่วไป

ปัจจัยที่มีผลต่อ อัตราแลกเปลี่ยน
ปัจจัยที่สำคัญที่มีผลต่ออัตราแลกเปลี่ยน ของค่าเงินต่างๆในโลกนี้ประกอบไปด้วย

1.การเมือง

ปัจจัยด้านการเงินของแต่ละประเทศนั้น มีผลอย่างมากต่ออัตราแลกเปลี่ยน เช่นหากมีการรบรากัน มักเกิดปัญหาคือ อัตราแลกเปลี่ยน ของค่าเงินในประเทศที่มีสงครามมักตกต่ำลงไปด้วยเช่นกัน อันเนื่องมาจากความไม่มั่นใจในสถานะค่าเงินของนักลงทุนในค่าเงินนั้นๆ

2.เศรษฐกิจ

ปัจจัยประการที่สอง ที่ถือว่ามีผลอย่างยิ่งต่ออัตราแลกเปลี่ยนคือ เรื่องของเศรษฐกิจ ซึ่งหมายความรวมถึง การเก็งกำไรของบรรดานักค้าเงินทั้งหมาย ที่ส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงินนั้นๆมีการแกว่งตัวเองอย่างเห็นได้ชัด



3.ด้านเทคโนโลยี

ประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีย่อมส่งผลต่อค่าเงิน ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นการพัฒนา หรือประเทศที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้า เช่นประเทศญี่ปุ่น ก็จะมีอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินเยนที่ดีกว่าประเทศอื่นๆนั่นเอง

4.ข่าวลือต่างๆ

เป็นเหตุให้เกิดความผันผวนทางด้านอัตราแลกเปลี่ยนอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้นๆ และหากพบว่าข่าวลือนั้นไม่เป็นจริง อัตราแลกเปลี่ยนก็จะหวนกลับมาคงเดิมตามปกติที่ควรจะเป็นครับ

การใช้อัตราแลกเปลี่ยน ในการทำกำไรจาก forex
ผมคิดว่าแนวคิดในข้อนี้นั้น หลายๆคนอาจมองข้ามหรือลืมนึกถึงไป แต่สำหรับผมแล้ว ผมอยากบอกว่า เมื่อคุณทำการฝากเงินเข้าไปในบัญชีโบรกเกอร์ ผมแนะนำให้คุณนั้นฝากเป็นเงิน USD เหตุผลเพราะเมื่อค่าเงินบาทของเราอ่อนตัวลง คุณสามารถเลือกใช้เรื่องของการอ่อนตัวของค่าเงิน เพื่อแลกเงิน USD กลับมาเป็นเงินบาทในราคาที่มากกว่าเดิมได้ เรื่องนี้เป็นหลักการที่ง่ายมากๆ  และที่สำคัญคือ สามารถประยุกต์แนวคิดนี้สู่การทำเงินได้จริงของคุณอีกด้วย

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ผมคิดว่าเราคงเข้าใจความหมายของคำว่า อัตราแลกเปลี่ยน กันมากขึ้นแล้ว และสามารถประยุกต์ใช้หลักการ อัตราแลกเปลี่ยน เพื่อการเทรด forex อย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้นได้อย่างแน่นอน

อัตราแลกเปลี่ยน คืออะไร
อีกหนึ่งแหล่งข้อมูลที่ถือว่าเป็นประโยชน์ สำหรับการเรียนรู้ และการเทรด forex คือคำว่า อัตราแลกเปลี่ยน มาศึกษาความหมาย และทำความเข้าใจกับคำว่า อัตราแลกเปลี่ยน ให้ลึกซึ้งไปพร้อมๆกันครับ ว่ามีความหมายว่าอย่างไรกันบ้างกับคำนี้

อัตราแลกเปลี่ยน คืออะไร
คำว่า อัตราแลกเปลี่ยน คือ จำนวนหน่วยของการแลกเปลี่ยนระหว่างคู่เงินต่างๆ ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้น หรือลดลงตามปริมาณการซื้อขายเงินในตลาด forex รวมทั้งปัจจัยอื่นๆที่เกิดขึ้นด้วย ตัวอย่างของอัตราแลกเปลี่ยน เช่น เงิน 1 USD ต้องใช้ เงินบาทไทยจำนวน 36 บาทในการแลกเปลี่ยน เป็นต้น อัตราการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินหมายรวมถึงการเก็งกำไรค่าเงินด้วย

ลักษณะการทำงานของ อัตราแลกเปลี่ยน
ลักษณะการทำงานของระบบ อัตราแลกเปลี่ยน นั้นจะกำหนดมาโดยตลาดค้าเงิน หรือที่เรียกว่า forex นั่นเอง หากเงินนั้นมีความต้องการในตลาดที่สูง ค่าเงินนั้นก็จะสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว หรือหากค่าเงินนั้นไม่เป็นที่นิยม อัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงินนั้นก็จะน้อยมากๆ ตัวอย่างค่าเงินที่ไม่เป็นที่นิยมในตลาด อาทิเช่น ค่าเงินดอง ค่าเงินกีบเป็นต้น

72

forex Gain คืออะไร ใช้อย่างไร


วิธีดูผลกำไรจาก Gain และ Profit Factor จากเว็บ myfxbook.com
เป็นเนื้อหาที่แถมไว้ในบทความนี้ ด้วยผมเห็นว่าน่าจะกล่าวไว้ เพื่อเป็นภูมิต้านทานต่อมิจฉาชีพ ที่ออกมาในรูปของการระดมทุน ซึ่งบ่อยครั้งที่มีคนหรือกลุ่มคนมาชักชวน หรืออ้างตัวว่าสามารถทำกำไรในตลาด Forex ได้อย่างงดงาม จากนั้นก็ชวนคุณร่วมลงทุน อันนี้อย่าไปหลงเชื่อเด็ดขาด เพราะคนที่สามารถทำกำไรในตลาด Forex ได้อย่างต่อเนื่องจริงๆนั้น มีจำนวนน้อยมาก เทียบสัดส่วนนักลงทุน ไม่ถึง 10% ของกลุ่มนักเทรด และแน่นอนคนที่เทรดได้กำไร เขาไม่ใจดีเผื่อแผ่หรือเอาคอตัวเองไปขึ้นเขียงค้ำประกันเงินคนอื่นหรอก ดังนั้นร้อยทั้งร้อย การระดมทุนคือการหลอกลวงครับ

แต่ถ้าใครอยากเช็คข้อมูลนั้น ในปัจจุบันมีเครื่องมือที่สามารถตรวจสอบความน่าเชื่อถือ และตรวจสอบความเสี่ยงก่อนการลงทุนได้ ในที่นี้แนะนำให้ดูผ่าน https://www.myfxbook.com ซึ่งเป็นเว็บกลาง ที่ให้เราสามารถตรวจสอบข้อมูลประวัติการเทรดได้ แต่ทั้งนี้ในการดู myfxbook ก็ยังต้องใช้วิจารณญาณในการดู และใช้ข้อมูลในหลายๆส่วนประกอบด้วย โดยมีวิธีการดูคือ

Gain : เข้าไปดูที่แท็บ Info / Stats / Gain
Gain คือ ผลกำไรหรือผลตอบแทนควรดูย้อนหลัง เพื่อตรวจสอบว่าการลงทุนนั้น มีผลกำไรสม่ำเสมอ หรือให้ผลประกอบการที่มีกำไรอย่างต่อเนื่องและอยู่ในจุดที่นักลงทุนพอใจหรือไม่

Profit Factor : เข้าไปดูที่แท็บ Advanced Statistics / Trades / ดูที่คำว่า Profit Factor
Profit Factor คือ ค่าอัตราการคำนวณของกำไร และการขาดทุน หากค่านี้มีมากกว่า 1 หมายความว่า ตอนกำไรให้กำไรมากกว่าตอนขาดทุน ตัวอย่างเช่น หากค่า Profit Factor = 2 หมายถึง เวลาเสีย เสียแค่ 1 แต่เวลาได้ ได้ 2 ครับ



การใช้ Myfxbook ในการวิเคราะห์พอร์ต Forex จะใช้ในการวิเคราะห์ระบบเทรด ที่เราเทรดอยู่ ใช้ตรวจสอบพวกอ้างการระดมทุน หรือแม้กระทั่งตรวจสอบ EA ที่เขาขายกัน โดยข้อมูลที่ได้มานั้นจะเป็นข้อมูลแบบ Real Time ทำให้เราเห็นทั้ง Order ที่เปิดอยู่ และ Order ที่ปิดแล้ว พร้อมทั้งข้อมูลต่างๆ อีกมากมาย ที่เป็นประโยชน์ ไม่ว่าพอร์ตนั้น เป็น Real Account หรือ Demo Account ครับ ตัวอย่างคือ

หมายเลข 1 บอกว่าเป็น : Real Account หรือว่าเป็น Demo Account (บัญชีจริง หรือบัญชีทดลอง)

หมายเลข 2 Abgain % : เป็นเปอร์เซ็นต์ของกำไรทั้งหมดจากเงินที่ฝากเข้า เช่น  Deposit 100 $ กำไร 10 $ Abgain ก็คือ 10%

ที่ไม่ให้ดูตรง Gains % ตรงๆเลยก็เพราะว่า Gains % บางทีจะคำนวณจากเงินที่เหลือในพอร์ตครับ เช่น เดือนนี้เทรดจาก 1000 $ ขาดทุนเหลือ 400 $ แต่เดือนต่อมาเทรดจาก 400 $ เป็น 4000 $ จะได้ Gain 1000 % ครับ กลายเป็นว่าข้อมูลในส่วนขาดทุนที่ควรคิดด้วยหายไปทำให้ตัวเลขดูดีเกินจริง ดังนั้นการดู Adgains จะทำให้ได้ผลที่ถูกต้องที่สุดครับ     

หมายเลข 3 Drawdown % : หมายถึง % ของจำนวนเงินขาดทุนสะสมของ balance เป็นส่วนที่สำคัญมากๆของระบบครับ เอาไว้ดูความเสี่ยงของระบบลุงทุนเช่น ณ ขณะนั้นในพอร์ตมี 1000 $ เทรดไปติดลบ 500 $ แต่สักพัก กราฟวิ่งกลับมา ทำให้เราได้กำไรรวมทุนเป็น 1300 $ Drawdown % จะคิด 1000 $ กับการติดลบ 500 $ ดังนั้น ค่า Drawdown คือ 50 % ครับ

หมายเลข 4 Tracking Record Verify : คือระบบของ Myfxbook ยืนยันแล้วว่า เป็น Data ที่น่าเชื่อถือ

        ส่วน Trading Privileges Verify หมายถึง ได้รับการยืนยันแล้วว่าข้อมูลทั้งหมดนั้นเป็นจริง จากการที่นำ Investor Password จาก Myfxbook ไปเปลี่ยน ใน MT4 ของเรา

ส่วนอื่นๆ ที่ดูประกอบ

Balance = ยอดเงินที่เหลือในพอร์ตขณะนี้

Equity = จำนวนเงินที่เป็นบวกหรือลบหลังจากเปิด order ในกรณีที่ไม่ได้เปิดออเดอร์ Equity จะเท่ากับ Balance

Highest = จำนวน Blance ที่มากสุดที่ Account นี้เคยมี

Profit = กำไรทั้งหมดที่พอร์ตนี้ทำกำไรได้ ถ้าได้กำไรจะเป็นสีเขียว(บวก) ถ้า ขาดทุนจะเป็นสีแดง(ลบ)

Interest = ยอดรวมของ Swap ทั้งหมดไม่ว่าบวกหรือลบ

Deposit = ยอดเงินฝากที่ฝากเข้าไป

Withdraw = ยอดเงินที่ทำการถอนจาก Account

Gain คืออะไร
ตอบกันแบบง่ายๆเลย Gain (อ่านว่า เกน) คือ % ของผลกำไรของพอร์ตที่มีการเติบโตขึ้น โดยมีการหารเฉลี่ยกับจำนวนเดือนที่มีการจดบันทึกด้วย โดยปกติแล้ว คุณสามารถพบค่าของ Gain ผ่านทางโปรแกรม MT4 หรือ MT5 และรวมถึงการพบค่า Gain ด้วย fxbook ด้วยนะครับ

โดยอาจจะพบในรูปแบบของคำว่า Profit /Loss or “P/L” or Gain/Loss ซึ่งก็คือ ยอดกำไรหรือขาดทุนจากรายการซื้อขายทั้งหมด (รายการที่ได้ทำการปิดเรียบร้อยแล้วบวกหรือลบด้วยยอดกำไรขาดทุนของรายการที่ ยังเปิดค้างอยู่) Unrealized Gain/Loss คือ ยอดกำไรขาดทุนสำหรับรายการซื้อขายที่ยังไม่ได้ปิดในขณะนั้น ถ้ารายการซื้อขายนั้นปิดแล้วก็จะเป็นกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นจริง

ดังนั้นเมื่อรู้อย่างนี้แล้ว หากได้ยินคำว่า Gain อีก อย่าเพิ่งนึกถึงไมค์ เหมือนกับผู้เขียนนะครับ ^_^‎



ประโยชน์ของการเรียนรู้เรื่อง Gain กับ forex
เราสามารถเรียนรู้ประโยชน์อะไรบ้างจากค่า Gain ที่มีการรายงานใน forex ผู้เขียนขออนุญาตสรุปออกมาเป็นข้อๆดังต่อไปนี้ครับ

1.ช่วยให้รู้ว่าเราสามารถทำกำไรไปเท่าไหร่

แน่นอนว่าค่า Gain บ่งบอกให้เรารู้ว่าในแต่ละเดือนนั้นเราสามารถทำกำไรไปได้เท่าไหร่ ซึ่งก็อาจคล้ายๆเป็นความภาคภูมิใจว่าเรานั้นเก่งทีเดียวที่สามารถเทรดได้กำไรแบบนั้นแบบนี้เป็นต้น โดยปกติแล้วค่า Gain จะแสดงออกมาในรูปแบบของชาร์ตให้เราได้รับทราบ

2.ช่วยให้เราเห็นว่าคนอื่นทำกำไรได้เท่าไหร่

จริงๆแล้วคำกล่าวข้อนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่มีความเป็น Common Sense มากๆ เพราะว่า ถ้าคุณนั้น สามารถเห็น Gain ของตนเองใน forex แล้ว คุณก็สามารถเห็นสิ่งนี้ในของคนอื่นได้เช่นเดียวกัน แต่ข้อดีที่ตามมาคือ คุณจะรู้สึกว่าได้รับแรงผลักดันให้ตนเองต้องพัฒนารูปแบบการเทรดของตนเองให้ไม่แพ้กับคนที่เราได้เห็น Gain ของเขานั่นเอง



3.เชื่อมโยงกับคำว่า Drawdowns (% การขาดทุน)

ใช้ในเรื่องของการบริหารจัดการการเงินที่ดี (Money management) กล่าวคือ เมื่อเราขาดทุนคิดเป็น % แล้วเราต้องทำกำไรกลับมาเท่าไหร่เพื่อที่จะ recovery กลับมาเท่าทุน(breakeven) โดยมีการเทียบข้อมูลไว้ดังนี้

Drawdowns (% การขาดทุน) Vs. Gain to recovery (% ที่ต้องทำกำไรกลับมาเพื่อเท่าทุน)

drawdown 5% ต้องทำ  5.3 % gain to recovery

drawdown  10% ต้องทำ 11.1 % gain to recovery

drawdown  15% ต้องทำ 17.6 % gain to recovery

drawdown  20% ต้องทำ  25 % gain to recovery

drawdown  25% ต้องทำ  33 % gain to recovery

drawdown  30% ต้องทำ  42.9 % gain to recovery

drawdown  40% ต้องทำ  66.7 % gain to recovery

drawdown  50% ต้องทำ  100 % gain to recovery

drawdown  60%ต้องทำ  150 % gain to recovery

drawdown  75% ต้องทำ  300 % gain to recovery

drawdown  90% ต้องทำ  900 % gain to recovery

ข้อมูลนี้ทำให้เราทราบว่า การขาดทุนที่มากเกินไปในแต่ล่ะครั้งนั้น หมายความว่าเราจะต้องทำกำไรให้มากขึ้นอย่างมากเพื่อกลับมาเท่าทุน เพราะมันเป็นเรื่องของอัตราส่วน ไม่ใช่แค่การหักลบกลบหนี้นะครับ



การปรับ Gain ของ Portfolio ของเรา
เรื่องของ Gain นั้นสามารถบอกอะไรเราได้หลายอย่าง กล่าวคือ ปกติแล้วอัตราการเติบโตของคนที่มี Gain ธรรมดาในการเทรด forex น่าจะอยู่ที่ประมาณ 10-20% ต่อปี แต่ถ้ามีค่าเกินกว่านี้หรือว่าเทรดในระยะสั้น แต่มีค่า Gain โตระดับ 100-300% ถ้าเป็นแบบนี้ก็มีแนวโน้มว่า โอกาสล้างพอร์ตก็มีสูงมากเช่นเดียวกัน

เพราะเคยมีคนทำได้สูงกว่านี้เยอะแยะมากมาย แต่สุดท้ายมักไปไม่รอด ดังนั้นยิ่งสูง ยิ่งต้องระวัง ว่าความจริงแล้วกำไร(Gain)ที่ได้มานั้น อยู่บนพื้นฐานของระบบที่ดีจริงหรือเปล่า ก็คล้ายๆกับหุ้นที่เติบโตทำ New High อย่างต่อเนื่อง ซึ่งแท้จริงแล้วเกิดขึ้นจากการปั่นของเจ้ามือ

ดังนั้นพื้นฐานการเติบโตของพอร์ตที่ดี ก็คือระบบวินัยของตัวผู้เทรดนั่นเอง การดูตัวเลข Gain อย่างเดียวจึงไม่เพียงพอที่จะการันตีได้ว่า พอร์ตนี้จะอยู่ได้รอดในระยะยาว เช่น Gain เดือนละ 50% นับเป็นตัวเลขที่น่าสนใจ แต่ยังมองว่าค่อนข้างสูงไป เพราะ Risk ที่เกิดขึ้นอาจถึง 50% ด้วยเช่นกัน

Gain ที่สูง ควรมีระยะเวลาอายุของพอร์ตที่สูงด้วยเช่นกัน เช่น Gain 200% แต่อายุพอร์ตเพียงแค่ 1 สัปดาห์ อย่างนี้วัดอะไรไม่ได้ครับ ถ้าเชื่อมั่นในระบบมากจนขาดสติ ขาดการเอาใจใส่พอร์ต ระยะยาวมักมีการล้างพอร์ตเกิดขึ้นครับ

สรุปแล้ว Gain ก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัด ที่สามารถบอกให้เราทราบว่าการเทรด forex ของเรานั้น ต้องมีการปรับปรุงหรือมีการเพิ่มเติมในเรื่องใดๆบ้าง เพราะว่าถ้าค่าของ Gain นั้น มีอัตราเติบโตที่มากเกินไปแล้ว ย่อมมีโอกาสสูงที่จะก่อให้เกิดผลเสียจำนวนมากต่อธุรกิจของเรา และอาจร้ายแรงถึงขั้นล้างพอร์ตกันเลย ดังนั้นค่าตัวนี้จะต้องคุมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเสมอๆครับ

73
ทางเว็บไซด์ขอนำเสนอเรื่อง forex Free margin คืออะไร ใช้อย่างไร

ความสำคัญของ Free margin ในตลาด Forex
 Free margin สำคัญกับตลาด Forex เป็นอย่างมาก เพราะถือเป็นเงินทุนในบัญชี margin ที่สามารถเปิดสัญญา เปิดออร์เดอร์สำหรับเทรด Forex ได้ โดยที่สามารถซื้อขายได้ตลอดเวลา หากนักลงทุนต้องการเปลี่ยนทิศทางของบัญชีตัวเอง เพื่อเพิ่มพอร์ตการลงทุน นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมให้มีการใช้เครดิตส่วนนี้ เพื่อการลงทุน แต่ท่านต้องเข้าใจหลักการรองรับความเสี่ยงของการลงทุนได้เท่าไหร่ด้วย



ข้อเสียของ Free margin
 เพราะ Free margin นั้น เป็นความสามารถในการก่อหนี้ของบัญชีของเรา จึงทำให้มีข้อเสียอยู่หลายอย่าง เช่น หากช่วงนั้น ทุนของคุณกำลังติดลบ Free marginก็จะลดลงไปเรื่อยๆ  และหากปล่อยให้หมดไปเลย คุณก็จะหมดโอกาสในการทำกำไร เพราะการซื้อของคุณจะถูกปิดทันที หรือถ้าหากฟื้นตัวได้ ก็ยากที่จะทำกำไรได้

และนี่คือFree margin หรือ marginที่สามารถก่อหนี้ให้กับบัญชีของคุณในตลาดForex  ผู้เขียนได้นำความรู้เกี่ยวกับความหมาย ความสำคัญ ข้อดี และข้อเสียของFree margin มาฝากนักอ่านทุกท่าน และหวังว่าทุกคนคงพอจะรู้และเข้าใจกันบ้างแล้วว่า Free margin คืออะไร และมีบทบาทอย่างไรต่อตลาด Forex และนักลงทุนเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ต้องทำการศึกษาข้อมูลเงื่อนไขการลงทุนให้ดีก่อนที่จะลงทุน

Free margin คืออะไร
ในตลาด Forex นั้น เรามีคำศัพท์ยอดฮิต และคำพูดติดปากอยู่หลายคำ และหนึ่งในนั้นคือคำว่า หมายถึง กำไรขั้นต้น ที่ได้มาจากส่วนต่างของราคาขายกับราคาซื้อของหุ้น โดยที่ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายอื่นออกไป  หลังจากที่ได้รู้จักกับคำว่า margin กันไปแล้ว ในบทนี้ เรามาทำความรู้จักกับคำว่า Free margin กันดีกว่า ว่ามีความหมาย และความสำคัญอย่างไร ดังนั้นเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เราไปทำความรู้จักกับ Free margin กันเลย

ความหมายของ Free margin
 Free margin คืออะไร หลายๆคนอาจจะยังไม่รู้จักกับความหมายของคำนี้ หรืออาจจะคุ้นๆเฉยๆ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร ซึ่ง Free margin นี้ หมายถึง เงินทุนสำรองที่เหลือจาก margin และสามารถใช้เปิดออร์เดอร์สำหรับเทรด forex ได้ หรือเข้าใจกันง่ายๆ ก็คือ ความสามารถก่อหนี้ของบัญชีของเรานั่นเอง ท่านสามารถรองรับความเสี่ยงได้เท่าไหร่ ในการใช้งาน Free margin



โดยปกติ Margin จะเท่ากับ 0 ส่วน Free margin จะมีค่าเท่ากับ Balance ของเรา เมื่อไรที่เราเปิดออร์เดอร์ซื้อ-ขาย สมมุติว่าเรามีเงิน $500 เปิดออร์เดอร์ซื้อมา $100 เงินจำนวนนั้นของเราถือว่าถูกนำไป “ลงทุน” ในออร์เดอร์ซื้อแล้ว และสามารถเกิดกำไร-ขาดทุนได้ ระบบจะแสดงมูลค่า $100 เหรียญลงในช่อง Margin เช่น ถ้าเรากำลังได้กำไรจากออร์เดอร์นั้น $50 Margin ของเราจะแสดงเป็น $100 (กำลังได้กำไร แต่กำไรจะยังไม่ถูกเก็บลงใน Balance จนกว่าคุณจะปิดออร์เดอร์นั้น) ส่วนกำไร-ขาดทุนนั้นจะนำไปรวมกับ $400 ที่ยังอยู่ในบัญชีเป็น Free Margin เท่ากับ $450 (แสดงว่าเราสามารถลงทุน ซื้อขายออร์เดอร์อื่นๆ เพิ่มได้ ในวงเงิน $450) และช่อง Equity จะแสดงเลข $550 (สมมุติว่าปิดออร์เดอร์ ระบบจะนำกำไร-ขาดทุนนั้นไปลงใน Balance เราจะได้เงินในบัญชี $550)



ถ้าพูดถึงเรื่องสูตรคำนวณ Free Margin คือ จำนวน Margin ที่เหลือเปิดออร์เดอร์ได้  ก็คือคิดจาก

Free Margin = Equity – Margin 

ตัวอย่างเช่น : Free Margin = 100 – 40 = 60

อย่างไรก็ตาม การที่เราซื้อขาย Margin ต่ำไม่ได้หมายความว่าเราจะซื้อน้อยได้น้อย-เสียน้อยเสมอไป บางครั้งซื้อในราคานิดเดียว แต่กำไร-ขาดทุนสูงก็มี ตามแต่ระดับ Leverage ที่เราปรับครับ

Free margin ดีอย่างไร
 แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่สามารถก่อหนี้ทางบัญชีของเราก็ตาม แต่ Free margin มีข้อดี อยู่ตรงที่ว่า มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  ถ้าหากได้กำไร จำนวน margin ก็จะถูกบวกเพิ่มตามผลกำไรที่ได้ และสามารถขายออกไปได้ตลอดเวลา จึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการทำกำไร สำหรับนักลงทุน เป็นการเพิ่มมูลค่าในการลงทุนให้กับพอร์ตของท่าน

74
มาย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นกันเลยนะครับ ว่า Forex คืออะไร ใช้อย่างไร

คำถามหนึ่งที่เรามักจะถูกถามอยู่บ่อยๆ ก็คือ “การซื้อขาย forex คืออะไร?” มีมานานเท่าไหร่? ตลาดใหญ่แค่ไหน? ใครคือผู้เล่นที่สำคัญ? อะไรทำให้อัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินเปลี่ยนแปลงไป?

นี่คือคำตอบของคำถามเหล่านั้นของคุณ

Forex คืออะไร?
Forex เป็นตลาดการค้าเสรีของสกุลเงินระหว่างประเทศ ผู้ค้าสั่งซื้อสกุลเงินหนึ่งเพื่อแลกกับเงินสกุลเงินอื่น ตัวอย่างเช่น ผู้ค้าอาจต้องการซื้อเงินยูโรและกับดอลลาร์สหรัฐและจะใช้บริการตลาด Forex ทำการแลกเปลี่ยน

ตลาด Forex เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีมูลค่าการซื้อขายกว่า $4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในแต่ละวันจำนวนเงินซื้อขายในแต่ละสัปดาห์มีขนาดใหญ่กว่า GDP ทั้งปีของสหรัฐอเมริกา

สกุลเงินหลักที่ใช้ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนคือเงินดอลลาร์สหรัฐ

ข้อดีของตลาด Forex คืออะไร?
ตลาด Forex มีข้อดีหลายประการ ดังต่อไปนี้:

เป็นตลาดใหญ่ที่สุดในโลกอยู่แล้ว และจะยังคงเติบโตต่อไปอย่างรวดเร็ว
มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างกว้างขวาง ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้
ผู้ค้าสามารถทำกำไรได้ทั้งจากเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและอ่อนแอ
ผู้ค้าสามารถวางคำสั่งซื้อระยะเวลาสั้นๆได้ ซึ่งไม่สามารถทำได้ในตลาดอื่นๆ
ตลาดจะไม่ได้ถูกใครควบคุมไว้
ค่านายหน้าซื้อขายต่ำมากหรือแทบจะไม่มีเลย
ตลาดจะเปิดตลอด 24 ชั่วโมงในช่วงวันธรรมดาตลอดสัปดาห์

ใครเป็นผู้ที่ซื้อขายในตลาด forex ?
มีผู้ค้าที่แตกต่างกันจำนวนมากในตลาด Forex มีทั้งที่ซื้อขายเพื่อทำกำไร บางคนค้าเพื่อป้องกันความเสี่ยง และบ้างก็เพียงต้องการซื้อเงินตราต่างประเทศเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการ ผู้ค้า ต่างๆ มีดังต่อไปนี้

ธนาคารกลางของรัฐบาล
ธนาคารพาณิชย์
ธนาคารเพื่อการลงทุน
โบรกเกอร์และตัวแทนจำหน่าย
กองทุนบำเหน็จบำนาญ
บริษัทประกันภัย
องค์กรระหว่างประเทศ
บุคคลทั่วไป
ตลาดเปิดทำการตอนไหน?
แตกต่างจากตลาดหุ้นที่มีการเปิดปิดตามเวลา ตลาด Forex เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งห้าวันในสัปดาห์ ธนาคารซื้อและขายสกุลเงินตลอดเวลา และตลาด Forex จึงต้องเปิดให้บริการ

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่ออัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินคืออะไร?
เช่นเดียวกับตลาดทั่วๆไปตลาดถูกขับเคลื่อนไปโดยอุปสงค์และอุปทาน :

หากผู้ซื้อมีมากกว่าผู้ขาย ราคาก็ขึ้น
หากผู้ขายมีมากกว่าผู้ซื้อ ราคาก็ลง
ปัจจัยต่อไปนี้สามารถมีอิทธิพลต่ออัตราแลกเปลี่ยน:

ผลการดำเนินการทางเศรษฐกิจของชาติ
นโยบายธนาคารกลาง
อัตราดอกเบี้ย
งบการค้าระหว่างประเทศ การนำเข้าและการส่งออก
ปัจจัยทางการเมือง เช่น การเลือกตั้งและการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเมือง
ความเชื่อมั่นของตลาด ความคาดหวังและข่าวลือ
สิ่งที่มองไม่เห็น การก่อการร้ายและภัยพิบัติทางธรรมชาติ
แม้จะมีปัจจัยเหล่านี้ทั้งหมด ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราทั่วโลกก็มีเสถียรภาพมากกว่าตลาดหุ้น อัตราแลกเปลี่ยนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ และเป็นจำนวนเงินไม่มาก

Forex คือ อะไร
ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราสากล Foreign Exchange Market เรียกโดยย่อว่า FOREX เป็นสถาบันตลาดการเงินที่ใหญ่สุดในโลก ด้วยปริมาณการซื้อขายเกิน 4 ล้านล้านเหรียญต่อวัน ก็ประมาณ 3 เท่าของตลาดหุ้นทุกชนิดในโลกรวมกัน นี่คือความยิ่งใหญ่ของ Forex

คนไทยส่วนใหญ่ เข้าใจคำว่า Forex ผิดไป ส่วนมาก เมื่อเอ่ยถึง Forex จะมีภาพพจน์ไปทางทางฟอกเงิน ก็เพราะด้วยเหตุที่ว่า Forex เป็นแหล่งเงินที่มีความคล่องตัวสูงมาก จึงทำให้สิบแปดมงกุฏทั้งหลาย นิยมอ้างถึงในการชวนระดมทุนว่านำไปทำกำไรในตลาดฟอเร็กซ์ หากอ่านต่ออีกไม่กี่นาทีข้างหน้าคุณจะมองเห็นภาพของฟอเร็กซ์กระจ่างขึ้น (ลองหาข้อมูลใน Google มีเยอะครับ)

     ตลาด ฟอเรกซ์ เป็นตลาดที่ทำการซื้อหนึ่งสกุลและขายอีกหนึ่งสกุลได้ในทันที สกุลค้าขายโดยผ่ายตัวแทน โบรกเกอร์ (Broker) หรือ ตัวแทน (Dealer) และซื้อขายกันเป็นคู่ต่างสกุลเงิน ยกตัวอย่างเช่น เงินดอล์ล่ายูโร กับ ดอล์ล่าอเมริกา หรือ เงินปอนด์อังกฤษ กับ เงิน เยน ญี่ปุ่น
การค้าชนิดนี้อาจจะเข้าใจยากสักนิด อาจคิดเหมือนกับว่าการซื้อสกุลเงินเป็นการซื้อหุ้นของประเทศนั้น ๆ เมื่อคุณซื้อเงิน เยน ญี่ปุ่นเท่ากับคุณซื้อหุ้นเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่น เพราะค่าของสกุลเงินของประเทศญี่ปุ่น เป็นผลสืบเนื่องโดยตรง ที่ตลาดเล็งถึงภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคตของประเทศญี่ปุ่น
ตลาดฟอเร็กซ์ไม่มีสถานที่ตั้งหรือศูนย์กลาง หรือสำนักงานใหญ่ เหมือนตลาดหุ้นอื่น ตลาดฟอเรกซ์ ถูกจัดอยู่ในประเภท Over the Counter (OTC) หรือ ธนาคาร “Interbank” ด้วยความจริงที่ว่าตลาดทั้งหมดเดินด้วยการสื่อสารอีเลคทรดนิค ภายในเครือข่ายของธนาคารๆ ตลอด 24 ชั่วโมง

     Spote Market คืออะไร ? ตลาดสปอตมาร์เกต ก็คือตลาดที่ทำธุรกรรมการแลกเปลี่ยนสกุลเงินตามราคาปัจจุบัน Forex จัดอยู่ในประเภท สปอตมาร์เกต เพราะใช้ค่าของตัวเงินในการเทรดนั่นคือเงิน ต่างจาก Future Market ที่เราได้ยินกันในประเภทซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยี่สื่อสารที่ทันสมัย ทำให้ Spote Market ได้รับความนิยม เหนือ Futrue Market แบบ ขาดลอย เพราะผู้เทรดใน Future Market จำต้องพิจารณาควบถึงอุปสงค์ของสินค้าเกษตร รวมทั้งแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนในอนาคตด้วย ซึ่งนับวันจะได้รับความนิยมน้อยลง การทำการซื้อขายฟอร์เรกซ์ ผู้เทรดคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับความมั่งคง มั่งคั่งของประเทศที่เลือกเทรดและประเทศคู่ค้า จะเห็นว่าการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า Future Market ก็ต้องคำนึงถึงปัจจัยนี้เช่นกัน และอีกยังคำนึงถึงปัจจัยนี้เช่นกัน และอีกยังต้องคำนึงถึงอุปสงค์ของสินค้านั้น ๆ อีกด้วย การวิเคราะห์แนวโน้มราคาของสินค้าเกษตรจึงดูเหมือนกับไม่ใช่เป็นของหมู ๆ เลย Future Market จำถูกจำกัดอยู่เฉพราะในวงการพ่อค้าคนกลางของสินค้านั้น ๆ

75
นักเทรดอาจจะงงๆ กันคำว่า Volatility ว่ามันคืออะไร เรามาลองดูกันดีกว่าว่า Forex Volatility คืออะไร ใช้อย่างไร

ชั่วโมงการผันผวน


ถ้าพูดถึง Volatility หลายคนอาจจะยังงงๆว่ามันคืออะไร แต่ถ้าพูดถึง Variance(ความแปรปรวน) หรือ Standard Deviation(SD;ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน) หลายๆคนที่ศึกษาวิชาสถิติมาบ้างอาจจะคุ้นๆ ซึ่งผมจะขอกล่าวถึงตัว Variance ก่อนแล้วกันครับ

Variance หรือ ค่าความแปรปรวน คือ ค่าที่วัดความห่างของแต่ละข้อมูล ว่าห่างจากค่ากลางหรือค่าเฉลี่ยมากแค่ไหน ในทางหุ้น ก็คือ ราคาเหวี่ยงจากค่าเฉลี่ยมากแค่ไหน(MA นั่นเอง) แสดงว่า ยิ่งความความแปรปรวนมากเท่าไหร่ ราคาก็จะวิ่งออกจากค่าเฉลี่ยมากเท่านั้น แต่ค่านี้ไม่ได้บอกว่ามันจะวิ่งทางเดียวกับค่าเฉลี่ยนะครับ ซึ่งถ้าอยากรู้ว่ามันจะวิ่งไปทิศทางใดคงไม่มีใครตอบได้ครับ(ถ้ารู้คงรวยไปแล้ว 555) ซึ่งเราอาจจะต้องเรียนรู้วิธีบริหารความเสี่ยงเพิ่มเติม เพราะคงไม่มีใครสามารถใช้ข้อมูลเพียงด้านเดียวในการตัดสินใจซื้อหุ้นถูกมั้ยครับ

สำหรับเทรดเดอร์ที่เล่นภาพสั้น ก็ต้องมาดูว่าชั่วโมงใดที่คู่สกุลเงินจะมีความผันผวนมาก ซึ่งปกติในช่วงที่คู่สกุลเงินจะเกิดความผันผวนนั้นจะเป็นช่วงที่ตลาดของแต่ละประเทศนั้นเปิดให้ทำการซื้อขายพร้อมกัน จะส่งผลให้คู่สกุลเงินระหว่าง 2 ประเทศนั้นเกิดความผันผวนมาก

 
วงกลมสีส้มแรกเป็นช่วงที่ตลาดญี่ปุ่นกับลอนดอนเปิดพร้อมกัน คือเป็นช่วงคาบเกี่ยวญี่ปุ่นใกล้จะปิด และลอนดอนพึ่งจะเปิด ในช่วงนี้คู่สกุลเงิน JPY และ GBP (EUR ด้วย) จะเกิดความผันผวนเกิดขึ้น และอีกวงกลมสีส้มถัดมา เป็นช่วงที่ตลาดลอนดอน กับนิวยอร์กเปิดพร้อมกัน ในช่วงนี้คู่สกุลเงิน GBP (EUR ด้วย) และ USD ก็จะผันผวน

 ในช่วงวงกลมสีส้ม 12-15 เป็นช่วงที่ตลาดลอนดอนกับนิวยอร์กเปิดทำการซื้อขายคาบเกี่ยวกับ จากราฟเป็นการทดสอบความผันผวนของสกุลเงิน EURUSD ในช่วงเฉลี่ย 20 วัน จะสังเกตุได้ว่าช่วงที่มีความผันผวนสูงสุดของค่าเงินก็คือช่วงดังกล่าว

 
วันที่ผันผวน

            แต่ละคู่สกุลเงินก็มีความผันผวนแต่ละวันแตกต่างกันออกไป แต่โดยส่วนมากนั้นวันที่ความผันผวนน้อยที่สุดคือ วันศุกร์ เนื่องจากเทรดเดอร์ส่วนใหญ่จะปิด Position ไม่ Hold ข้ามสัปดาห์ หรือทำการ Settlement อะไรบางอย่าง ทำให้วันนั้นไม่ค่อยผันผวน

 ค่าเฉลี่ยความผันผวนแต่ละวันของสัปดาห์ – เฉลี่ยในรอบ 20 สัปดาห์ ของสกุลเงิน EURUSD จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าในวันศุกร์นั้นความผันผวนของราคาน้อยกว่าวันอื่นอย่างมีนัยสำคัญ

Forex Volatility คืออะไร
 


ความผันผวนถือเป็นสิ่งที่เทรดเดอร์ทุกคนถามหา เพราะว่าเทรดเดอร์ส่วนมากนั้นชอบเล่นในช่วงที่ตลาดมีระยะทางในการเคลื่อนไหว ซึ่งตรงนี้สามารถเข้าไปเก็บกำไรจากตรงนี้ได้ หากตลาดไหนความผันผวนต่ำ ก็จะไม่มีระยะทางให้เทรดเดอร์เข้าไปเก็บได้

 

อย่างไรก็ดีการตีความของความผันผวนไม่ใช่เพียงค่าดูว่าคู่สกุลเงินใน Forex แต่ละวันเคลื่อนไหวเท่าไหร่ สำหรับสายเล่นสั้นก็ควรดูว่าชั่วโมงไหนของการเทรดนั้นผันผวนมาก ชั่วโมงไหนผันผวนน้อย และวันไหนของสัปดาห์นั้นผันผวนมาก วันไหนผันผวนน้อย

หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 14
SMF 2.0.15 | SMF © 2011, Simple Machines
SMFAds for Free Forums