แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - นักศึกษา22

หน้า: 1 ... 9 10 [11] 12 13 14
151
เที่ยงๆ อย่างนี้มาหาความรู้กันถึงเรื่อง forex Gaps คืออะไร ใช้อย่างไร



ในทั่วไปประเภทของ Gap มีอยู่ 4 ประเภท คือ

Common gap: เป็น Gap ที่เกิดขึ้นปกติทั่วไป ไม่มีนัยสำคัญอะไร
การเทรด: เทรดเดอร์สามารถเปิดออเดอร์ตรงกันข้ามเมื่อเกิด Gap นี้เกิดขึ้นได้ โดยคาดการณ์ว่าราคาจะกลับมาปิด Gap ดังกล่าว

Breakaway gap: เป็น Gap ที่เกิดขึ้นในช่วงการเปลี่ยนแนวโน้ม มักเกิดในช่วงที่ราคาทะลุผ่านแนวรับ หรือแนวต้านสำคัญๆ ได้อย่างชัดเจน ซึ่งปกติ Gap นี้เวลาเกิดขึ้นมักจะไม่มีการลงมาปิด
การเทรด: เป็นการคาดการณ์ก่อน ในช่วงที่ราคาฟอร์มตัวอย่างชัดเจน ปกติควรเปิดออเดอร์ก่อนที่ Gap นี้จะเกิดขึ้น เพราะเนื่องจากหากเกิด Breakaway gap เกิดขึ้น ถ้าไปเปิดออเดอร์ตาม อาจจะไม่ทัน

Exhaustion gap: เป็น Gap ที่แสดงถึงการจบของแนวโน้ม โดยเป็นช่วงสุดท้ายของแนวโน้มนั้น ราคาจะกระโดดเปิด Gap ขึ้นมาเพื่อขึ้นทำจุดสูงขึ้นของรอบ หรือจุดต่ำสุดของรอบ และมาปิดภายในไม่กี่วัน
การเทรด: เปิดสถานะตรงข้ามเมื่อเกิด Gap นี้เกิดขึ้น โดยวาง Stop loss เหนือ High หรือ Low ที่เกิด

Runaway gap: เป็น Gap ที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างกลางแนวโน้ม เป็นการตอกย้ำทิศทางของแนวโน้มในช่วงนั้น
การเทรด: Gap นี้โดยทั่วไปไม่สามารถเทรดได้ แต่อาจสามารถเพิ่ม Position ของเดิมได้

– Upward gap เกิดขึ้นเมื่อ Low ของวันนั้นสูงกว่า High ของวันก่อนหน้า

            – Downward gap เกิดขึ้นเมื่อ High ของวันนั้นต่ำกว่า Low ของวันก่อนหน้า

 

Credit: CMT

Gaps คืออะไร
เทรดเดอร์ในตลาด Forex มักไม่ค่อยได้เห็นช่องว่างของราคาบนกราฟ หรือ Gap มากสักเท่าไหร่ เนื่องจากเป็นตลาดที่เปิด 24 ชั่วโมง แต่หากไปเทรดในพวกตลาดหุ้น หรือตลาดอะไรก็ตามที่มีการเปิดตลาดเป็นช่วงเวลา มักจะได้เห็นการเกิด Gap อยู่บ่อยครั้ง โดยการเกิด Gap นั้นมีเหตุผลหลักๆมาจากในช่วงที่ตลาดปิดนั้น ที่มีข่าวสำคัญ หรือเหตุการณ์สำคัญ เข้ามากระทบราคาหุ้น หรือดัชนี จนทำให้ในช่วงตลาดเปิดอีกวันหนึ่งราคาได้สะท้อนกับข่าวสารนั้นในช่วงราคาที่ต่างกันมาก จนเกิดช่องว่างของราคา

รูปแบบของ Gap (Window) โดยส่วนใหญ่จะมีอยู่ในลักษณะ 4 แบบ คือ

1. Common Gap เป็น Gap ที่พบเห็นได้ตามปกติ มักจะเกิดก่อนการประกาศจ่ายปันผล ปริมาณการซื้อขายจะเบาบาง โดยทั่วไปเมื่อเกิด Gap ขึ้นแล้ว จากนั้นไม่นานนักก็จะถูกปิด Gap ทันที คืออยู่ในช่วงเวลาแค่ไม่กี่วันหรือสัปดาห์นั่นเอง

Common-Gaps

2. Breakaway Gap ถือว่าเป็น Gap ที่พบได้ไม่บ่อยนัก และเมื่อหากเกิดขึ้นแล้ว Gap ประเภทนี้จะอยู่ในบริเวณของแนวรับและ แนวต้าน ที่ประกอบด้วย Gap ที่เป็นขาลงและขาขึ้นนั่นเอง

Breakaway-Gap-Downtrend-ok

ตามตัวอย่าง Breakaway Gap ขาลง สังเกตได้ว่าแท่งเทียนวันถัดไป(แท่งสีแดง)เปิดกระโดดลงหลุดแนวรับลงมา ทำให้เกิดช่องว่างที่เรียกว่า Gap ขึ้น

Breakaway-Gap-uptrend-ok

ตามตัวอย่าง Breakaway Gap ขาขึ้น จะสังเกตได้ว่าแท่งเทียนวันถัดไป(แท่งสีแดง)เปิดกระโดดทะลุแนวต้านขึ้นไป ทำให้เกิดช่องว่างที่เรียกว่า Gap ขึ้น

3. Runaway Gap คือลักษณะของ Gap ที่เกิดขึ้นตามแนวโน้มของตลาด (ค่าเงินหรือหุ้น) ที่มันเคลื่อนที่ ซึ่งจะประกอบด้วย Runaway Gap ที่เป็นแนวโน้มขาลง (Downtrend) และ Runaway Gap ที่เป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend)

Runaway-Gap-in-Downtrend

 ลักษณะของ Runaway Gap ที่เกิดขึ้นกับแนวโน้มขาลง หลังจากที่เกิด Gap แล้ว มักจะมีการซื้อขายด้วยปริมาณที่เพิ่มมากขึ้นตามมา

Runaway-Gap-in-Uptrend

ลักษณะของ Runaway Gap ที่เกิดขึ้นกับแนวโน้มขาขึ้นนั้น หลังจากที่เกิด Gap แล้ว  มักจะมีการซื้อขายด้วยปริมาณที่เพิ่มมากขึ้นตามมา

4. Exhausting Gap เป็นรูปแบบของ Gap ที่เกิดขึ้นในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือกลับตัวของเทรนด์ ไม่ว่าจะเป็นทั้งเทรนด์ขาขึ้นและขาลง ลักษณะคือ ในแนวโน้มขาขึ้นจะเกิดคล้ายกับ Runaway Gap แต่จะมีการปิด Gap อย่างรวดเร็ว และมีปริมาณการซื้อขายที่สูงมาก ประกอบกับราคาที่มีการลดลงอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลง


Exhausting-Gap-in-uptrend

ตามตัวอย่างของ Exhausting Gap ที่เกิดในแนวโน้มขาขึ้น ยืนยันด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง และเกิดรูปแบบการกลับตัวแนวโน้มระยะสั้นของแท่งเทียนในรูปแบบ Shooting Star

Exhausting-Gap-in-Downtrend

ตามตัวอย่างของ Exhausting Gap ที่เกิดในแนวโน้มขาลง แล้วมีการกลับตัวจากเทรนด์ขาลงเปลี่ยนเป็นเทรนด์ขาขึ้น โดยมีการยืนยันด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้น แล้วเกิดการปิด Gap อย่างรวดเร็ว และหลังจากนั้นก็เกิดแท่งเทียนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน

การเปิดแก็บที่จะถูกปิดแก็บ มันมักจะเป็นแก็บที่ไม่ถูกไล่ราคา แก็บที่ไม่ถูกไล่ราคา จะอยู่ในช่วงที่เกิด divergence ไม่ว่าขาขึ้นหรือขาลง แล้วไอ้ช่วงที่เกิดdivergence ก็จะเป็นช่วงของการจะไปเวฟ 5 เวฟ สุดท้าย ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่คนสงสัยว่าจะขึ้นหรือลงต่อไป เมื่อโดนปัจจัยภายนอกเช่นข่าวมากระตุ้น ราคามันจะกระโดดเปิดแก็บออกจากแนวรับแนวต้าน แต่ว่าราคาจะไม่โดนไล่ไปเรื่อย เพราะคนไม่ได้มั่นใจอย่างที่บอก กระโดดไปแล้วนิ่ง อาการแบบนี้แหละเดี๋ยวมันจะปิดแก็บ เพราะคนไม่แน่ใจว่าจะขึ้นหรือลงจริง

ยกตัวอย่างกรณีเปิดแก็บขึ้น เมื่อมันกระโดดออกจากแนวต้านแบบแรงๆ มักจะลงมา test ที่จุดเดิมเป็นอย่างน้อยอีก จุดที่ว่าก็คือ แนวต้านเดิม ที่มันกลายเป็นแนวรับ หลังจากถูกเบรกออกไป เพราะอยู่ในช่วงไม่แน่ใจว่าจะขึ้นต่ออีกไหมนั้นเองจึงต้องมา test ว่าตรงนี้เอาอยู่ไม่ลงไปต่ำกว่านี้ ความมั่นใจที่จะถือถึงจะมีเป็นต้น

- การเปิดแก็บที่มักจะไม่ถูกปิดแก็บ มันมักจะเกิดในช่วงที่มั่นใจว่าจะไม่ลง + กับมั่นใจว่าจะขึ้นแล้ว แก็บแบบนี้จะถูกไล่ราคา พวก macdหรือ indicator ชี้ momentum จะยกสูงแสดงให้เห็นว่าเป็น convergence การกระโดดแบบมั่นใจในทิศทางนี้มักไม่โดนลงมาปิดแก็บ เพราะมันเกิดจากความอยากได้จริง ไม่ใช่กล้าๆกลัวๆ หลังจากนั้นถ้าย่อลงมาถึงหรือเลยจุดที่เปิดแก็บ ก็ไม่เกี่ยวแล้วว่ามันลงมาเพื่อผิดแก็บ มันลงมาเพราะ take profit หรืออะไรทำนองนั้น

สรุป ประเด็นที่ต้องดูว่าแก็บไหนจะถูกปิดให้ดูที่การไล่ราคา ซึ่งจะเป็นการแสดงถึงความมั่นใจของคนในตลาด แก็บที่เปิดในช่วงที่ตลาดกล้าๆกลัวๆมักโดนปิดไม่ว่าขาขึ้นขาลง(แก็บตรงนี้มักเกิดที่แนวต้านแนวรับ ที่จะชี้วัดว่านี้จะเป็นเวฟ ไหน) แก็บที่มักไม่ถูกปิด จะเป็นแก็บในช่วงที่ตลาดมั่นใจนั้นเอง

152
มาถึงเรื่องสุดท้ายตอนบ่ายกันนะครับ เรื่อง forex วัฏจักรกราฟ คืออะไร ใช้อย่างไร

สิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับ วัฏจักรกราฟ

1.วัฏจักรกราฟ สามารถบอกการขึ้นและลงได้ โดยปกติแล้ว เรามักจะเลือก TF ทีมีขนาดใหญ่มาจนกระทั่งถึง 1 วันก่อน ซึ่งคุณสามารถมองหาวัฏจักรกราฟ ได้โดยการพิจารณาตามสูตรที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้ข้างต้นนั้นเอง

2.วัฏจักรกราฟมีความสัมพันธ์กับการทำกำไร หากเราเลือกช่วงของวงจรของกราฟที่มีขาขึ้นแล้ว หรือว่าในช่วงที่กำลังมีขาลงแล้ว เราก็สามารถประเมินได้ว่าจะต้องวาง Lot เพื่อทำกำไรจากการเทรดเท่าไหร่ดี เรื่องนี้จึงถือว่ามีประโยชน์และมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น

3.มีระบบเทคนิคที่เข้าไปจับอยู่เรียกว่าอีเลียตเวฟ สำหรับข้อสุดท้ายของ วัฏจักรกราฟ ที่น่าสนใจคือ มีระบบที่เรียกว่า อีเลียตเวฟ เข้ามาช่วยในการพิจารณาว่าวงจรของราคานั้นขึ้นหรือลงไปแล้วที่เท่าไหร่ ทำให้คุณนั้นสามารถวางแผนการเทรดได้อย่างง่ายดาย ยิ่งถ้าเป็นการเทรด forex ด้วยแล้วยิ่งง่ายมากเพิ่มขึ้นไปอีก

อิเลียตเวฟกับ วัฏจักรกราฟ

มีค่าทางเทคนิคเพื่อช่วยให้การเทรดของคุณง่ายดายยิ่งขึ้นนั่นคือการใช้ อิเลียตเวฟ เพื่อการเทรดของคุณ โดยสิ่งสำคัญที่สุดคือ คุณจะต้องทำความเข้าใจของจำนวนเวฟที่เกิดขึ้นเสียก่อน โดยปกติแล้วหากเป็นไปตามสูตรนี้เรามักจะเลือกค่าในเวฟที่สามเพื่อการทำกำไร ส่วนเวฟอื่นๆนั้น อย่าเพิ่งเล่น เพราะมีความเสี่ยงสูง

วัฏจักรกราฟ กับการเทรด forex

สำหรับวัฏจักรกราฟ กับการเทรด forex นั้นจะมีข้อดีกว่าการเอาวัฏจักรกราฟไปจับกับตลาดหุ้น กล่าวคือ เราสามารถประยุกต์ใช้หลักการได้ทั้งขาที่กราฟวิ่งขึ้น และรวมทั้งในช่วงของกราฟที่มีลักษณะของการวิ่งลงด้วย  จึงถือว่าปลอดภัยมากๆสำหรับคุณ แต่แน่นอนว่าคุณจะต้องไปทำความเข้าใจในเรื่องของอีเลียตเวฟเสียก่อนนะครับ

วัฏจักรกราฟ คืออะไร

ตัวคำศัพท์คำต่อไปที่ผู้เขียนคิดว่าน่าสนใจและมีความเกี่ยวข้องกับการเทรด forex ค่อนข้างมากคือคำว่า วัฏจักรกราฟ นั่นเอง จริงๆแล้วเรื่องนี้อาจดูเป็นเรื่องของธรรมชาติ รวมๆกับการพิจารณาทางเทคนิคควบคู่กันไปด้วย แต่เพื่อให้บทความนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับหัวข้อเรื่อง ผู้เขียนจึงขออนุญาตกล่าวถึงแต่สิ่งที่เรียกว่า วัฏจักรกราฟ แทนแล้วกันนะครับ

วัฏจักรกราฟ คืออะไร

วัฏจักรกราฟ หมายถึงกระบวนการขึ้นลงของกราฟที่เกิดขึ้น ตามวงจรราคาของการเทรด สำหรับการเทรด โดยหากเราเข้าใจเรื่องของวัฏจักรกราฟ อย่างดีแล้ว เราสามารถมองหาราคาที่เราจะเข้าได้อย่างไม่ยากนัก และที่สำคัญคือ เราสามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลงจากการเรียนรู้วัฏจักรกราฟที่ถูกต้องนั่นเอง

วัฎจักรกราฟบอกอะไรได้หลายอย่างเลย แน่นอนว่าบอกการขึ้นลงได้ชัดเจนมากที่สุด ส่วนใหญ่ก็จะเลือก TF กัน แต่มันก็ไม่ได้การันตีสูตรไหน ๆ ในการเทรดว่ามันจะได้ผล 100 % หลัก ๆ แล้วก็ต้องมานั่งวิเคราะห์กันดูเองว่าจะไปในทิศทางไหน  อย่าลืมว่าวัฏจักรกราฟกับการทำกำไรนั้นมันสัมพันธ์กันอยู่ ในการเทรดแต่ละครั้งไม่ว่าจะเลือกช่วงกราฟขาขึ้น หรือ ขาลง ก็ต้องดูว่า LOT ทีจะวางนั้นต้องเป็นแบบไหนเพื่อที่จะได้กำไรดีที่สุด เรื่องนี้ค่อนข้างสำคัญมากทีเดียว สิ่งที่เกี่ยวข้องกับกราฟนั้นยังมีตัวที่เรียกว่า อีเลียดเวฟที่เข้ามาจับอยู่อีกด้วย ซึ่งตัวนี้มันจะเข้ามาช่วยพิจารณาด้วยว่า วงจรกราฟนั้น ๆ ราคาขึ้นไปแล้วเท่าไร หรือว่าลงไปแล้วแค่ไหน ซึ่งทำให้เทรดเดอร์วางแผนการเทรดต่อไปได้



หากยังไม่เข้าใขวัฎจักรของกราฟ บางทีการเทรดก็ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ เพราะว่ามันจะต้องเข้าใจและวิเคราะห์กราฟให้เป็น วิเคราะห์ข่าวให้ได้ มันมีหลายอย่างเลยที่เป็นคุณสมบัติของเทรดเดอร์ แล้วจะทำให้ได้กำไรจากการเทรดมากกว่าเดิม

หากจะเอาแบบจริงแท้ ๆ ๆ เลยนั้น กราฟมันเอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่แล้วมันจะขึ้นจะลงก็อยู่ที่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การเมือง และอื่น ๆ ที่เป็นปัจจัยโดยตรงที่มาถึง อัตราการแลกเปลี่ยนค่าเงิน แต่มันก็มีวัฎจักรของมันนะสำหรับกราฟ บทความนี้จะพาทุกคนเข้ามาทำความเข้าใจกับคำว่า “วัฎจักรกราฟ” ว่าหมายความว่าอย่างไรกันแน่ บางคนคิดว่ามันตายตัวจริงหรือ มันจะวนเวียนเป็นวัฎจักรแบบไหนกันนะ

ความหมายของวัฎจักรกราฟ

วัฎจักรกราฟคือ เป็นการวิ่งขึ้น – วิ่งลง ของกราฟ นั่นเอง ซึ่งถ้าหากเวลาที่เทรด Forex ดูกราฟออกนั้นเราจะมองราคาอยากจะได้แบบสบาย ๆ เลย แต่ในการขึ้นลงของกราฟเราจะต้องอาศัยหลักความน่าจะเป็นจากปัจจัยต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้าง มันก็จริงที่ว่ามันขึ้นแล้วมันจะต้องมีวันลง แล้วมันจะลงตอนไหนล่ะ กราฟมันลงมันจะต้องขึ้นแล้วมันจะขึ้นตอนไหนล่ะ นั่นเป็นสิ่งที่เทรดเดอร์จะต้องวิเคราะห์กันอย่างหนักก่อนจะเทรดเลย หากมันจะดีคือ ในการขึ้น – ลง ของกราฟนั้นเราจะต้องมีกำไรหรือทำกำไรให้ได้นั่นเอง

153
บ่าย 1 แล้วครับ เรามาลองดูเรื่อง Cups และ Caps กันนะครับ forex รูปแบบ Cups และ Caps คืออะไร ใช้อย่างไร

รูปแบบ Cups: เป็นสัญญาณ ขาย ในช่วงแนวโน้มขาขึ้น โดยแท่งเทียนตรงกลางระหว่าง 3 แทงเทียนนั้นต่ำสุด

รูปแบบ Caps: เป็นสัญญาณ ซื้อ ในช่วงแนวโน้มขาลง โดยแท่งเทียนตรงกลางระหว่าง 3 แทงเทียนนั้นสูงสุด

 

Credit: J stowell’s cups n caps pattern

            จากกราฟตัวอย่าง

สัญญาณ ขายเกิดขึ้นเมื่อช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้น และฟอร์มตัวครบรูปแบบของ Cup pattern หลังจากนั้นราคาได้อ่อนตัวลงหลุด Low ของรูปแบบ Cup pattern จึงเกิดสัญญาณขาย

         สัญญาณ ซื้อเกิดขึ้นเมื่อช่วงที่ตลาดเป็นขาลง และฟอร์มตัวครบรูปแบบของ Cap pattern หลังจากนั้นราคาได้ขึ้นผ่าน High ของรูปแบบ Cap pattern จึงเกิดสัญญาณซื้อ

 

Credit: J stowell’s cups n caps pattern

            เป็นตัวอย่างของกราฟราคาพันธบัตรรัฐบาล ที่ฟอร์มตัวรูปแบบ Cap pattern ที่บริเวณจุดต่ำสุดของแนวโน้ม และสัญญาณซื้อเกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุระดับจุดสูงสุดของรูปแบบ Cap pattern นี้

รูปแบบ Cups และ Caps คืออะไร
 

เทรดเดอร์หลายคนอาจไม่ค่อยได้ยินชื่อนี้มักสักเท่าไหร่ ส่วนมากจะรู้จักแต่รูปแบบ Cup with handle ซะเป็นส่วนใหญ่ บทความนี้เราจะมานำเสนอการเทรดรูปแบบ Cups และ Caps หรือถ้าแปลเป็นไทยง่ายๆก็คือ รูปแบบหมวก และรูปแบบถ้วย โดยคีย์สำคัญของรูปแบบนี้เลยคือเป็นการเทรดแบบสั้นๆ(Short-term) ซึ่งแต่จากรูปแบบ Cup with handle ที่เป็นการเทรดแบบยาว (long-term)

รายละเอียดของรูปแบบ Cups และ Caps นั้นจะประกอบด้วยแท่งเทียน 3 แท่งเทียน หรือ 3 bars กรณีใช้ bar charts

154
มาถึงอีก 1 บัญชีทีมีบางคนเรียกว่า forex ฟีโบนาชี หรือ ฟีโบนัชชี  เรามาดูกันนะครับ ว่าเป็นอย่างไร



การใช้ ฟีโบนาชี

1.ใช้คู่กับอีเลียตเวฟ

คุณสามารถเลือกใช้ฟีโบนาชี + อีเลียตเวฟ หรือเครื่องมืออื่นๆในตัวที่คุณถนัดหรือว่ามีความชำนาญก็ได้ แต่ในทัศนะของผมแล้ว ผมค่อนข้างที่จะชื่นชอบการจับคู่กันของฟีโบนาชีและอีเลียตเวฟมากกว่า เพราะว่าสามารถคาดการณ์ผลได้มากถึง 80% เลยทีเดียว

2.ใช้หลักการ Money Management

นอกเหนือจากข้อที่ 1 แล้ว เพื่อให้คุณสามารถพอร์ตการลงทุนที่เติบโต ต้องไม่ลืมในการทำ MM ประกอบการลงทุนด้วยเสมอๆนะครับ เพราะว่าเครื่องมือทุกตัวก็จะต้องมีช่วงที่มันทำกำไรได้น้อยเช่นเดียวกัน

กล่าวโดยสรุปแล้ว ถือว่าเครื่องมืออินดี้อย่าง ฟีโบนาชี จัดเป็นเครื่องมือที่ช่วยคาดการณ์ การทำกำไรได้ว่าเราควรที่จะ stop profit ที่ค่าตรงส่วนไหน ซึ่งผมบอกเลยครับว่าถ้าคุณมีความชำนาญในค่าของฟีโบนาชี และการใช้อีเลียตเวฟแล้ว ผลการคาดการณ์ออกมานั้นจะตรงอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว แต่อย่างที่กล่าวครับว่า มันเป็นเพียงแค่เครื่องมือตัวหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นต้องใช้คู่กับหลักการบริหารจัดการการเงินของคุณควบคู่ไปด้วย เพื่อการทำกำไรจาก forex อย่างยั่งยืนนั่นเอง

ฟีโบนาชี คืออะไร

คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับทางเทคนิคการเทรด forex อีกคำหนึ่งที่มีความสำคัญมากๆ และสามารถช่วยคาดการณ์อนาคตของเราได้อย่างแม่นยำ อินดี้ที่เราจะกล่าวถึงตัวนี้มีชื่อเรียกว่า ฟีโบนาชี ดังนั้นบทความนี้ เรามาศึกษาลักษณะของ ฟีโบนาชี ในแบบที่ชาวบ้านสามารถเข้าใจได้อย่างง่ายๆกันครับ

ฟีโบนาชี คืออะไร

คำว่า ฟีโบนาชี หมายถึงลำดับเลขของฟีโบนาชี ซึ่งเรียงเลขไปในรูปแบบ 0,1,2,3,5,8,13,21,34,55,89,144,233,377,610,987,1597,2584,4181,6765,10946  โดยคุณอาจนึกถึงลักษณะของก้นหอยก็ได้ครับ การขดม้วนเป็นวงกลมของก้นหอยนั้นเป็นลักษณะของฟีโบนาชี หรืออาจเป็นเมล็ดในดอกทานตะวันก็ได้ ซึ่งเข้าข่ายลักษณะของฟีโบนาชี เช่นเดียวกัน โดยค่าของฟีโบนาชี ถูกนำมาใช้ประกอบการเทรด forex ซึ่งสามารถคาดการณ์จุดที่จะเปิดออเดอร์ หรือปิดออเดอร์ได้อย่างแม่นยำมากๆ

ประโยชน์ของการใช้ ฟีโบนาชี กับการเทรด forex

1.ใช้เป็นจุดในการมองหาแนวรับแนวต้าน

นักเทรด forex จำนวนมากต่างเลือกใช้ฟีโบนาชี เพื่อมองหาระดับของแนวรับ และแนวต้านของราคา เพื่อใช้ในการเปิดออเดอร์ซื้อ หรือขาย ซึ่งนักเทรดมักจะใช้อินดี้ตัวนี้ร่วมกับตัวอื่นๆ เพื่อความมั่นใจในการเข้าเทรดของนักเทรดต่างๆ

2.ใช้กำหนดจุดในการทำกำไร

เมื่อผู้เทรดทำการเทรดเข้าไปแล้ว ก็จะทำการลากเส้นฟีโบนาชี ขึ้นมาอีกครั้งเพื่อทำการดูจุดที่จะขายเพื่อทำกำไร ตรงนี้ถ้าใช้คู่กับการวิเคราะห์อีเลียตเวฟ จะมีความแม่นยำที่สูงมากๆ

การใช้เครื่องมือฟังก์ชั่น Fibonacci นั้นเป็นการใช้หลักการ การลำดับตัวเลขทางคณิตศาสตร์ ที่นักเทรดนิยมใช้ในการหาแนวรับ – แนวต้าน และการหาเป้าหมายของกราฟ โดยฟังก์ชั่น Fibonacci ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการคาดคะเนหรือการสมมุติตามหลักการทางตัวเลขของ Fibonacci ขึ้นมา คล้ายๆ กับ Indicators ที่มีเพื่อใช้ในการวิเคราะห์กราฟ ซึ่งไม่ได้ระบุว่ามีความแม่นยำถึง 100% เหมือนกัน แต่ทั้งนี้ Fibonacci ก็จัดเป็น 1 ในเครื่องมือที่ใช้งานได้ดีในการมองหาแนวโน้ม และการคาดการณ์ของกราฟในอนาคต นักเทรดจำเป็นที่จะต้องศึกษาไว้เพื่อการใช้งาน หรือนำเข้าไปผสมผสานกับระบบเทรดเพื่อบริหารพอร์ตการลงทุนของแต่ละบุคคลต่อไป

Fibonacci (ฟีโบนัชชี)

   เชื่อว่าหลายๆ คนที่อยู่ในวงการตลาดฟอเร็กซ์มักจะได้ยินคำว่า Fibonacci หรือ Fibo (ฟีโบ) มาบ้าง ซึ่งเจ้า Fibonacci ก็คือ จำนวนต่างๆ ที่อยู่ในลำดับจำนวนเต็ม โดยชื่อของจำนวนฟีโบนัชชีตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลีชื่อ เลโอนาร์โดแห่งปีซา (Leonardo de Pisa) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามฟีโบนัชชี (Fibonacci) ผู้ค้นพบจำนวนฟีโบนัชชีในต้นศตวรรษที่ 13 (แหล่งข้อมูลอ้างอิง : เวปไซต์ Wikipedia)
     แล้วฟีโบนัชชีเกี่ยวของกับฟอเร็กซ์ยังไง ?? ฟีโบนัชชีถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือบนฟังก์ชั่นของโปรแกรมเทรด Meta trader (MT4) โดยใช้หลักการเดียวกับการลำดับตัวเลขทางคณิตศาสตร์หรือใช้ในการคาดการณ์ตำแหน่งที่กราฟจะมีการเคลื่อนไหวอยู่ในในรูปแบบของลำดับขั้นทางตัวเลขต่างๆ โดยฟีโบนัชชีในโปรแกรม MT4 นั้นมีด้วยกัน 2 รูปแบบคือ

1. Fibonacci Retracement
2. Fibonacci Expansion

155
มาพบกันกับอีกหนึ่งบัญชีของ Forex บัญชี Standard (pro) คืออะไร ใช้อย่างไร


จุดเด่นของบัญชี Standard (pro)

1.เป็นบัญชีที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่มีความเป็นมืออาชีพในการเทรด forex แล้ว เพราะจะมีการเทรดได้หลายคู่เงินและสามารถใช้เครื่องมือต่างๆที่มีอยู่ในโบรกเกอร์นั้นๆได้มากขึ้น

2.มีการคิดค่าสเปรดที่ต่ำมากกว่าบัญชีแบบ cen และ แบบmini ทำให้คุณมีโอกาสในการทำเงินและทำกำไรจากการเทรดได้มากกว่าบัญชีแบบทั่วๆไปดังที่กล่าวมาแล้วหลายเท่า

3.ประเภทของบัญชีนี้มักจะเป็นแบบ NDD จึงทำให้การเทรดนั้นไม่ต้องผ่านทางโบรกเกอร์ แต่เป็นการเทรดโดยตรงเข้าสู่ระบบกลาง ซึ่งส่งผลให้คุณสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้เร็วกว่าบัญชีแบบสองประเภทแรก ทำให้สามารถทำกำไรได้ทันในช่วงเวลาที่มีความสำคัญมากๆ เช่นช่วงข่าวเป็นต้น

4.หมดปัญหาเรื่องของอาการรีโควท ซึ่งถือเป็นอาการที่ใครๆก็ไม่ชอบทั้งนั้น เพราะทำให้เราไม่สามารถเปิดคำสั่งซื้อในราคาที่ต้องการได้ทัน หรือขายราคาออกเพื่อการทำกำไรได้ทันนั่นเอง

ใครที่เหมาะสมสำหรับการใช้บัญชี Standard (pro)

สำหรับบัญชี Standard (pro) ผู้เขียนเห็นว่าเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีความชำนาญในการเทรด forex ในระดับหนึ่งแล้ว เนื่องมาจากเครื่องมือต่างๆที่ใช้นั้นจะออกแบบมาเพื่อให้ง่ายต่อการทำกำไร ซึ่งมีความซับซ้อนมากกว่า แต่อีกอย่างหนึ่งที่คุณต้องทราบคือ เมื่อเลือกใช้ บัญชี Standard (pro) โปรดสังเกตด้วยว่า

        1.มีการเก็บค่า Commission สำหรับการเทรดแต่ละครั้งด้วยหรือไม่

        2.อัตราค่า สเปรดนั้นเป็นอย่างไร ถ้าไม่ได้เริ่มต้นจาก 0 อย่าเพิ่งเลือกใช้นะครับ

        3.เลือกดูตรงการการันตีว่าจะไม่เกิดรีโควตหรือไม่ เพราะเสี้ยววินาทีของการส่งคำสั่งอาจหมายถึงกำไรหรือขาดทุนได้

บัญชี Standard (pro) คืออะไร

บัญชีสำหรับใช้ในการเทรด forex ที่สูงขึ้นมากว่าบัญชี cen คือบัญชีในกลุ่ม บัญชี Standard (pro) หรือบางแห่งก็อาจเรียกว่าบัญชี Standard ซึ่งบัญชีแบบนี้ถือเป็นบัญชีมาตรฐานของการเทรด forex หากคุณไม่รู้ว่าตนเองนั้นจะต้องเริ่มต้นเทรดที่บัญชีไหนดี ก็สามารถเลือกใช้บัญชี Standard (pro) เป็นจุดเริ่มต้นในการเทรดได้ โดยมีข้อแม้ว่าคุณควรจะผ่านการเทรดจากบัญชี cen มาแล้ว

บัญชี Standard (pro) คืออะไร

บัญชี Standard (pro) คือบัญชีมาตรฐานของการโบรกเกอร์ต่างๆ โดยมีจุดเด่นประการสำคัญคือ จำนวนเงินหน่วยที่ใช้ในการเทรดนั้นจะมีค่าตัวเลขเป็นหลักดอลล่าร์ หรือเป็นแบบจำนวนทศนิยมห้าตำแหน่ง และเป็นบัญชีที่สามารถทำกำไรได้ง่ายกว่าบัญชีแบบ cen และสามารถทำกำไรได้สูงด้วย แต่ในทางตรงกันข้าม การขาดทุนก็สูงด้วยเช่นเดียวกัน

บัญชีฟอเร็กซ์ Pro-Standard (ฟอเร็กซ์โปร) ได้รับเลือกโดยผู้เทรดมืออาชีพที่ต้องการดำเนินการคำสั่งแบบทันที โดยไม่มีการรีโควตเป็นเงื่อนไขหลัก ลักษณะของบัญชีซื้อขายฟอเร็กซ์นี้ ได้แก่ สเปรดไม่คงที่, 5 ตำแหน่งหลังจุดทศนิยม, ดำเนินการคำสั่งด้วยโหมด Market Execution

156
มาพบกันกับอีกบัญชีในวงการ Forex กันครับ วันนี้ขอเสนอคำว่า forex บัญชี real คืออะไร ใช้อย่างไ

ข้อดีของการเลือก บัญชี real

1.ทำให้คุณได้เงินจริง

จะมัวไปนั่งเสียเวลาในการเทรด เดโมไปทำไมครับ อย่าเลย ผมว่าถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องโชว์ความสามารถของตนเอง ด้วยการเลือกเทรดของจริงเลยดีกว่า การเทรดของจริง เมื่อคุณได้กำไร สิ่งที่ตามมาคือ คุณก็จะได้เงินจริงๆด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นจงเลือกเทรดด้วยเงินจริงจะดีที่สุด

2.ทำให้คุณสามารถควบคุมกำไรได้

เรื่องนี้ถ้าคุณเปิด บัญชี real แบบมีค่าคอม จะเข้าใจง่ายกว่า เพราะถ้าเราสามารถลบค่าสเปรดออกไปได้ โอกาสที่เราจะทำกำไร และการควบคุมผลกำไรก็จะสูงกว่าอย่างมากครับ

ดังนั้นจงระลึกเสมอว่า เมื่อใดก็ตามที่คุณตัดสินใจเปิดบัญชี real นั่นหมายความว่า คุณได้ตัดสินใจแล้วว่าจะเริ่มต้นเทรด forex ด้วยความตั้งใจ ดังนั้นจงอย่าลืมเรื่องของการใช้กลยุทธ์ การบริหารจัดการการเงิน รวมถึงหลักจิตวิทยาต่างๆด้วย เพื่อให้คุณสามารถทำเงินได้อย่างแท้จริงในตลาด forexนี้

บัญชี real คืออะไร

บัญชี real คือ บัญชีที่เรานั้นเปิดขึ้นกับทางโบรกเกอร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น fbs.com หรือ exness.com เป็นต้น โดยมีการฝากเงินจริงเข้าไปในบัญชีก่อนที่จะทำการเทรด forex ส่งผลให้กำไรที่เราได้รับนั้นเป็นกำไรที่สามารถถอนออกมาได้จริง และแน่นอนว่าในมุมกลับกันหากเราขาดทุน ก็จะขาดทุนจริงด้วย

บัญชี real คืออะไร

โดยปกติแล้วเมื่อเราทำการเปิดบัญชีกับทางโบรกเกอร์ที่ให้บริการในการเทรด forex ก็จะมีบัญชีให้เลือกมากมายหลายรูปแบบ ที่ตอบสนองต่อความต้องการของเรา แต่ถ้าหากแบ่งเป็นประเภทแล้ว บัญชีก็จะแบ่งออกได้สองแบบคือ 1.แบบเดโม และ 2.บัญชี real สำหรับบทความนี้ เราจะไปศึกษา ถึงรูปแบบของบัญชี real กันครับ

รูปแบบของบัญชี real

รูปแบบของ บัญชี real นั้นมีอยู่หลากหลายชื่อ แต่หากแบบตามความคิดของผมแล้ว จะสามารถจัดแบ่งออกมาได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆดังต่อไปนี้คือ

1.แบบไม่คิดค่าธรรมเนียมการเทรด

แบบที่หนึ่งนี้ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่ที่เทรด forex มักจะเลือกบัญชี real ที่มีลักษณะการเทรด forex แบบนี้ แต่จริงๆแล้วค่าธรรมเนียมของการเทรดนั้นอยู่ตรงค่า สเปรดนั่นเอง ซึ่งทำให้เราอาจไม่สามารถเลือกเทรดได้ในบางช่วงเวลา เพราะว่าการแกว่งตัวของค่านี้มีสูงมาก

2.แบบคิดค่าคอมมิชชั่น

แบบที่สองนี้เหมาะสมสำหรับคนที่มีทุนมากๆ และเปิดการเทรดในแต่ละตาที่มีจำนวน Lot สูงๆ เช่น 1.0 ขึ้นไป ซึ่งแบบนี้นั้นโอกาสที่จะทำกำไรก็จะมีสูงกว่า เพราะไม่เจอปัญหาในเรื่องของค่าสเปรด ดังนั้นหากคุณพอมีเงินแล้ว ผมแนะนำว่าเปิดบัญชี real แบบที่มีค่าคอมมิชชั่นน่าจะดีกว่าครับ


157
บทนี้ทาง exness-free ขอนำเสนอเรื่อง forex บัญชี pamm , mam คืออะไร ใช้อย่างไร

บัญชี mam คืออะไร

หากเปรียบว่า บัญชี pamm เป็นแบบมีผู้จัดการกองทุนแล้ว บัญชี mam หมายถึง เป็นผู้จัดการกองทุนแบบส่วนตัว คือหมายถึงว่าเข้ามาทำหน้าที่ในการดูแล Port การลงทุนของคุณเลย โดยรูปแบบนี้ผู้จัดการกองทุนก็จะเก็บค่าคอมมิชชั่นทุกครั้งที่มีการเทรด ซึ่งก่อนทุนแบบนี้นั้นผู้เขียนเห็นว่าเหมาะสมกับผู้ที่มีทุนมากๆ และสามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดีเท่านั้น

ข้อควรระวังในการเปิดบัญชี mam

ข้อควรระวังก็จะเหมือนกับการเปิดบัญชีแบบ pamm นั่นเอง แต่เพียงว่า คุณสามารถเข้าถึงผู้จัดการกองทุนของคุณได้ง่ายกว่า ดังนั้นความไว้เนื้อเชื่อใจจึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการเปิดบัญชี mam ถ้าคุณรู้สึกว่าคนที่จะเข้ามาทำการดูแลเงินทุนของคุณนั้นไม่น่าไว้วางใจ ก็อย่าเปิดบัญชี mam เด็ดขาดนะครับ ไม่อย่างนั้นแล้วหากเกิดเรื่องเสียหายขึ้น คุณจะได้รับความเดือดร้อนมากกว่า

บทวิเคราะห์สำคัญ

สำหรับผู้เขียนแล้ว มองอย่างนี้ครับว่า หากคุณต้องการเทรด forex แต่ว่าทักษะในการเทรดของคุณนั้นมีจำกัด หรือแม้กระทั่งคุณนั้นไม่มีเวลาในการเทรดก็ตาม ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว ผมแนะนำว่าคุณควรที่จะเลือกใช้บริการกองทุน pamm หรือ mam แทนครับ ซึ่งแน่นอนว่าเราก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ แต่ก็น่าจะเสี่ยงน้อยกว่าตัวเราเองลงไปเทรด forex จริงไหมครับ

บัญชี pamm , mam คืออะไร

ผมอยากให้คุณลองจินตนาการถึงตอนที่คุณมีเงินสักก้อนหนึ่ง แต่ไม่ต้องการแบกรับความเสี่ยงในการเทรดด้วยตนเองในตลาดหุ้น คุณจะตัดสินใจทำอย่างไรครับ ถ้าเป็นผมผมจะเลือกใช้กองทุนรวม หรือให้มีผู้จัดการกองทุนเข้ามาดูแลเงินของผม และฝากเขาเทรด ฉันใดก็ฉันนั้นกับคำศัพท์ที่ว่า บัญชี pamm , mam คืออะไร มาศึกษาความหมายของ 2 คำนี้กันครับ

บัญชี pamm คืออะไร

บัญชี pamm นั้นคือ บัญชีสำหรับผู้ที่ต้องการเทรด forex โดยให้ตัวแทน หรือเราจะเรียกว่า ผู้จัดการกองทุน ทำหน้าที่ในการเทรดแทนเราได้นั่นเอง ซึ่งก็จะอารมณ์คล้ายๆกับเราซื้อกองทุนรวมเลยนะครับ เป็นแบบเดียวกันเลย โดยอัตราการจ่ายผลตอบแทนนั้น ก็อาจมีการตกลงกันเช่น จ่ายทุกสัปดาห์ ทุกเดือน หรือเท่าใดก็ตาม ขึ้นอยู่กับการเปิดกองทุนนั้นๆ

ข้อควรระวังในการเปิดบัญชี pamm

สำหรับข้อควรระวังของการเปิดบัญชี pamm นั้น คือคุณต้องเลือกผู้จัดการกองทุนคุณที่มีประวัติดีเสียหน่อย เพราะไม่อย่างนั้นแล้วถ้าเอาเงินของคุณไปฝากไว้กับคนที่ไม่เก่ง หรือว่าผู้จัดการกองทุนที่ไม่มีความสามารถแล้ว ก็เป็นไปได้สูงมากที่คุณจะเสียเงินที่หามาได้ และที่สำคัญทาง ผู้จัดการกองทุนจะไม่ได้เข้ามารับผิดชอบในส่วนนี้ด้วยกับคุณ

บัญชี PAMM คืออะไร?  คล้ายๆ กับผู้จัดการกองทุนขนาดเล็กจิ๋วไปจนถึงระดับกลางๆ ถ้าเราเทรดได้สถิติดี เทรดเก่ง แต่มีเงินไม่มาก อยากหาทุนในรูปแบบอื่นเพิ่ม  หรือมีมากแต่อยากได้รายได้เพิ่ม หรืออยากยกระดับตนเองเพื่อระดมทุน  ก็สามารถเปิดบัญชี PAMM แล้วให้คนมาเทรดกับเราได้ โดยคิดค่าธรรมเนียมหรือเปอร์เซ็นจากรายได้ เป็นกี่เปอร์เซ็นแล้วแต่ตกลง ปกติจะคิดกันที่ 20-30% ของกำไร   โดยผู้ร่วมลงทุนจะต้องเป็นผู้ยอมรับความเสี่ยงเอง ถ้าคนที่เป็นผู้จัดการกองทุนเกิดเทรดเสีย ผู้ร่วมลงทุนก็ไม่มีสิทธิ์ไปขอเรียกเงินคืนนะครับ  แต่ถ้าเทรดได้ เราก็จะได้ โดยปกติจะปันผลทุกเดือน หรือมีวันครบอายุ 1 เดือน 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี

ฉะนั้น จะเลือกลงทุนกับใครต้องดูสถิติดีๆ ทุกโบรกเกอร์จะมีสถิติให้เราตัดสินใจครับ ขอแนะนำว่าควรดูสถิติย้อนหลัง รวมถึงประวัติในการเปิดบัญชี PAMM ของทางผู้จัดการด้วย  เช่น ผู้จัดการ A ทำรายได้  500% ใน 2 อาทิตย์ และในอีกสองอาทิตย์จะปันผล  ซึ่งเป็นตัวเลขผลกำไรที่สูง แต่พอไปดูประวัติ เขากลับล้างพอร์ตมาแล้วเป็นสิบรอบ  แบบนี้ให้เผ่นครับ!!

MAM คืออะไร?  คล้ายกับ Pamm แต่เป็นผู้จัดการหลายบัญชีแบบโดยตรง โดยผู้จัดการบัญชีจะสามารถกำหนดได้ว่า จะเก็บค่านายหน้าที่เท่าไหร่ แทนที่จะเก็บเป็นเปอร์เซ็นแบบ PAMM

ส่วนตัวแล้ว สำหรับผู้จัดการกองทุน ผมคิดว่า PAMM ดีกว่า และง่ายกว่า เพราะผู้ลงทุนจะสามารถเลือก COPY เทรดได้เลย และโบรกเกอร์ที่มีบัญชี PAMM จะเจาะซับพอร์ทระบบกองทุนมากกว่า

โบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ที่มี บัญชี PAMM/MAM
exness                     MAM
roboforex                 MAM
instaforex                 MAM / PAMM
fbs                           non
weltrade                   PAMM
fxpro                        MAM / PAMM
avatrade หรือ avafx    MAM / PAMM
FIBO Group              MAM / PAMM
Admiral Markets        MAM
XM                           MAM
IronFX                      MAM / PAMM
FxNet                       MAM / PAMM
Markets.com             MAM
fxdd                         MAM
Forex4you                MAM / PAMM
FXopen                    MAM / PAMM
Orbex                      MAM
FXCM                       MAM / PAMM
FXOptimax               MAM / PAMM
OANDA                    MAM / PAMM
fxprimus                  MAM
hotforex                   MAM / PAMM

158
เรื่องต่อมา มาต่อกันด้วยเรื่องของ forex บัญชี Micro (mini) คืออะไร ใช้อย่างไร

ข้อควรระวังของการเทรดโดยบัญชี Micro (mini)

1.ระวังเรื่องของค่าสเปรดนะครับ โดยปกติแล้วบัญชี Micro (mini) หากเป็นคู่เงินที่ไม่ค่อยมีการเทรดกันในตลาด มันจะมีค่าสเปรดที่ค่อนข้างสูงมาก ดังนั้นถ้าคุณเทรดในบัญชี Micro (mini) จงเลือกเทรดเฉพาะ 8 คู่เงินหลัก ไม่อย่างนั้นพอกดคำสั่งซื้อไป ค่าเสปรดก็กินเงินเราไปเกือบหมดบัญชีแล้ว

2.หากระบบไม่ดีมีโอกาสล้างพอร์ตได้เร็วมาก อันเนื่องมาจากการทำกำไรและการเปิดจำนวนค่า Lot ที่สามารถทำได้สูงมากขึ้นนั่นเองครับ

บัญชี Micro (mini) เหมาะสมกับใคร

1.อย่างที่กล่าวไปแล้วในช่วงแรก ว่าเหมาะสมแล้วสำหรับคนที่มีประสบการณ์ในการเทรด forex ในบัญชีขนาดเล็กอย่างบัญชี cenมาแล้ว

2.ผู้ที่ต้องการทำกำไรมากขึ้น ซึ่งบัญชี Micro (mini) ถือเป็นบัญชีที่ง่าย มีการส่งคำสั่งที่ไม่ยุ่งยาก และสามารถทำกำไรให้กับคุณได้ตั้งแต่วันละ 1-3000 บาทเลยทีเดียวนะครับ

นอกเหนือจากบัญชี Micro (mini) ยังมีบัญชีในกลุ่มที่เป็นแบบ Pro และบัญชีในรูปแบบอื่นๆให้เราได้เลือกอีกมากมาย หลักการคือ เมื่อเราสามารถเทรดในบัญชี Micro (mini) จนมีความคล่องและมีความเข้าใจดีแล้ว ก็ให้ลองหาว่าจุดที่เราต้องเติมเต็มในการเทรดคือจุดไหนบ้าง เพื่อที่จะทำให้คุณสามารถเทรดทำกำไรได้เพิ่มขึ้น บนเงื่อนไขหรือบริบทต่างๆของคุณ

บัญชี Micro (mini) คืออะไร

บัญชีการเทรด forex เป็นลำดับที่สอง ที่คุณควรพิจารณาเพื่อใช้ประกอบการเทรด forex คือบัญชี Micro (mini) สำหรับบัญชีนี้เป็นอย่างไร และมีประโยชน์อย่างไรบ้างสำหรับคุณ เรามาศึกษาคำศัพท์คำว่า บัญชี Micro (mini) ไปพร้อมๆกันนะครับ

บัญชี Micro (mini) คืออะไร คืออะไร

อันดับแรกมาทำความเข้าใจความหมายของคำว่า บัญชี Micro (mini) กันเสียก่อน บัญชี Micro (mini) หมายถึงบัญชีที่มีหน่วย Lot ในการเทรดตั้งแต่ 0.01 lot เป็นต้นไป และผลกำไรที่ได้นั้นจะเป็นแบบ หน่วยเหรียญหรือบาทเป็นต้นไป ถือเป็นบัญชีที่ง่ายในการเทรด และมีคู่เงินและตลาดให้เทรดเพิ่มขึ้นกว่าบัญชีเริ่มต้นอย่างบัญชี cen

ประโยชน์ของการใช้ บัญชี Micro (mini) คืออะไร

1.เหมาะสำหรับผู้ที่ฝึกการเทรดในบัญชี forex แบบ cen จนมีความชำนาญแล้ว และมีความเข้าใจในเครื่องมืออย่าง MT4 หรือ MT5 อย่างมีความชำนาญแล้ว

2.เพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้มากกว่าบัญชีแบบ cen เพราะมูลค่าของ Lot ที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง

3.มีค่าสเปรดที่ไม่สูงมากนักในคู่เงินหลัก ทำให้การใช้กราฟเพื่อการวิเคราะห์และเทรดนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้สำหรับคุณ โอกาสเกิดการ Error ของข้อมูลมีน้อยกว่า (แต่ไม่ใช่ไม่มีนะครับ เพียงแค่น้อยกว่าบัญชี cen เท่านั้น)

บัญชี cent และ บัญชี mini ต่างกันอย่างไร
Posted on Friday, 15 August 2014
ในการเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ exness จะมีให้เราเลือกบัญชี  บัญชี mini หรือ บัญชี cent
หลายคนก็พอรู้แล้วแต่บางคนอาจจะยังไม่รู้ วันนี้ก็เลยเอามารีวิวให้ดูกันนะครับ

บัญชี mini คือบัญชีที่ฝากเงินเข้าไปเป็นหน่วยเงิน USD ($) ดอลลาร์

ตัวอย่าง ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนตอนนี้อยู่ที่ 32 บาท = 1$  สมมติว่าไม่มีค่าธรรมเนียมการฝากนะครับ

ถ้าเราฝากเงินเข้าไป 3,200 บาท  ก็จะมีเงินในบัญชี exness เท่ากับ = 100 USD

ถ้าเราเปิดคำสั่งซื้อขาย กำไร ขาดทุน ก็จะมีหน่วยเงินเป็นดอลลาร์  เช่น

+2 USD  หมายถึงมีกำไร 2 ดอลลาร์ = 64 บาท
- 2 USD  "---------" ขาดทุน 2 ดอลลาร์ =64 บาท


บัญชี mini คือบัญชีที่ฝากเงินเข้าไปเป็นหน่วยเงิน USC  ( 100 cent = 1$)

ตัวอย่าง ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนตอนนี้อยู่ที่ 32 บาท = 1$  สมมติว่าไม่มีค่าธรรมเนียมการฝากนะครับ
ถ้าเราฝากเงินเข้าไป 3,200 บาท  ก็จะมีเงินในบัญชี exness เท่ากับ = 10,000 USC

ถ้าเราเปิดคำสั่งซื้อขาย กำไร ขาดทุน ก็จะมีหน่วยเงินเป็นดอลลาร์  เช่น

+2 USD  หมายถึงมีกำไร 0.02 ดอลลาร์ = 0.64  บาท
- 2 USD  "---------" ขาดทุน 2 ดอลลาร์ = 0.64 บาท


สรุปคือ บัญชี mini ถ้าเราสามารถทำกำไรได้ถึง 100  เราจะได้เงิน 3200 บาท

           บัญชี cent  ถ้าเราสามารถทำกำไรได้ถึง 100 เราจะได้แค่  32 บาท

159
Forex today วันนี้ขอเสนอเรื่อง บัญชี ECN

ข้อจำกัดของการเลือกใช้บัญชีแบบ ECN

1.ใช้ยอดเงินในการเปิดบัญชีสูง

ข้อจำกัดประการแรกของบัญชี ECN คือการใช้เงินฝากเข้าไปในระบบที่ค่อนข้างสูงมาก เช่น 1,000 เหรียญ (36,000 บาท) โดยประมาณ ซึ่งส่งผลให้บัญชีนี้เหมาะสมกับผู้ที่มีเงินฝากเยอะมากในบัญชีนั่นเอง

2.ทุกครั้งที่มีการเทรดจะมีการหักค่าคอมมิชชั่น

แม้ว่าระบบบัญชี ECN ในหลายๆที่จะไม่มีการคิดค่าสเปรด หรือว่าเริ่มต้นค่านี้จาก 0 ก็ตาม แต่ทุกๆการเทรดนั้น คุณจะต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้กับทางโบรกเกอร์ด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่าหากเป็นการเทรดแบบเล่นๆ รับรองว่าคุณนั้นจะไม่สามารถทำเงินและทำกำไรได้จากตลาดแห่งนี้อย่างแน่นอน

โดยสรุปแล้ว การเลือกประเภทของบัญชีกับการเทรด forex นั้น ให้เลือกบัญชีที่มีความสอดคล้อง เหมาะสมกับบริบทของการเทรดของเราเป็นสำคัญ ไม่อย่างนั้นแล้วแม้เราเลือกบัญชีเป็นแบบ ECN แต่บริบทการเทรดของเราไม่สอดคล้อง ก็อาจทำให้เราขาดทุนได้ง่ายๆ สู้ไปเลือกเปิดบัญชี pamm หรือ mam ยังปลอดภัยเสียกว่า

บัญชี ECN คืออะไร

บัญชีที่เราใช้ในการเปิดเพื่อเทรด forex นั้นมีอยู่หลากหลายรูปแบบมาก ซึ่งแต่ละรูปแบบก็ออกแบบมาเพื่อให้เข้ากับแนวทางของตนเองมากยิ่งขึ้น สำหรับบทความนี้จะขอเสนอคำศัพท์หนึ่งคำที่เกี่ยวข้องกับการเทรด forex และเป็นบัญชีที่สำคัญอีกหนึ่งบัญชี คือประเภทบัญชี ECN

บัญชี ECN คืออะไร

บัญชี ECN หมายถึงบัญชีที่ทำให้คุณสามารถเชื่อต่อคำสั่งซื้อขาย เข้ากับตลาดใหญ่โดยตรง ส่งผลให้การส่งคำสั่งซื้อขายสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว และมีความยืดหยุ่นในการทำกำไรมากกว่าบัญชีประเภทอื่นๆ

ข้อดีของการเลือกใช้บัญชี ECN

1.ค่าสเปรดเริ่มต้นที่ 0

ผู้เขียนว่าข้อดีของบัญชีแบบ ECN อาจเป็นข้อดีที่สุดของการเทรดเลยก็ว่าได้ เพราะว่า ค่าสเปรดนั้นจะเริ่มต้นจาก 0 ซึ่งนั่นหมายความว่าคุณมีโอกาสในการทำเงินได้มากกว่า และลดความเสี่ยงอันเนื่องมาจากการแกว่งตัวของค่าสเปรดได้มากกว่าแบบทั่วๆไป

2.รับข่าวแรงๆได้

เมื่อมีช่าวแรงๆ อัตร่าสเปรดก็ยังคงเป็น 0 อยู่นั่นเอง ซึ่งเท่ากับว่าคุณก็ยังคงได้ประโยชน์จากค่าตัวนี้อยู่ และไม่ต้องกังวลว่าแม้ว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญที่มีข่าว คุณอาจไม่สามารถเข้าเทรดได้อันเนื่องมาจากค่า สเปรดที่แปรผันจนแพงมาก

3.ความเร็วของเซิฟเวอร์เร็วมาก

ความเร็วของระบบเซิฟเวอร์ที่เร็วมากช่วยให้เราสามารถเข้าไปจับกับราคาต่างๆในตลาดได้อย่างรวดเร็ว แถมได้ราคาที่ดีที่สุด และถูกที่สุดในขณะนั้น อีกทั้งการซื้อขายก็เป็นการเทรดร่วมกับผู้คนจากทั่วโลกด้วย ดังนั้นมันจึงง่ายสำหรับคุณนั่นเอง

ECN คืออะไร และคุณสมบัติหลักของโบรกเกอร์ ECN คืออะไร?

ECN (Electronic Communication Network) คือเครือข่ายการซื้อขายอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหลีกเลี่ยงตัวกลางเมื่อทำธุรกรรมบนตลาดฟอเร็กซ์และมอบเงื่อนไขที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้สำหรับแต่ละคำสั่งของคุณ พร้อมด้วยการดำเนินการที่รวดเร็ว สเปรดต่ำ และราคาดีที่สุด

คุณสมบัติหลักของบัญชี ECN คือผลประโยชน์ทับซ้อนใด ๆ ระหว่างลูกค้าและบริษัทโบรกเกอร์ที่ใช้เทคโนโลยี ECN เนื่องจากบริษัทได้โอนธุรกรรมของลูกค้าไปยังตลาดและได้รับกำไรในรูปของค่าคอมมิชชั่นและการชำระสเปรดโดยลูกค้า นั่นจึงเป็นเหตุผลที่บริษัทโบรกเกอร์มองหาวิธีในการเพิ่มปริมาณการซื้อขายบนบัญชีของลูกค้า

160
รอบนี้มาต่อกันด้วยเรื่องของ Demo forex บัญชี Demo คืออะไร ใช้อย่างไร

แนะนำโบรกเกอร์ที่มีบัญชี Demo
โบรกเกอร์ที่ต้องการแนะนำในความคิดของผมนั้นมีด้วยกัน 3 โบรก.ประกอบไปด้วย

1.XM

โบรกเกอร์ XM เป็นโบรกเกอร์จากไซปรัส เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่เน้น เรื่องความมั่นคง เป็นโบรกเกอร์ใหญ่ ที่มีกิจกรรมและโปรโมชั่นดีๆออกมาตลอด เช่น แจกเงินฟรี 30$ สำหรับสมาชิกใหม่ สเปรดปานกลาง มีความง่าย และคุณภาพการให้บริการที่สูง การเปิดบัญชีทดลองและทดลองเทรดกับโบรกเกอร์ XM โดยไม่ต้องใช้เงินจริงนั้น จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่แนะนำ ก่อนที่คุณจะตัดสินใจเปิดบัญชีจริงกับทางโบรกเกอร์นี้ครับ

2.FBS

อีกแห่งหนึ่งที่ผมแนะนำคือที่ FBS ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งโบรกเกอร์ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน ข้อดีของทาง FBS คือมีระบบ Copy Trading ให้คุณนั้นได้ใช้บริการอีกด้วย ดังนั้นหากคุณต้องการพี่เลี้ยงในการเริ่มต้นการเทรด ลองเปิดบัญชี Demo ที่ FBS ดูสิครับ

3.Exness

Exness นั้นถือว่าคนไทยส่วนใหญ่ที่เทรด forex แบบมืออาชีพนั้นใช้บริการมากที่สุดแห่งหนึ่ง ด้วยจุดเด่นในเรื่องของระบบการฝากและการถอนเงินที่สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งการใช้งานที่ไม่ยุ่งยาก ทำให้ Exness มีจุดเด่นมากเมื่อเทียบกับโบรกเกอร์อื่นๆ อย่างไรเสียลองเปิดบัญชีกับทางโบรกนี้เผื่อไว้อีกโบรกก็ได้ครับ


ข้อคิดส่งท้าย ของการเทรดด้วย บัญชี Demo                                                                                             
ตลาดเงิน FOREX ไม่เหมือนตลาดหุ้น ทุกอย่างรวดเร็ว มีความผันผวน หวือหวาตลอด 24 ชั่วโมง ก่อนคุณนอนค่าเงินอาจจะราคาหนึ่ง แต่เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาอาจรวยได้หรืออาจขาดทุนจนตั้งตัวไม่ทันก็เป็นไปได้เช่นกัน การลงทุนในตลาดเงิน FOREX แม้จะเทรดง่ายโดยใช้เงินไม่กี่เหรียญ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้กำไรง่ายๆ อย่างที่รู้กันว่ากำไรของค่าสกุลเงินจะต่างกันอยู่ที่ Pip หน่วยเงินที่เล็กจิ๋วสุดๆ นั่นก็คือหลักทศนิยมตัวที่ 4 เช่น 0.0002 ดังนั้นกว่าจะฝ่าฟันได้เงินกำไรเป็นกอบเป็นกำก็ต้องใช้เงินลงทุนพอประมาณ ถ้าหากคุณเป็นมือใหม่ที่สนใจการลงทุนในตลาด FOREX คำแนะนำคือลองฝึกซ้อมเทรดเงินปลอมกันก่อนให้ชำนาญก่อนดีกว่า

และถึงแม้ว่าบัญชี Demo ถือเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมที่ให้คุณได้เรียนรู้ตลาด Forex แต่คุณต้องรีบค้นหาให้ได้ว่ารูปแบบการเทรดของคุณคืออะไร, คุณจะใช้ R:R ในการคุม Take Profot – Stop Loss อย่างไร และคุณควรมีขนาดการซื้อ-ขายเท่าไหร่ ที่ไม่เกินความเสี่ยงที่คุณกำหนดไว้ด้วย ที่สำคัญคุณไม่ควรจะใช้เวลากับบัญชี Demo นานเกินไป

เพราะคุณไม่มีทางเรียนรู้การขับรถ จากตู้เกมรถแข่งได้เป็นปีๆ คุณต้องเอาตัวเองไปอยู่หลังพวงมาลัยรถ(จริง)เท่านั้น อย่างไรก็ตามเมื่อคุณเริ่มผันตัวเองจากบัญชี Demo ไปสู่บัญชีเงินจริง คุณต้องค่อยๆเรียนรู้ และระมัดระวังในเวลาเดียวกัน อย่าเพิ่งลงเงินทุนก้อนใหญ่เกินไปในบัญชีเงินจริง คุณควรสร้างความคุ้นเคยจากการเปลี่ยนทีละก้าวเล็กๆ ด้วยการเปิดบัญชีเงินทุนขั้นต่ำก่อน ค่อยๆสะสมความรู้สึกและประสบการณ์ในการเทรดไปพร้อมๆกัน จนกว่าคุณจะมีความมั่นใจ และเชื่อมั่นในระบบเทรดของคุณแล้ว มันถึงจะเป็นเวลาแห่งก้าวต่อไปที่ใหญ่ยิ่งขึ้นครับ



เทคนิคการเทรด Demo อย่างชาญฉลาด
1.ตั้งเป้าหมายที่จะเรียนรู้ : เพื่อไม่ให้เปลืองเวลา คุณต้องรู้ว่าคุณต้องการอะไรจากการทดลองเทรดในบัญชี Demo อาทิเช่น

เพื่อเชื่อมโยงและทำความเข้าใจว่าตลาดทำงานอย่างไร
เพื่อสร้างความคุ้นเคยในการใช้โปรแกรม MT4 หรือ MT5 ว่าแต่ละปุ่มทำงานอย่างไร
เพื่อลองฝึกใช้ Indicator ต่างๆ และสังเกตว่ามันมีการตอบสนองอย่างไรในการเทรด
เพื่อฝึกฝนเทคนิคต่างๆโดยภาพรวม เช่น การเลือก Lot Size, การเปิด-ปิดออเดอร์ และเฝ้าดูว่ากราฟมีพฤติกรรมอย่างไรในระหว่างวัน เป็นต้น
2.ใช้เป็นตัวช่วยสร้างสติ/ลดแรงกดดันในการเทรด : เหตุผลคือ เทรดเดอร์ส่วนใหญ่มักจะทำอะไรหลุดๆ เมื่อพวกเขาเฝ้าดูกราฟบนบัญชีเงินจริงมากเกินไป ด้วยแรงกดดันที่มากมายจะผลักดันให้พวกเขาทำความผิดพลาดได้มากขึ้น ดังนั้นเทคนิคการแยกการวิเคราะห์และตัดสินใจเข้าออเดอร์ไปอยู่ในกราฟบัญชี Demo จะช่วยลดภาวะแรงกดดันทางใจได้เป็นอย่างดี และเมื่อคุณเข้าออเดอร์ในบัญชีเงินจริง สิ่งรบกวนต่างๆก็จะน้อยลงด้วย

บัญชี Demo นั้นอาจมีประโยชน์อย่างมาก เมื่อคุณแยกใช้มันเดี่ยวๆโดยไม่ต้องเทรด โดยคุณใช้บัญชี Demo เป็นตัวเฝ้าสังเกตดูสัญญาณ Signal เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ค่อยนำไปเทรดในบัญชีเงินจริง และเมื่อคุณปิด order จากบัญชีเงินจริง ก็ค่อยย้อนกลับมาเฝ้าดูสัญญาณในบัญชี Demo ต่อครับ

ข้อด้อยของ บัญชี Demo

1.อารมณ์มันต่างกัน : คุณไม่สามารถเปรียบเทียบอารมณ์ตอนเทรดบัญชี Demo กับบัญชีเงินจริงได้เลย ทำไมเหรอครับ? เพราะมันไม่มีเงินจริงๆ ของคุณอยู่บนกราฟ ซึ่งคุณก็รู้อยู่เต็มอก การเทรดบัญชี Demo ราวกับว่ามันคือบัญชีเงินจริง ก็ไม่ต่างอะไรกับนักมวยที่เคยซ้อมแต่คู่ซ้อมแต่ไม่เคยขึ้นสังเวียนจริง โลกแห่งความเป็นจริงกับสนามซ้อมมันต่างกันมากครับ…

2.อันตรายอย่างมากถ้าคิดว่าตลาด Forex ของจริงมันเป็นเรื่องง่าย : การเทรดบัญชี Demo นั้นดูเหมือนจะเป็นวิธีการที่ดีเยี่ยมเพี่อช่วยพิสูจน์ให้คุณมั่นใจได้ว่ากลยุทธ์การเทรดของคุณสามารถทำเงินได้ก่อนที่คุณจะเริ่มเทรดในบัญชีจริง อย่างไรก็ตามคุณไม่มีทางถ่ายทอดความสำเร็จจากบัญชี Demo สู่การเทรดบนบัญชีจริงได้ครบ 100 % เหตุผลง่ายๆก็คือ เมื่อไม่มีเงินจริงอยู่บนกราฟแล้ว คุณได้กำจัดตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจในการเทรด นั้นก็คือ แรงกดดันทางจิตวิทยาต่อการสูญเสียเงินจริงนั้นเอง

3.เมื่อความผิดพลาดในการเทรดไม่มีผลกระทบใดๆ คุณจะไม่ได้เรียนรู้อะไรจากมันเลย : การเทรดบัญชี Demo นานเกินไปจนชินนั้น อันตรายถึงขนาดทำลายพัฒนาการของการเทรดของคุณลงได้เลย เพราะเมื่อเทรดเสียคุณก็แค่เล่นใหม่ โดยไม่คิดแก้ไขว่าเทรดเสียเพราะอะไร ต้องอุดรอยรั่วตรงไหน อย่างแย่ที่สุด คุณอาจจะพูดแค่ว่า “หุหุ… มันก็แค่บัญชี Demo ฉันไม่มีทางทำเรื่องโง่ๆแบบนี้บนบัญชีจริงแน่นอน” สุดท้ายคุณอาจขาดแรงจูงใจที่จะพัฒนาระบบให้ดีขึ้น เพื่อปิดรอยโหว่ของระบบที่ผิดพลาดนั้นของคุณ

4.อาจสามารถสร้างพฤติกรรมแง่ลบให้กับรูปแบบการเทรดของคุณได้ : เมื่อคุณเทรดบัญชี Demo นานเกินไป คุณจะรู้สึกว่าการเลื่อน Stop Loss ให้กว้างขึ้นเป็นเรื่องปกติ และสุดท้ายพฤติกรรมเหล่านี้จะติดตัวคุณไป แม้คุณจะเทรดในบัญชีเงินจริงแล้วก็ตาม มันยากมากที่จะเปลี่ยนนิสัยแย่ๆ เมื่อคุณเคยชินกับมันมาเป็นเวลานาน และยิ่งยากขึ้นไปอีก เมื่อคุณเพิ่มแรงกดดันในการเทรดบัญชีเงินจริงเข้าไปด้วย



ข้อดีของ บัญชี Demo
ข้อดีของ บัญชี Demo ในความคิดของผมนั้นมีหลายประการด้วยกันดังต่อไปนี้คือ

1.ช่วยให้มือใหม่ที่ต้องการจะเทรด forex ได้เห็นแนวทางอย่างคร่าวๆ : ว่าหากต้องการเทรด forex เพื่อการทำกำไรอย่างยั่งยืน ตนเองจะต้องเทรดในรูปแบบไหนหรือว่าอย่างไร ผู้ที่เริ่มต้นฝึกการเทรดที่ใช้บัญชีทดลองยังสามารถเข้าถึงทุกคุณสมบัติและหน้าแผงควบคุมของบัญชีทดลองของคุณเพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจสอบและวิเคราะห์ประวัติการเทรดของคุณเมื่อใดก็ตามที่คุณต้องการ

การเทรด Forex สำหรับผู้เริ่มต้นที่ไม่มีประสบการณ์แล้วค่อนข้างเป็นเรื่องยากที่จะทำความเข้าใจ ดังนั้นการฝึกเทรดด้วยบัญชีทดลองจะทำให้คุณได้เรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์การเทรดได้ระดับหนึ่ง คุณสามารถวางแผนและพัฒนาการซื้อขายด้วยบัญชีทดลองให้มีความสมบูรณ์ในระบบการเทรดของคุณเองให้สามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง 

2.สร้างความมั่นใจ ความคุ้นเคย และความชำนาญ : ช่วยให้คุณสามารถเทรด forex และทำเงินได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น เพราะว่าบัญชี Demo ก็มีลักษณะที่เหมือนหรือคล้ายกับบัญชีเทรดของจริงทั้งสิ้น

การฝึกเทรด Forex ด้วยบัญชีทดลองนั้นไม่ได้เพียงแค่ทำให้รู้วิธีพื้นฐานของการเทรดเท่านั้น แต่จะช่วยให้คุณมีโอกาสที่จะพัฒนาทักษะและกลยุทธ์ในการเทรด Forex ของคุณให้มีความชำนาญและวิธีการเทรดให้มีประสิทธิภาพในการทำกำไรมากขึ้น อีกทั้งการฝึกเทรดด้วยบัญชีทดลองกับโบรกเกอร์ต่างๆ จะทำให้คุณมีข้อมูลในการตัดสินใจเลือกโบรกเกอร์ที่มีคุณภาพสำหรับการเริ่มเทรด Forex ด้วยเงินจริงได้อีกทางหนึ่ง เพื่อที่คุณจะได้เทรดกับโบรกเกอร์ที่ดีที่เหมาะกับการเทรดของคุณเอง

3.เพื่อให้เกิดทักษะและความชำนาญ : บัญชี Demo ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ถึงวิธีการเทรด Forex ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะแพลตฟอร์มการเทรด Forex อาจจะดูเหมือนยากที่จะเข้าใจ แต่การเทรด Forex ด้วยบัญชีทดลองซึ่งใช้เงินปลอมในการเทรดนั้นจะช่วยให้คุณสามารถเรียนรู้รูปแบบการซื้อขายที่เกิดขึ้นจริงและพัฒนาการเทรดของคุณให้มีประสิทธิภาพในการทำกำไร จนสามารถนำไปใช้ในการเทรดด้วยบัญชีจริงจนประสบความสำเร็จในการเทรด Forex ได้ การฝึกเทรดด้วยบัญชีทดลองสามารถทำให้ผู้เริ่มต้นเทรดมีความก้าวหน้าในการสร้างทักษะ ตลอดจนสร้างความรู้และความคุ้นเคยต่อตลาดที่มีลักษณะเฉพาะและมีความซับซ้อนอย่างมากของตลาด Forex ครับ

4.ทดสอบกลยุทธใหม่ : แม้ในระดับเก๋าเกมส์แล้ว ก็ยังสามารถใช้บัญชี Demo ทดลองกลยุทธ์ใหม่ๆ ต่างๆที่คุณต้องการลงมือทำได้ที่บัญชี Demo เพราะหากมีความผิดพลาดเกิดขึ้น คุณก็ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เพราะว่ามันเป็นบัญชีที่คุณไม่ต้องเสียเงินจริงๆ

บัญชีทดลองยังสามารถให้คุณฝึกเทรดกับ Leverage สูงสุด และไม่กำหนดจำนวนออเดอร์ที่เปิดซื้อขาย ทำให้คุณสามารถทดสอบกลยุทธ์การเทรด Forex ในสภาพการซื้อขายที่เกิดขึ้นจริงได้ตามต้องการ

5.เพื่อทดสอบในเรื่องของสภาพจิตใจ : แม้ว่ามันอาจช่วยได้ไม่มากนักเพราะมันขาดแรงกดดันจริงๆ ด้วยเพราะมันไม่ใช่เงินจริง แต่ผมว่าก็ดีกว่าการลงสนามจริงเลย โดยไม่ผ่านการลองเทรดกับบัญชี Demo ครับ

6.เทรดด้วยบัญชีทดลองไม่มีค่าใช้จ่าย : ในการเปิดบัญชีทดลองไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ จะใช้เฉพาะข้อมูลบางส่วนของคุณเท่านั้น เช่น ชื่อและที่อยู่ ฯลฯ ที่จะกรอกให้กับทางโบรกเกอร์ เนื่องจากทางโบรกเกอร์อาจจะติดต่อกลับเพื่อแนะนำให้เปิดบัญชีจริงและฝากเงินเข้าเทรดในบัญชีเทรดจริงของคุณ


ทำไมต้องเป็นบัญชี Demo
บุคคลที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจใดๆนั้น จำเป็นต้องมีความรู้และประสบการณ์ เป็นอย่างสูง ในตลาด Forex ก็เช่นเดียวกัน การที่เทรดเดอร์จะประสบความสำเร็จกับการลงทุนในตลาดขนาดใหญ่เเละมีสภาพผันผวนมากที่สุดเเห่งนี้ได้นั้น นอกเหนือจากความแม่นยำในทฤษฎีและความรู้เเล้ว ยังต้องมีประสบการณ์เป็นอย่างมากในการวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆที่มีผลต่อการทำกำไรในตลาด Forex อาทิเช่น การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน การวิเคราะห์เชิงเทคนิค  การบริหารจัดการเงินทุน(Money Management) รวมถึงจิตวิทยาในการลงทุน ซึ่งเทคนิคต่างๆเหล่านี้ ล้วนเเล้วเเต่มีความสำคัญต่อผลกำไรในระยะยาวของนักลงทุนทั้งสิ้น ซึ่งทำไมต้องบัญชี Demo หรือ ก็เพราะว่า…

1.เป็นมาตรฐานการเริ่มต้นเรียนรู้ในการซื้อขาย ในตลาดForex

สำหรับผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยในตลาด Forex บัญชีทดลองเทรดเสมือนจริงนี้ จะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจถึงการใช้งานในโหมดต่างๆของบัญชี ไม่ว่าจะเป็นคำสั้งซื้อขาย ทำให้นักลงทุนเรียนรู้วิธีการใช้งานเครื่องมือในโหมดต่างๆในการช่วยวิเคราะห์การเทรด

2.เป็นการฝึกความชำนาญในการใช้งานซอฟแวร์ MT4 และ MT5

เพื่อให้นักลงทุนคุ้นเคยกับวิธีการ เเละลักษณะทั้งหมดในการเทรดด้วยโปรแกรม Metatrader  ซึ่งช่วยให้หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดต่างๆทางเทคนิคที่จะเกิดขึ้นกับนักลงทุน

3.ใช้เป็นบัญชีในการทดลองสำหรับสร้างเทคนิคและกลยุทธ์ของเทรดเดอร์

ให้คุณได้ทดลองสร้างโมเดลทางเทคนิคเเละกลยุทธ์ต่างๆในการทำกำไร เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียง ก่อนที่คุณจะไปทำกำไรด้วยบัญชีจริง บัญชีทดลองการซื้อขายในตลาด Forex  จะเป็นชนิดของบัญชีที่จำลองบรรยากาศการเรียนรู้ เเละการซื้อขายให้เสมือนจริง ทำให้นักลงทุนหรือนักเก็งกำไรได้เรียนรู้ลำดับขั้นตอนต่างๆในการสร้างกลยุทธ์การทำกำไรให้กับตัวเอง เงื่อนไขทั้งหมดของบัญชีทดลอง จะสอดคล้องกับเงื่อนไขในการซื้อขายทำกำไรในบัญชีจริง   



บัญชี Demo คืออะไร
การเทรด forex เป็นการเทรดในตลาดที่มีความเสี่ยงอย่างมากต่อการผิดพลาด หรือการเสียเงินทุน ดังนั้นบัญชี Demo จึงถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อช่วยให้ผู้ที่เทรด forex ทุกๆคนนั้นมีแนวทางเบื้องต้นในการพิจารณาว่าตนเองจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้การเทรด forex ของคุณนั้นมีปัญหาน้อยที่สุด หรือว่ามีความผิดพลาดอันเกิดจากการเทรดน้อยที่สุดครับ

บัญชี Demo คืออะไร   
บัญชี Demo (Demo Account) หรือ บัญชีทดลอง คือบัญชีที่ใช้ทดสอบการซื้อขาย เป็นบัญชีที่ทางโบรกเกอร์เปิดให้กับคุณ โดยมีการมอบเงินปลอมให้ส่วนหนึ่ง อาจจะเป็น 1,000 เหรียญ หรืออื่นๆ ทำให้คุณสามารถเข้าไปเทรดในตลาดได้ทันที เสมือนหนึ่งว่าคุณนั้นได้ทำการเทรด forex และทำเงินในตลาดแห่งนี้จริงๆ

การเริ่มต้นเทรด Forex ด้วยบัญชีทดลอง เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับฝึกหัดเทรดเพื่อทำความคุ้นเคยให้เข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของการซื้อขายเงินตราในตลาด Forex โดยไม่ต้องฝากเงินเข้าบัญชี(ไม่ต้องใช้เงินจริง) การฝึกเทรดด้วยบัญชีทดลองจึงไม่มีความเสี่ยงเพราะเป็นเงินที่ทางโบรกเกอร์ให้เพื่อทำการฝึกเทรดไม่ใช่เงินที่เราฝากเข้าเทรดจริง(เป็นเงินปลอม ที่มีแต่ตัวเลข) ทั้งนี้การฝึกเทรดด้วยบัญชีทดลองยังเหมาะทั้งผู้เริ่มต้นเทรด

บัญชี Demo เป็นการเทรดบนสภาวะตลาดจริง เหมือนๆกับบัญชีที่เทรดด้วยเงินจริงทุกประการ แต่การเทรดด้วยบัญชีทดลองไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แม้ว่ามีบางโบรกเกอร์จะจำกัดการเทรดด้วยบัญชีทดลองไว้เพียง 30 วัน แต่ก็ยังมีอีกหลายโบรกเกอร์ที่ไม่ได้จำกัดจำนวนวันในการใช้งานบัญชีทดลองเพื่อการฝึกเทรด ผมจึงค่อนข้างแนะนำให้คุณฝึกการซื้อขาย โดยใช้บัญชีทดลองก่อนที่จะทำการซื้อขายด้วยบัญชีที่ใช้เงินจริงๆ ส่วนการเปิดบัญชีก็เป็นเรื่องง่ายๆ เราสามารถสมัครเข้าใช้บริการบัญชี Demo ได้ที่โบรกเกอร์ที่เราสนใจได้เลย ทางโบรกค่อนข้างอำนวยความสะดวกให้เราอย่างเต็มที่ครับ

"ไม่ใช่ผู้รู้ แต่ เป็นผู้เล่นจริง ที่ไม่เคยเทรด demo แต่ใช้วิธีเทรดในกระดาษแทน"

เทรด demo ตามที่รู้ไม่ได้ส่ง position เข้าตลาดจริง จึงทำกำไรง่าย

แต่เทรดจริง ตรงข้าม คุณต้องเข้าไปต่อสู้กับ trader ตัวจริงในตลาดซึ่งแต่ละคนเขี้ยวมาก

การทดลองเทรด demo ไม่ใช่เพื่อจะได้รู้ว่าจะทำกำไรได้เท่าไร แต่เพื่อจะเรียนการใช้งาน MT4

และเพื่อรู้ว่าถ้าเกิดการผิดพลาดจากที่เราวางแผนไว้แล้วเราจะทำอย่างไร  แบ่งเงินลงทุนอย่างไรในการแก้พอร์ตแต่ละครั้ง

คนที่โดนล้างพอร์ตมาจากเหตุผลเดียวคือ over trade  แต่บางคนโชคเข้าข้างก็รวยได้เพราะ over trade เหมือนกัน

มีมักเทรดหญิงสเปนท่านนึงที่รู้จัก over trade 5เท่า และนักเทรดชายซาอุท่านนึงที่รูจักก็ over trade 4 เท่า

อีกอย่างจิตใจและอารมณ์จะไม่เหมือนกันระหว่างการใช้เงินจริงกับเงินปลอม ทุกครั้งที่เปิด position ด้วยเงินจริงมันบีบคั้น

มากกว่า รวมทั้งต้องมีการวางแผนอย่างดี มีระเบียบวินัย แพ้ ผิดทางจะแก้ไม้สอง หรือยอมแพ้ ก็อยู่ที่การบริหารหน้าตักของเรา

161
บทต่อมาเรามาลองดูเรื่อง  forex บัญชี cen (เซ็น) คืออะไร ใช้อย่างไร

เปิดบัญชี CEN เล่น FOREX ดีอย่างไร

ในการเทรดแต่ละครั้งหากเป็นบัญชีอื่น ๆ อาจจะต้องจ่ายเยอะแต่ถ้าหากเป็นบัญชี Cent ก็ไม่ต้องจ่ายลงทุนไปมากขนาดนั้นใน 1 LOT อาจจะประมาณ 10 USD ก็คงพอแล้วไม่ต้องมากมายอะไรเลย  อาจจะไม่ใช่พอร์ตใหญ่ อาจจะไม่ให้กำไรเยอะแต่ก็ทำกำไรได้เหมือนกัน  ใครใช้บัญชีเซ็นลดโอกาสในการล้างพอร์ตลงไปได้เยอะเลยเพราะค่าเงินน้อย  ใครที่เริ่มเล่น Forex ใหม่ ๆ เหมาะสำหรับการใช้บัญชี Cent เลยไม่ต้องรับความเสี่ยงมาก หลายโบรกเปิดให้บริการอยู่ ใครอยากลองก็ลองเลยไม่เสียหลาย

CEN ใครเหมาะที่จะใช้

ตามที่บอกไปในตอนแรกว่าคนที่เหมาะจะใช้บัญชีนี้จะเป็นมือใหม่ในวงการ Forex เพราะว่าเป็นเหมือนสนามทดลองฝึกออกรบก่อน แต่ก็ได้จริงเสียจริงเหมือนกันกับบัญชีอื่น ๆ เลย เพียงแต่อาจจะน้อยมากเท่านั้นเอง ใครอยากจะเทรด over trade ก็ใช้ได้หรือกำลังหัดใช้เครื่องมือต่าง ๆ ในการเทรดก็เหมาะเหมือนกัน



รู้จักบัญชีเซ็น (CEN) ในการเล่น FOREX

ในการเล่นเทรดฟอเร็ก(Forex) ไม่ว่าตัวไหนก็ตามเราจะเห็นว่ามีหลากหลายบัญชีมากให้สมาชิกได้เลือกเปิดใช้บริการ และคงจะเคยได้ยินกันมาว่าให้เปิดบัญชีเซ็น (CEN) ก่อนก็ได้ในการเริ่มเล่นแรก ๆ คำว่าเซ็นก็เหมือนเป็นสกุลเงินถ้าหากให้เข้าใจง่าย ๆ ก็เช่นเทียบกับเงินบาทของไทยก็จะมีเงินสตางค์ที่ค่าน้อยสุด ในเมื่อเป็นเงินดอลล่าน้อยสุดก็จะเป็นเซ็นนี่เอง เมื่อมาเป็นการเทรดบัญชีนี้ก็จะเล็กสุด เราจะเทรด 1 CENT แทน 1 US เราก็ไม่ต้องจ่ายเยอะ แต่กำไรก็ไม่เยอะเหมือนกัน ข้อดีของมันคือความเสี่ยงน้อยกว่าเพื่อนแล้ว


162
มาต่อกันด้วยเรื่อง  forex ทฤษฎีดาว Dow Theory คืออะไร ใช้อย่างไร

ราคาต้องยืนยันซึ่งกันและกัน
หากเกิดสัญญาณการขึ้น หรือลง ราคาที่เกี่ยวข้องกันควรจะต้องยืนยันทิศทางซึ่งกันและกัน ถึงจะเป็นการเคลื่อนไหวในทิศทางนั้นอย่างแท้จริง โดยในทฤษฎีของ Dow แรกเริ่มนั้นได้คิดค้นว่าถ้าดัชนีของ Utilities (หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค)ขึ้นทำ New high นั้น ดัชนีของ Railroads (หุ้นกลุ่มขนส่ง) ต้องทำ New High ด้วยเช่นกัน ถึงจะยืนยันทิศทางขาขึ้นของดัชนีหุ้นในสหรัฐ เนื่องจาก Dow มองว่าถ้าภาพรวมของเศรษฐกิจจะเป็นขาขึ้นจริง ภาพใหญ่ต้องขึ้น ไม่ใช่ขึ้นเฉพาะบางอุตสาหกรรม

ปริมาณวอลุ่มยืนยันทิศทางราคา
เมื่ออยู่ในช่วงแนวโน้มขาขึ้น ในช่วงการขึ้นนั้นปริมาณวอลุ่มควรเพิ่มขึ้น แต่ในช่วงพักตัววอลุ่มควรหดตัว และในทางตรงกันข้ามเมื่ออยู่ในช่วงแนวโน้มขาลง เมื่อราคาปรับตัวลง วอลุ่มควรเพิ่มขึ้น และหดตัวในช่วงรีบาวด์ … และข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ ปริมาณวอลุ่มจะสูงสุดในช่วงที่เป็นจุดสูงสุดของ Bull market หรือไม่ก็เป็นช่วงที่ตลาด panic ใน Bear market

ใช้ราคาปิดเท่านั้น
Dow เชื่อว่าการใช้ราคาปิดของวันนั้นถือว่าเป็นช่วงราคาที่สำคัญสุด เพราะทั้งพวกเดย์เทรดที่ต้องปิดสถานะเมื่อสิ้นวัน หรือไม่พวกนักลงทุนหรือ Hedge fund ต่างๆที่ชำระราคากันที่ราคาปิดทั้งสิ้น ทำให้ราคาปิดนั้นมีความสำคัญ แต่หลายคนอาจจะเริ่มตั้งคำถามว่า แล้วถ้าตลาดเปิด 24 ชั่วโมงล่ะ จะทำอย่างไร ซึ่งไม่ว่าตลาดจะเปิด 24 ชั่วโมงหรือไม่ สุดท้ายก็ต้องมีเวลาที่ใช้ในการคำนวณราคาที่ใช้ชำระราคา หรือ Settlement price เพื่อที่จะคำนวณ กำไร ขาดทุน คำนวณเงิน margin ต่างๆ ซึ่งในกรณีนี้อาจใช้ช่วงที่พวกธนาคารหรือโบรกเกอร์ใช้ทำการ Settlement มาแทนช่วงของราคาปิดได้

แนวโน้มจะเกิดขึ้นต่อเนื่องจนกว่าจะเกิดการเปลี่ยนแนวโน้ม
นี่เป็นพื้นฐานของการเทรดสไตล์ Trend-following เลย คือเชื่อว่าแนวโน้มจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะเกิดสัญญาณเปลี่ยนแนวโน้ม โดย Dow จะไม่คาดการณ์ว่าแนวโน้มนั้นจะเคลื่อนไหวเป็นระยะเวลานานเท่าไหร่ หรือระยะทางไกลแค่ไหน แต่แค่รอว่าถ้าเกิดสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม นั้นแหละใกล้ถึงใกล้จบแนวโน้มนั้น

โดยปกติการแบ่งแนวโน้มของทฤษฎี Dow นั้นจะดูจากการทำ High และ Low ของราคา โดยถ้าราคาขึ้นทำ Higher high (ทำ High ใหม่) และทำ Lower High (ทำ Low สูงขึ้น) แสดงถึงทิศทางของขาขึ้น (Bull market)

แต่ถ้าราคาทำ Higher Low (ทำ High ต่ำลง) และทำ Lower Low (ทำ Low ต่ำลง) แสดงถึงทิศทางของแนวโน้มขาลง (Bear market)
ทฤษฎีดาว Dow Theory คืออะไร
 

          Charles Dow ถือได้ว่าเป็น บิดา ของวงการเลย เนื่องจากเขาได้เป็นคนคิดค้น ดัชนีราคาในการวิเคราะห์ตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกาเป็นคนแรก และเป็นต้นแบบในการวิเคราะห์กราฟทางเทคนิคในถัดมา ซึ่งหลักการของ Dow ประกอบด้วย 6 หลักการคือ

ราคาได้สะท้อนทุกอย่างไว้หมดแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารต่างๆ พฤติกรรมความต้องการของคนในตลาด ปัจจัยทางพื้นฐานต่างๆ Dow เชื่อว่าได้ถูกสะท้อนออกมาเป็นราคา ณ ขณะนั้นเรียบร้อยแล้ว

ราคาเคลื่อนไหวอย่างเป็นแนวโน้ม
หากมองในภาพใหญ่แล้ว Dow เชื่อว่าราคาเคลื่อนไหวไปเป็นอย่างมีแนวโน้ม โดยมี 2 แนวโน้ม คือ Bull market (ขึ้น) และ Bear market (ลง) อีกทั้งในทฤษฎีของ Dow นั้นแบ่งแนวโน้มออกเป็น 3 ประเภท คือ

1) Primary trend หรือแนวโน้มใหญ่ – 1 ปีขึ้นไป

2) Secondary trend หรือแนวโน้มกลาง  – เป็นช่วงการพักตัวของแนวโน้มใหญ่

และ 3) Minor trend หรือ แนวโน้มย่อย – ต่ำกว่า 6 วัน – การเคลื่อนไหวของแนวโน้มย่อยนั้นจะไม่ส่งผลอะไรต่อภาพใหญ่ เป็นเพียง noise ของตลาด

บทสรุปของทฤษฎีดาว(Dow Theory)

จุดประสงค์ของดาวและฮามิลตัน คือ การหาจุดเริ่มต้นของแนวโน้มและสามารถจับการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ได้ พวกเขารู้ดีว่าตลาดถูกขับเคลื่อนโดยอารมณ์ของตลาดและการเกิดปฏิกิริยาเกิน (Overreaction) จริง ทั้งในด้านบวกและด้านลบ พวกเขาจึงมุ่งความสนใจไปที่การมองหาแนวโน้มในการเคลื่อนไหวไปดามแนวโน้ม แนวโน้มจะยังคงอยู่จนกระทั่งจะสามารถพิสูจน์ได้แน่ชัดถึงแนวโน้มใหม่
ทฤษฎีดาวช่วยให้นักลงทุนเรียนรู้ข้อเท็จจริง ไม่ใช่ตั้งข้อสมมติฐานและคาดการณ์ล่วงหน้า การตั้งข้อสมมติฐานเป็นสิ่งที่อันตรายสำหรับนักลงทุน เพราะการคาดเดาของตลาดเป็นเรื่องยาก ฮามิลตันเองยอมรับว่าทฤษฎีดาวนี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบ ในขณะที่ทฤษฎีนี้สามารถใช้เป็นพื้นฐานในการวิเคราะห์ ทฤษฎีนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการพัฒนาแนวทางการวิเคราะห์ของนักลงทุน
การอ่านเกมส์ตลาดเป็นศาสตร์ที่ได้จากประสบการณ์ตรงจากตลาด ดังนั้นกฏของฮามิลตันและดาวจึงมีข้อยกเว้นพวกเขามีความเชื่อว่าความสำเร็จเกิดจากการศึกษาที่จริงจังและการวิเคราะห์ที่มีทั้งความสำเร็จและความผิดพลาด ความสำเร็จเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าหลงระเริง ขณเดียวกัน ความผิดพลาด ถึงแม้จะเจ็บปวด แต่จะให้บทเรียนที่มีค่า การวิเคราะห์ทางเทคนคเป็นศิลปะอย่างหนึ่งซึ่งสามารถพัฒนาได้โดยการฝึกฝนเรียนรู้จากความสำเร็จและล้มเหลวด้วยการมองไปข้างหน้า

ผมหวังว่าบทความนี้คงเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆนะครับ เพื่อนๆ สามารถประยุกต์ ทฤษฎีดาว (Dow Theory ) เข้ากับวิธีของเทรดของเพื่อนๆได้นะครับ เพื่อนๆสามารถติดตามบทความเกี่ยวกับทฤษฎีดาว (Dow Theory ) ในหมวดหมู่ของบทความ หัวข้อ ทฤษฎีดาว (Dow theory) ได้ครับ

ทฤษฎีดาว (Dow Theory)

ตลาดขาขึ้น-ขั้นที่ 1 - สะสม

ฮามิลตัน(Hamilton) กล่าวไว้ว่าในช่วงแรกของตลาดขาขึ้นมักจะไม่แตกต่างจากตลาดในช่วงขาลงแต่คนใหญ่ยังมองในแง่ลบและทำให้แรงซื้อยังคงชนะแรงขายในช่วงแรกของขาขึ้น ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่ไม่มีใครถือหุ้นประกอบกับไม่มีข่าวดีทำให้ราคาประเมินของหลักทรัพย์ถึงจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาเช่นนี้เป็นช่งงที่ผู้ที่ลงทุนอย่างฉลาดจะเริ่มสะสมหุ้นและเป็นช่วงที่ผู้ทีมีความอดทนและใจเย็นพอที่จะเห็นประโยชน์ของการเก็บหุ้นไว้จนกระทั่งราคาดีดกลับ บางครั้งหุ้นมีราคาถูกแต่กลับไม่มีใครต้องการ ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่ วอเร็นบัฟเฟตได้กล่าวไว้ในช่วงฤดูร้อนของปี 1974 ว่าตอนนี้ได้เวลาที่จะซื้อหุ้นแล้ว แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ ในระยะแรกของตลาดขาขึ้น ราคาหุ้นจะเริ่มเข้าใกล้จุดต่ำสุด แล้วค่อยๆยกตัวขึ้น และเป็นการเริ่มต้นของขาขึ้น หลังจากที่ตลาดยกตัวสูงขึ้นและดิ่งกลับลงมา จะมีแรงขายออกมาเป็นการบอกว่าขาลงยังไม่สิ้นสุด ในช่วงนี้เองที่จะต้องวิเคราะห์อย่างระมัดระวังว่าการปรับตัวลงมีนัยยะสำคัญหรือไม่ หาไม่มีนัยยะสำคัญ จุดต่ำสุดของการลงจะยกตัวสูงขึ้นจากจุดต่ำสุดเดิม สิ่งที่ตามมาคือตลาดตะเริ่มสะสมตัวและมีการแกว่งตัวน้อย หลังจากนั้นจึงเริ่มปรับตัวสูงขึ้นและหากราคาเคลื่อนที่ขึ้นเหนือจุดสูงสุดเดิม จะเป็นการยืนยันการเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้น
ตลาดขาขึ้น -ขั้นที่ 2 -การเคลื่อนไหวครั้งยิ่งใหญ่

ขึ้นที่ 2 มักจะเป็นช่วงที่มีระยะเวลานานที่สุด และมีการปรับตัวสูงขึ้นมากที่สุด ระยะเวลานี้จะเป็นช่วงที่กิจการต่างๆกำลังเริ่มฟื้นตัวมูลค่าหลักทรัพย์จะเพิ่มขึ้น รายได้และกำไรเพิ่มขึ้นจึงก่อให้เกิดความมั่นใจมากขึ้น ช่วงนี้จึงถือว่าเป็นข่วงที่สามารถทำกำไรได้ง่ายที่สุด เพราะมีผู้เข้ามาลงทุนตามแนวโน้มของตลาดมากขึ้น

ตลาดขาขึ้น -ขึ้นที่ 3 - เกินมูลค่า

ระยะที่ 3 ของตลาดขาขึ้น เป็นระยะที่มีการเก็งกำไรมากเกินไป ทำให้เกิดภาวะตลาดเฟ้อ (ดาวได้คิดทฤษฎีนี้ขึ้นมาเมื่อประมาณ 100 ปีก่อน แต่เหตการณ์เช่นนี้ยังคงเป็นเรื่องที่คุ้นเคยในปัจจุบัน) ในขั้นสุดท้ายนี้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในตลาด ค่าที่ประเมินสูงเกินไป และความมั่นใจมีมากจนเกินปกติ จึงเป็นช่วงที่เรียกได้ว่าเป็นส่วนกลับของขั้นที่ 1

ตลาดขาลง - ขั้นที่ 1 - กระจาย

เมื่อการสะสมเป็นขั้นที่ 1 ของขาขึ้น การกระจายก็คือขั้นแรกของขาลง นักลงทุนที่ฉลาดจะไหวตัวทันว่า ธุระกิจต่างๆในปัจจุบันไม่ได้ดีอย่างที่เคยคิด และเริมขายหุ้นออกแต่คนอื่นๆยังคงอยู่ในตลาดและพอใจในการซื้อที่ราคาที่สูง จึงเป็นการยากที่จะบอกว่าตลาดกำลังเข้าสู่ขาลง อย่างไรก็ตาม จุดนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการกลับตัว เมื่อตลาดปรับตัวลง คนส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อว่าตลาดเข้าสู่ขาลงและยังมองตลาดในแง่ดีอยู่ ดังนั้นเมื่อตลาดปรับตัวลงพอประมาณ จึงมีแรงซื้อกลับเข้ามาเล็กน้อย ฮามิลตันกล่าวว่าการกลับตัวขึ้นในช่วงขาลงนี้จะค่อยข้างรวดเร็วและรุนแรง ดังเช่นที่ฮามิลตันได้วิเคราะห์ไว้เกี่ยวกับการกลับตัวที่ไม่มีนัยยะสำคัญนี้ ว่าส่วนที่ขาดทุนไปจะได้กลับคืนมาในระยะเวลาเพียงไม่กี่วันหรือสัปดาห์ การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเช่นนี้เป็นการตอกย้ำว่าขาขึ้นของตลาดยังไม่สิ้นสุด อย่างไรก็ตาม จุดสูงสุดใหม่จะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าจุดสูงสุดเดิม และหลังจากนั้น หากราคาสามารถทะลุผ่านจุดต่ำสุดเดิม นั่นเป็นการยืนยันถึงขั้นที่ 2 ของตลาดขาลง

ตลาดขาลง - ขั้นที่ 2 - การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่

เช่นเดียวกับตลาดในขาขึ้น ขั้นที่ 2 เป็นขั้นที่มีการเปลี่ยนแปลงของราคามากที่สุด ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่แนวโน้มเด่นชัดและกิจการต่างๆเริ่มถดถอย ประมาณการรายได้และกำไรลดลง หรืออาจขาดทุน เมื่อผลประกอบการแย่ลง แรงายจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ตลาดขาลง - ขั้นที่ 3 - สิ้นหวัง

ณ จุดสูงสุดของตลาดขาขึ้น ความดาดหวังมีมากจนถึงขั้นมากเกินไปในตลาดขาลงขั้นสุดท้าย ความคาดหวังทั้งหมดหายไป มูลค่าที่ประเมินต่ำมาก แต่ยังคงมีแรงขายอย่างต่อเนื่องเพราะทุกคนในตลาดพยายามจะถอนตัวออก เมื่อข่าวร้ายเกี่ยวกับธุรกิจ มุมมองทางเศรษฐกิจตกต่ำ จึงไม่มีใครต้องการซื้อ ตลาดจะยังคงลดต่ำลงจนกระทั่งข่าวร้ายทั้งหมดได้ถูกซึมซับแล้ว เมื่อราคาสะท้อนถึงผลกระทบจากเหตการณ์ไม่ดีต่างๆแล้ว วัฏจักรก็เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง


163
ติดดอย ศัพท์ยอดฮิตที่ใครๆ ก็ไม่อยากพูดถึง ว่าแต่มันคืออะไรลองไปดูกันเลย forex ติดดอย ยอดดอย คืออะไร ใช้อย่างไร

วิธีการลงจากการติดดอย,ยอดดอย
 สิ่งที่คนที่อยู่บนยอดดอยทุกคนต้องการทำคือการลงมาจากยอดดอยถ้านี่คือความต้องการของคุณ อ่านบทความต่อไปนี้นะครับ การลงจากยอดดอยนั้นสามารถทำได้อย่างง่ายๆด้วยวิธีการดังต่อไปนี้



1.เจ็บแต่จบ

วิธีการแรกเป็นการลงจากยอดดอยที่ดีที่สุดคือ การเจ็บแต่จบ หมายความว่า หยุดคิดเสียที ว่ากราฟมันจะกลับมาตำแหน่งเดิม ผมบอกเลยว่ามันจะยังไม่กลับมา จนกว่าคุณจะขายมันออกไป ดังนั้นถ้าไม่ต้องการให้ทุนรอนของคุณหมด Cut loss ซะ เจ็บแต่จบครับ

2.ซื้อถัว

ก่อนที่จะใช้กลยุทธ์ซื้อถัว คุณต้องแน่ใจแล้วนะครับว่าในบัญชีของคุณนั้นมีเงินสำรองเพียงพอต่อการซื้อถัว เพราะการซื้อถัวนั้นถ้าซื้อผิดทางก็หมายถึงพังได้เหมือนกัน

3.ออกมาห่างตลาดมากขึ้น

เพื่อกุมสติและเพื่อดูจังหวะขาย การอยู่ใกล้ตลาดจนเกินไปทำให้เราเกิด “อารมณ์” มากเกินไป หมายถึง “ความกลัว” “ความโลภ” และ “การขาดสติ” การมองดูบ่กราฟบ่อยๆทำให้เรา “รู้สึกร่วม” ไปกับตลาดด้วย ถ้าเราเห็นกราฟผันผวนเยอะๆคงจะยากที่จะห้ามไม่ให้รู้สึกกลัว หรือขาดสติครับ

สรุปแล้วหากคุณเทรด forex อาการ ติดดอย,ยอดดอย คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ผมว่าการจัดการกับมันให้เร็วที่สุดคือสิ่งที่มีความจำเป็นสูงสุดต่างหาก

ข้อเสียของการติดดอย,ยอดดอย
1.บีบคั้นหัวใจ

คำว่าบีบคั้นหัวใจหมายความว่า ยิ่งกราฟเดินสวนทางกับจุดที่คุณเปิดสัญญามากเท่าใด ดอยของคุณก็จะสูงขึ้นมากเท่านั้น และจะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนคุณไม่อาจควบคุมสติและจิตใจได้ ดังนั้นมันจึงบีบคั้นหัวใจของคนที่ติดดอยอย่างมาก

2.ไม่สามารถหาจุดออกได้

ยิ่งดอยสูง โอกาสในการออกจากติดดอย,ยอดดอย จะยากขึ้นไปเรื่อยๆ เหตุผลเพราะว่า ถ้าเรา cut loss เมื่อไหร่ นั่นหมายความว่าทุนรอนที่เราสะสมมาก็จะหมดไป และบางรายอาจร้ายแรงถึงขั้นล้างพอร์ตเลยทีเดียว

3.กำลังใจหมด

ถ้าคุณเปิดสัญญาในหลายๆคู่เงิน และทุกคู่เงินนั้นต่างติดดอย,ยอดดอย อย่างนี้ผมกล้าการันตีเลยว่า คุณแทบไม่มีแรงใจในการเทรดต่อไปอย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันหนักเสียจน คุณอาจต้องพักการเทรดไปสักพัก



คุณเคยไปเที่ยวยอดดอยอินทนนท์ไหม ที่นั่นหนาวไหมครับ ผมเชื่อว่าคำถามง่ายๆแบบนี้คุณอาจจะเคยได้ยินบ้าง สำหรับการดำเนินชีวิตประจำวันทั่วๆไป แต่ถ้าคุณนั้นกำลังเทรด forex และมีคนกล่าวอย่างนี้แล้ว นั่นหมายความว่า สัญญาณการเทรดของคุณอยู่ในขั้นที่เป็นอันตรายเสียแล้ว มาดูกันว่าทำไมผมถึงกล่าวเช่นนั้น

ติดดอย,ยอดดอย คืออะไร
คำว่า ติดดอย,ยอดดอย นั้นหมายถึงการที่คุณเปิดสัญญาซื้อ (Buy) หรือสัญญาขาย (Sell) โดยที่เมื่อเปิดสัญญาแล้ว กราฟมีการเคลื่อนที่สวนทางกับสัญญาของคุณ แต่ Margin ของคุณนั้นยังไม่หมด จึงทำให้คุณอยู่บนยอดของหุบเขา หรือก้นเหว เรามักเรียกอาการแบบนี้ว่า ติดดอย,ยอดดอย แต่สำหรับคนเล่นหุ้น จะไม่มีการลงเหว มีแต่ติดดอย,ยอดดอย อย่างเดียว เนื่องจากการเทรดหุ้นมีการเทรดแต่ขาขึ้น ในขณะที่ Forex มีการเทรดได้ทั้งขาขึ้นและขาลง

ติดดอยคืออะไร ทำไมใคร ๆ ก็กลัว

คุณปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ มีกฎ 2 ข้อในการลงทุน นั่นคือ 1. ห้ามขาดทุน และ 2. อย่าลืมกฎข้อแรก ดังนั้นถ้าจะให้ดี ก็ไม่ควรขาดทุนหรือขาดทุนให้น้อยที่สุด เพราะเรายังมีโอกาสทำกำไรแล้วกลับมามีเงินต้นเท่าเดิมได้ เช่น ขาดทุนสัก 20% ต้องมีกำไร 25% ถึงจะได้เงินต้นเท่าเดิม ซึ่งพอจะมีความเป็นไปได้ แต่หากเราขาดทุนมากกว่านั้น การทำกำไรเพื่อให้มีต้นทุนเท่าเดิมจะยิ่งยากขึ้น จนเราท้อและต้องถอยออกจากตลาดไปเลย

สติค่ะสติ สิ่งที่สำคัญในการลงทุน นักลงทุนควรตัดอารมณ์ ตัดความกลัวแล้วใช้เหตุผลเหนืออารมณ์ มีสติในการเลือกบริษัทที่จะลงทุน อย่าเชื่อข่าวลือ เมื่อเกิดปัญหาหรือสิ่งไม่คาดฝันก็จงใช้สติเป็นเครื่องนำทางในการแก้ปัญหา หากมีเวลาก็อ่านบทความเสริมความรู้เรื่องหุ้นและการลงทุนเพิ่มเติม หากเราทำได้ตามนี้ก็จะทำให้เราลงทุนได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น จะได้ไม่ต้องไปเที่ยวดอยบ่อย ๆ

เนื้อหาในบทนี้จะมาเน้นที่หุ้นกันชักหน่อยนะครับ เพราะที่ผ่านมา บทความหลักที่ผ่านมาเน้นไปที่ข้อมูลการลงทุนในตลาด Forex ชะเป็นส่วนใหญ่ แต่ในหัวข้อที่กำลังจะกล่าวถึงนี้ ก็สามารถนำไปปรับประยุกต์ใช้กับการเทรด forex ได้เช่นกันครับ

ก่อนอื่นต้องขออธิบายคำจำกัดความ ของคำว่า”ขาใหญ่” ในที่นี่ หมายถึงเจ้ามือ ซึ่งก็คือเจ้าของพอร์ตใหญ่ๆ ที่มีเงินมากมาย มหาศาลอยู่ในมือ หากคิดจะโยนไปทางไหน ก็สามารถดึงราคาได้นั่นเอง เจ้ามือที่ว่านี้ อย่างเช่น กองทุนต่างๆ ธนาคารกลางสหรัฐ, ธนาคารกลางยุโรป, ธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือจีน ฯล ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ มักจะมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น และเมื่อไหร่ ที่เขารวมหัวกัน(ร่วมมือ) กดดัน หรือทุบราคาของตลาด(ปกติก็ทำกันอยู่แล้ว) พวกเราหรือนักลงทุนรายย่อย ที่เป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ ของตลาด หากพอร์ตที่เราถืออยู่ สวนทางกับแผนที่เขาวางเกมส์ นั่นก็คือความหายนะ กำลังจะมาเยือน ฉนั้น เราต้องตามเกมส์ให้ทัน ต้องใช้ความระมัดระวังให้มากๆ ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน เพราะเราไม่สามารถปฎิเสธว่า ในวงการของตลาดการลงทุน ไม่ว่าจะหุ้น หรือ forex จะมีเจ้ามือ คอยคุมเกมส์อยู่ เหมือนที่ คุณ สราวุฒิ ม่วงชู (เทรดเดอร์ที่ถนัดการเทรดทอง) ได้เขียนไว้ในบล็อคของเขาที่ชื่อว่า “ตลาดไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เราชนะ” โดยอิงเนื้อหา คุณเอกยุทธ อัญชันบุตร ซึ่งเป็นเซียนหุ้นอีกท่านหนึ่ง ที่มีชื่อเสียง แต่เสียชีวิตไปแล้ว ในบทความนี้ จึงจะขอหยิบยก บทความที่คุณเอกยุทธ ได้เขียนไว้เกี่ยวกับ 5 พฤติกรรมของเจ้ามือ ที่เราต้องรู้ทัน จะได้ระวัง ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อดังนี้ครับ

1.พฤติกรรมย่ำราคา
โดยสังเกตได้จาก Bid ด้านซ้าย จะหนามากๆ และมีปริมาณการซื้อ-ขายที่มาก ในระดับราคาที่ยืนอยู่นิ่งๆ นานๆ โดยแนะนำให้สังเกตดูเป็นรายชั่วโมง เพราะจะสามารถแยกรูปแบบการเล่นนี้ ออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ

ย่ำราคาเพื่อเรียกร้องความสนใจ…จะ เป็นการสร้าง Volume แบบหนามากๆ ตลอดเวลา โดยราคาไม่ได้พุ่งขึ้นตามไป ถือว่าเป็นการ “โชว์” ให้นักลงทุนได้เห็นว่า หุ้นตัวนั้นๆ มีแนวโน้มที่จะ “เล่น” กันในระยะเวลาอันใกล้นี้ เปรียบได้กับเป็นอีกรูปแบบที่
“เจ้ามือ” ทยอยเก็บของ เพราะหาก “เจ้ามือ” ซัดช่องขวาเข้าไปเมื่อไหร่ ราคาจะวิ่งขึ้นทันที
ย่ำราคาเพื่อทุบลง…เป็นการสร้าง Volume แบบหนาๆ เพื่อหลอกล่อให้นักลงทุนเข้ามาเล่น จากนั้นหากได้จังหวะ ก็จะยก Bid ทิ้งออกไป เพื่อตบราคาให้ร่วงลงมา หากนักลงทุนรายใด “ตกใจ” และ “เทขาย” ของออกมา
“พฤติกรรมย่ำราคานี้ ให้สังเกตดีๆ ว่า จะมี Volume หนาแน่นมาก 2-3 ช่องในด้านซ้าย (Bid) ซึ่งไม่ใช่สัญญาณที่ดีนัก”
เจ้ามือเนี่ยจะกดราคาหลอกให้ดูเหมือนว่าจะลง เรียกได้ว่าหลอกด้วยจิตวิทยาล้วน ๆ ครับ เล่นกับความกลัวของคน พอคนตกใจก็เริ่มกลัว กลัวว่าจะลงก็ทำการขายทิ้งทันที แต่อย่าลืมว่าพอเราขายทิ้งไป ก็จะมีคนรับซื้อของถูกทันที เป็นเหมือนกันทุกตลาด
2.พฤติกรรมสร้าง Volume มากๆ แบบผิดสังเกต

โดยที่ราคาไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก อาจขึ้น-ลง แค่ 1-2 ช่อง…วิธีนี้ให้นักลงทุนรีบย้อนหลังกลับไปดู Volume การซื้อ-ขายอย่างต่ำ 1-2 เดือน เพราะหากดูประวัติย้อนหลังแล้วพบว่า Volume การซื้อ-ขายน้อยมาก หรือแทบจะไม่มีเลยนั้น แต่อยู่ๆ กลับมีขึ้นมาอย่างผิดสังเกต ถือว่าเจ้ามือกำลังสร้าง Volume เพื่อเตรียมทำราคา วิธีการนี้หากนักลงทุนรายใด มีหุ้นตัวนั้นๆ อยู่ในมือก็ให้ท่องจำอยู่ในใจว่าอย่าขายเด็ดขาด เพราะมีโอกาสสูงมากที่จะทำราคากันขึ้นไปเล่นในเร็ววัน

“พฤติกรรมสร้าง Volume หนักๆ เช่นนี้ โดยราคายังนิ่งๆ ทั้งที่แต่เดิม Volume ของหุ้นนั้นแทบจะมีน้อยมาก หรือไม่มีเลย ทำให้นักลงทุนบางคนอาจตื่นตระหนก แล้วรีบเทขายออกมา เพราะเห็นว่า หุ้นที่ตัวเองถืออยู่นี้ ราคาไม่ได้วิ่งมานาน จึงกลัวจะต้องถือยาวกว่านี้
เมื่อเทขายหุ้นออกมา ก็เข้าทาง “เจ้ามือ” ที่วางกลอุบายเอาไว้แล้ว และสามารถเก็บของได้เพิ่มขึ้นอีก”

3.พฤติกรรมลากไปติดดอย
มีวิธีสังเกตคือ ฝั่ง Offer จะหนามาก ในขณะที่ Bid จะเบาบาง และมีราคาวิ่งขึ้นตลอด ถือว่าเป็นยุทธวิธีที่เจ้ามือวางกับดักล่อ โดยจะกินช่องขวา (Offer) ตลอด เมื่อมีคนแห่เข้ามาเล่นตามในช่องขวาเป็นจำนวนมาก ถึงจุดหนึ่งที่เจ้ามือ จะออกของก็จะไล่ราคาร่วงลงมาได้ในทุกระดับ เพราะเจ้ามือสามารถออกของได้ทุกระดับราคาอยู่แล้ว โยนออกมาไม้ไหนก็มีแต่กำไร
พฤติกรรมนี้ ให้นักลงทุนสังเกตให้ดีๆ ว่า หากมีการไล่ราคาในช่องขวา (Offer) ขึ้นไปกันหลายช่องและวิ่งขึ้นตลอด อย่าเข้าไปซื้อเด็ดขาด เพราะถ้าเข้าไปก็มีสิทธิติดยอดดอยกันได้ วิธีที่ดีที่สุดคือ รอให้มีการทุบราคาลงมาจนเห็นสีแดงนานๆ ก็อาจเข้าไปซื้อได้ แต่ต้องดูประวัติย้อนหลังของหุ้นตัวนั้นๆ ด้วยว่า น่าเล่นหรือไม่

วิธีการแก้ในข้อนี้คือ การตีเส้นแนวรับแนวต้านครับ เทรดในกรอบจำไว้อย่างนึงคือ

แนวรับ =มีไว้ซื้อ

เเนวต้าน = มีไว้ขาย

หากตีแนวรับตีต้านได้เล่นในกรอบโอกาศขาดทุนมีน้อยมาก แต่หากหลุดไปทางใดทางนึงมาก ๆ อาจต้อง cut loss ออกครับ
แต่ต้องมีวินัยในการลงทุนมาก ๆ ครับ

4.พฤติกรรมเจ้ามือใหญ่เล่นหุ้นปั่นตลอด

ให้สังเกตว่า Volume ทั้งด้านซ้าย (Bid) และด้านขวา (Offer) จะหนามากๆ และตลอดเวลา อีกทั้งราคาจะมีการวิ่งขึ้น-ลง วันละ 10-20 ช่องตลอด ซึ่งรูปแบบการเล่นเช่นนี้ ขึ้นกับนักลงทุนเองว่า จะมีความเร็วในการเข้า-ออกหรือไม่ เพราะราคาจะสวิงขึ้น-ลงตลอด แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องสังเกตเป็นพิเศษคือ หากราคาไปหยุดนิ่งอยู่ที่ระดับไหนนานๆ ให้ตระหนักไว้เลยว่า มีสิทธิที่จะลากขึ้นไปไกล หรือทุบลงมาอย่างแรงได้ทั้งสองทาง จึงขึ้นกับความไวของตัวนักลงทุนเอง

วิธีนี้ขึ้นกับตัวเจ้ามือแล้วว่า จะทำให้นักลงทุนติดยอดดอยกันในระดับราคาไหน เพราะเขาสามารถออกของได้ทุกระดับราคา จากนั้นเมื่อทุบร่วงลงมาก็จะเข้าไปช้อนซื้อเก็บไว้ จากนั้นก็จะนำกลับมาเล่นกันใหม่ หุ้นลักษณะนี้จะพบว่า มีการเล่นกันตลอดทั้งสัปดาห์ อาจมีหยุดบ้างก็ 1-2 วัน แต่ Volume ก็ยังมีให้เห็นอยู่

5.พฤติกรรมเจ้ามือใหญ่เล่นหุ้นปั่นเป็นรอบ
วิธีนี้จะเล่นกันสัปดาห์ละครั้ง หรือสองครั้ง จึงขอให้นักลงทุนต้องย้อนกลับไปดูประวัติย้อนหลังของหุ้นที่อยู่ในระดับต่ำสุดที่นิ่งนานๆ บวกกับการดูราคาที่วิ่งขึ้นไปสูงสุดว่าอยู่ที่เท่าไหร่ แล้วนำมาหารครึ่ง เพื่อดูราคาว่า ระดับไหนถึงจะซื้อได้ ตัวอย่างเช่น หากหุ้นตัวนั้น เคยอยู่ที่ระดับต่ำนิ่งๆ ประมาณ 4 บาท แต่มีการทำราคาไล่ขึ้นไปแตะสูงสุดที่ 12 บาท ดังนั้น ราคาที่เหมาะสมที่น่าจะซื้อได้จึงอยู่ที่ระดับ 8 บาทต่อหุ้น (12-4 = 8)

“พฤติกรรมการเล่นเป็นรอบนี้ นักลงทุนต้องพึงระวังว่า เจ้ามืออาจจะกลับมาเล่น หรือไม่เล่นเมื่อไหร่ก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นกับความน่าสนใจของหุ้นตัวๆ นั้นว่า เป็นที่สนใจของนักลงทุนหรือไม่”

นายเอกยุทธ กล่าวต่อว่า วิธีการทั้งหมดนี้…อยากบอกว่า เป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องใช้เวลาในการศึกษาและติดตามอย่างใกล้ชิด ตนไม่สามารถยกตัวอย่างหุ้นเป็นรายตัวออกมาให้เห็นได้ เพราะเกรงจะมีข้อกฎหมายตามมาภายหลัง

แต่เชื่อว่า หากนักลงทุนที่เล่นหุ้นกันอยู่ในตลาดหุ้นไทยคงรับทราบดีว่า หุ้นตัวไหนที่เข้าข่ายใดใน 5 พฤติกรรมดังกล่าว เพื่อที่จะได้รู้ว่า ตัวเราเองจะเล่นแบบไหน และจะสังเกตวิธีการที่เจ้ามือเล่นกันได้อย่างไร แต่ที่สำคัญคือ นักลงทุนต้องพึงระลึกว่า “อย่าโลภ” ถ้าอยากเล่นหุ้นปั่น หากได้กำไรแค่ไหน จงนึกเสมอว่า… อย่าเป็น “เสือหวน” เด็ดขาด
สมัยก่อนเวลาทำราคาหุ้นคนทำเนี่ยไม่ค่อยจะดูพื้นฐานกันเท่าไหร่หรอกครับ เรียกได้ว่าเค้าชอบหุ้นตัวนี้ ก็จัดการเลยคือก็ปั่นเลย จะเห็นว่าตลาดหุ้นก่อนปี พ.ศ. 2540 ก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง หุ้น PE 30-40 เท่าเต็มตลาดเลยครับแต่สมัยนี้ถ้าหุ้นวิ่งขึ้นแรงๆไม่มีพื้นฐานรองรับ กลต. เขาจะติดป้าย “หลักทรัพย์ที่สมาชิกต้องให้ลูกค้าวางเงินสดเต็มจำนวนก่อนซื้อ” เพื่อลดความร้อนแรง
อย่างที่กล่าวมานั้นคือรูปแบบนึงของการที่เจ้ามือได้หลอกเรา มันจะมีรูปแบบของการปล่อยข่าวสารออกมาอีก สมัยนี้การเล่นข่าวสารนิยมทำกันมาก ในเมืองนอกที่ชอบทำกันอย่างมากครับ เรียกว่าปล่อยข่าวออกมากมายเพื่อให้เกิดความขัดแย้ง สับสน นักลงทุนหลงทาง อย่างที่ใคร ๆ รู้ ว่าเมืองนอกจะมีการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ มีการคาดการณ์ไว้เรียบร้อย นั้นก็เป็นส่วนนึงของเจ้ามือในการหลอกเราครับ
ความรู้ทุกอย่างที่กล่าวมาก็เป็นความรู้เดิม ๆ นะครับไม่ใช่ว่าไม่เคยมีคนเขียนหรือไม่เคยมีคนออกมาบอก ทุกอย่างมีคนออกมาเตือนหมดแล้วว่า ตลาดบางทีมันก็ไม่เป็นดั่งที่เราคิดนะ มันไม่ใช่ตลาดที่มีความสมบูรณ์เลย คุณ ๆ และผม ต้องติดอาวุธทางสมองกันตลอดเวลาเพื่อป้องกันการหลอกจากเจ้ามือ “เชื่อว่า หากนักลงทุนเข้าใจในหลักการนี้แล้ว ต่อไป…บรรดา “เจ้ามือ” ทั้งหลายก็คงต้องมีวิวัฒนาการใหม่ๆ ออกมา เพื่อไม่ให้ “รายย่อย” ได้ตามทัน มิเช่นนั้น… “เจ้ามือ” เองก็คงไม่สามารถ “ล่อ” แมงเม่าให้เข้ามาในกองไฟได้อีก

164
นักลงทุนมือใหม่อาจจะอยากรู้ว่า forex ตลาด Forex กับตลาดหุ้น คืออะไร ใช้อย่างไร เรามาลองดูกันนะครับ

ตลาด Forex กับตลาดหุ้น คืออะไร
 

มาดูว่าทำไมตลาดค่าเงินหรือตลาด Forex นั้นมีความน่าสนใจกว่าการเทรดในตลาดหุ้น

ค่าธรรมเนียมต่ำ : ค่าธรรมเนียมการเทรดในตลาด Forex ต่ำกว่าตลาดหุ้นค่อนข้างมาก ไม่มีค่า Commission หรือค่าอื่นๆ เพิ่มเติม โดยโบรกเกอร์ Forex ส่วนมากจะเก็บค่าบริการจาก Spread เป็นหลักเพียงเท่านั้น

 

การทำธุรกิจที่รวดเร็วและทันที : การจับคู่ออเดอร์ของคำสั่งซื้อขายนั้นทำได้อย่างทันทีทันใด เราจะได้ราคาตามที่เราต้องการ

 

สามารถ Short ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด : ไม่เหมือนกับตลาดหุ้นที่อาจมีข้อจำกัดในการ Short หุ้น (Uptick rule คือต้องตั้งขาย (ตั้ง offer) หรือโยนซ้าย (bid) ไม่ได้)แต่ในตลาด Forex นั้นไม่มีข้อจำกัดนี้

 

ไม่มีตัวกลาง : ในตลาด Forex เป็นการกระจายศูนย์กลางในการเทรดไปยังหลากหลายประเทศทั่วโลก ทำให้ไม่มีตัวกลางเหมือนกับตลาดหุ้นทีต้องมีตลาดหลักทรัพย์ที่เข้ามากำกับดูแล ซึ่งข้อดีของการไม่มีตัวกลางคือ ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมให้ตัวกลาง (ค่า Fees)

 

ไม่มีใครสามารถควบคุมราคาได้ : เนื่องจากขนาดที่ของตลาด Forex ที่ใหญ่มากจนไม่สามารถที่กองทุนใดกองทุนหนึ่งจะสามารถทำราคาของค่าเงินได้ ซึ่งต่างจากตลาดหุ้นที่มูลค่านั้นมีไม่มาก ทำให้รายใหญ่บางเจ้า หรือกองทุนบางแห่ง สามารถเข้าไปทำราคาได้ การซื้อขายของพวกรายใหญ่ หรือกองทุน จะส่งผลต่อราคาหุ้น ซึ่งสิ่งนี้ไม่ค่อยเกิดขึ้นในตลาด Forex



โฟกัสง่ายกว่า : ในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีหุ้นประมาณ 2,800 ตัว ใน New York stock exchange และมีอีกกว่า 3,100 ตัว ใน NASDAQ ฟังดูมากมายมหาศาลจริงไหมละครับ แต่ปัญหาคือเราจะเลือกเทรดอะไรดีละ มาดูตลาด Forex หรือตลาดค่าเงินกันมั้ง มีเพียงไม่กี่คู่สกุลเงินให้เราเลือก ซึ่งทำให้เราโฟกัสได้ดีกว่า

 

เปิด 24 ชั่วโมง : ตลาด Forex ไม่มีการปิดระหว่างวัน เปิด 24 ชั่วโมง โบรกเกอร์ส่วนมากที่ให้บริการจะเปิดตั้งแต่เช้าตรู่ของวันจันทร์ตอนประมาณ 3.00 am ตามเวลาประเทศไทย และมาปิดอีกทีตอนประมาณตี 3 ในคืนวันศุกร์ ตามเวลาประเทศไทย เราสามารถกำหนดตารางเทรดของเราเองได้ ยืดหยุ่นตามความสะดวก ซึ่งต่างจากตลาดหุ้นที่มีเวลาเปิดปิดที่ตายตัว ไม่สามารถเทรดตอนกลางคืนได้



*หุ้นเทรดเฉพาะตอนตลาดหุ้นเปิด บ่อนฟอเรคแทงเสียกัน 24 ชั่วโมงในวันทำการ
*ฟอเรคเทรดกันไวกว่าหุ้นมาก ไวกว่าฟิวเจอร์ด้วย
*ฟอเรคมี leverage แต่หุ้นไม่มี
*liquidity ของฟอเรคสูงมาก
*สินค้าฟอเรคน้อยกว่าหุ้น
*ฟอเรคเล่นได้ทั้งขึ้นและลง หุ้นทำไม่ได้
*ฟอเรเร็วกว่า แต่ก็หมดตัวเร็วกว่า
*ข่าวบริษัทจะมีผลต่อราคาหุ้น ข่าวเศรษฐกิจจะมีผลต่อฟอเรค (GDP retail-sales industrial-production CPI)

forex เทรคค่าเงิน ที่มีหลายสกุลเงินให้เลือก
การเคลื่อนไหวของราคาจะเปลี่ยนแปลง ที่หลัก %  ทศนิยมหลักที่ 4
จึงมี leverage คือวางเงินต้นแค่ 1:2000
คือเงิน 1 usd คุมมูลค่าจริง 2,000 usd
ถ้าเป็นแบบนี้ กำไรขาดทุนจะขยาย 2,000 เท่าได้ จากเปลี่ยนแปลง % หลักที่ 4 เป็น เกือบ 1 % ต่อวันได้
ความฝันของนักเก็งกำไร ที่อยากหารายได้วันละ 1%
หรือเดือนละ 5% หักลบกำไรขาดทุน ก็เลยเข้าใกล้ความเป็นจริง ถ้าได้เฉลี่ยเดือนละ 5-10% ปีๆนึง กำไร 1-2 เท่าตัวก็เป็นไปได้

หุ้นจะมีความเปลี่ยนแปลงวันละ 0.5-1%
ทำกำไรได้แต่ขาขึ้น การซื้อถือครอง การลงทุนแบบถือยาวนาน 10 ปีจะไม่มีปัญหาอะไร
ไม่เหมือน forex ที่ต้องคิดกำไรหักบัญชีกันทุกวัน แต่หุ้นแม้จะขาดทุนยังไงเราก็เป็นเจ้าของหุ้นนั้นตลอดไป
การ trade หุ้นแบบ day trade การคัดเลือกจะยุ่งยาก หุ้นมีมากถึง 600 ตัว เวลาจะมา มาไม่ค่อยซ้ำ ต้องหาวิธีคัดเลือก
แต่การลงทุนหุ้นที่ได้กำไรดีที่สุดคือ การลงทุน เลือกกิจการที่ดีแล้วก็ถือไปเรื่อยๆ ความร่ำรวยจะมั่นคงโตไปพร้อมกับกิจการได้ยาวนาน
การเล่นรอบด้วย techni พอจะเป็นไปได้ แต่ก็มี transaction cost และความไม่แม่นยำติดตามมาเสมอ

ถ้าชอบอะไรเร็วๆ ได้เสียกันทุกวัน วันละหลายๆรอบ เล่น forex จะเหมาะสมกว่า
ถ้าชอบอะไรมั่นคง เล่นช้าๆ บางเดือนก็ไม่มีอะไรให้ทำก็เล่นหุ้น
หุ้นยังมี TFEX ที่มีลักษณะเหมือน forex ที่ใช้ leverage 1:10 ให้เล่นขาขึ้นขาลงได้ แต่สินค้าที่ให้เลือกที่นิยม
จะมีแค่ SET50, gold, single stock บางตัว
TFEX จะมีความใกล้เคียงกับ forex มากกว่า

เทรดหุ้น ก็คือการซื้อหุ้นของบริษัทนึง ถ้าซื้อมา 5 บาท แล้วราคาหุ้นขึ้นเป็น 6 บาทก็กำไรต่อหุ้นบาทนึง หากนาย ก มีหุ้นในมือก็เอามาขายต่อให้ นาย ข ได้ ซื้อมาขายไปต่อๆกันไป (มองว่ามันเหมือนเป็นทองก็ได้)
เวลาเทรดก็จะมีหลายแบบ

1 แบบวิเคราะห์พื้นฐาน เช่นดูผลประกอบการบริษัท ดู CEO ดูสภาพตลาด ว่าบริษัทจะกำไรดี เติบโตไหม ถ้าคิดว่าบริษัทนี้น่าจะโต ก็ซื้อหุ้นไว้ ถ้าเก็งแม่น ราคาหุ้นขึ้นก็ขายหุ้นได้กำไรเป็นส่วนต่าง (นอกจากนี้ก็มีพวกปันผลประจำปี) แต่ถ้าเก็งผิดก็เรียกว่าติดดอย (ซื้อไว้แพง ซื้อแล้วราคาดันตก เลยต้องถือไว้ เพราะหากจะขายก็ขาดทุน)
2 อีกแบบก็วิเคราะห์เทคนิค (กราฟ) คือดูว่าแนวโน้มเส้นราคาหุ้นนี่ มันจะขึ้นหรือลง เก็งจากกราฟเอา จะมีวิธีดูหลายแบบ เรียกว่า อินดิเคเตอร์ เช่น macd / vol เรียกว่าการวิเคราะห์เชิงเทคนิค ตัวชี้วัดพวกนี้ก็สร้างมาจากสูตร math / statistic คือดูกราฟแล้วเก็งว่า ในช่วงไหนราคาจะขึ้น จะลง (วิธีนี้มีความเชื่อในแง่กราฟสถิติ ว่าทำให้เราเก็งราคาอนาคตของสิ่งที่จะดูได้ ซึ่งหากไม่มีอะไรแปลกๆแรงๆมากระทบตลาด ก็เชื่อกันว่ามันจะเก็งแนวโน้มได้)

บางคนก็ดูสองวิธีควบกัน บางคนก็เจาะลึกไปในแบบเดียว บางคนไม่ได้ใช้อะไรเลย ใช้เดา แบบเก็งไฮโล นี่คือการเทรด (เล่น) หุ้น

ส่วน Forex ก็เป็นอนุพันธ์ประเภทนึง ที่ยังไม่มีกฎหมายรองรับการเทรดในไทย แต่ในไทยมีอนุพันธ์ประเภทอื่นที่เทรดแบบถูกกฎหมายแล้วก็มี เช่น Gold future / AFET

อนุพันธ์เทรดต่างจากหุ้นยังไง ?
คือจะเสี่ยงกว่า – ผลตอบแทนสูงกว่า ในเวลาสั้นๆทำกำไรได้เยอะ (และขาดทุนได้เยอะเหมือนกันในมุมกลับ) แล้วมันเป็น zero sum game

อย่าง Gold future ที่เทรดได้แบบถูกกฎหมายไทย มันก็คือการเก็งราคาทองในอนาคต
เวลาเก็งนี่ มันจะมีคนเก็งตรงข้ามกันเสมอ เช่น นาย ก เก็งว่าทองราคาจะสูงขึ้น นาย ข เก็งว่าราคาทองจะลดลง ใน 3 เดือนข้างหน้า

ตลาดจะจับคู่การเก็งที่ตรงข้ามกันมาทำสัญญากัน สมมุติทั้งคู่ลงกันคนละหมื่นเพื่อเก็งตรงข้ามกัน
หากสามเดือนข้างหน้า ราคาทองขึ้น นาย ก เก็งถูก ก็ได้ตังค์ นาย ข เสียตังค์ (จะมองว่าเป็นการพนันก็ใช่ แต่อันนี้ถูกกฎหมาย และจริงๆโลกนี้มันก็คือการพนันแทบทั้งนั้น หากจะมองจริงๆ)

อันนี้คือจุดต่างจากหุ้น คือมันเป็น zero – sum game มีคนได้ คนเสีย ขึ้นกับใครเก็งแม่นกว่า (ขณะที่หุ้น เป็นการซื้อหุ้นต่อๆกัน เหมือนเราซื้อทองมาเก็บไว้ แล้วราคามันขึ้นลง เราก็เลือกจะขาย ไม่ขายนั่นแหล่ะ)

จริงๆมันไม่เชิงเกิดมาเพือการเก็งกำไรแบบเดียว อนุพันธ์มันเกิดขึ้นมาเพือ ลดความเสี่ยงด้วย
เช่น การทำสัญญาล่วงหน้าสินค้าเกษตร ชาวนาทำสัญญาล่วงหน้ากับนายทุน ว่าจะขายข้าวได้ในราคาเกวียนละ 20000 ให้นายทุนในอีก 4 เดือนข้างหน้า หากสี่เดือนข้างหน้าข้าวมันราคาสูงกว่า 20k ชาวนาก็ต้องขายในราคาแค่ 20 k เพราะทำสัญญาไปแล้ว
สัญญาล่วงหน้าแบบนี้มันเลยขึ้นกับการเก็งของทั้งสองฝั่ง แล้วก็เป็นการประกันว่าชาวนาจะขายข้าวได้ และนายทุนมีข้าวจะป้อนเข้าโรงสีเพื่อไปส่งออก อันนี้คือที่มาจริงๆของระบบอนุพันธ์

ถ้าดูแบบง่ายๆ สมมุตินาย ค ซื้อหุ้นมา PTT แล้วอยากลดความเสี่ยง (กลัวหุ้นตก) ก็ทำการซื้อสัญญาอนุพันธ์สวนไว้ (สรุปคือเล่นทั้งหุ้น – อนุพันธ์) โดยสัญญาอนุพันธ์ที่ซื้อ จะเก็งว่า หุ้นตก (แล้วได้ตังค์)
ดังนั้น หากหุ้นขึ้น นาย ค ก็จะได้ตังค์จากหุ้น แต่เสียตังค์ให้อนุพันธ์ แต่หากหุ้นลง นาย ค จะได้ตังค์จากอนุพันธ์ แต่ขาดทุนหุ้น (หักลบกัน ทำให้ไม่เสี่ยงเกินไป) อันนี้คือการใช้อนุพันธ์มาปกป้องความเสี่ยง ในแง่เครื่องมือการลงทุน

(ทำไปทำไม นาย ค อาจหวังเงินปันผลรายปี ไม่ได้กะรวยจากราคาหุ้นขึ้นลง / เหตุผลอื่นๆอีกมากมาย)

ดังนั้นอนุพันธ์มันไม่ได้เป็นเรื่องน่ากลัวอะไร มันก็เกิดจากสัญญาซื้อขายล่วงหน้า – การเก็งที่แต่คนมองต่างกัน – ใช้ในการลดความเสี่ยงในการลงทุนได้ (และจะใช้ในการเล่นพนันก็ได้เหมือนกัน)

Forex ก็เป็นอนุพันธ์อีกแบบนึง คือ มันจะดูสองสกุลเงินเทียบกัน เช่น USD / JPY UK/USD สมมุติหากดู USD – EURO นาย ก เก็งว่า USD ในอนาคต น่าจะแข็งขึ้น (Euro อ่อนลง) ขณะที่นาย ข เก็งตรงข้าม
ตลาดก็จะจับคำสั่งเทรดของทั้งคู่มาแมชกัน ใครเก็งถูกได้ตังค์ (เหมือนที่อธิบาย Gold future ของไทยนั่นแหล่ะ) นี่คือพื้นฐานที่เกิดขึ้น

ปัญหาคือ ทำยังไงถึงจะเก็งแม่น (อันนี้คำถามโลกแตก)

มันก็ใช้ศาสตร์เดียวกับการเก็งหุ้นนั่นแหล่ะ คือมีสองแนวใหญ่ๆ
วิเคราะห์พื้นฐาน / วิเคราะห์เทคนิค (กราฟ) ที่อ่านพวกเทรนด์ macd / bolinger band / bla bla bla ถ้าอ่านเก่งก็เหมือนมีผู้ช่วยแนะนำให้เลือกเทรดขาไหน

ส่วนโปรแกรมที่เรียกกันว่า EA มันก็พัฒนามจากความรู้พื้นฐานเทคนิคกราฟนั่นแหล่ะ สมมุติตัวอย่างเช่น หากเรารู้ว่า macd 15 วัน ตัดกับ macd 30 วันของกราฟหุ้น PTT + volume การเทรด 600 ล้านในตลาด = สัญญาณขาขึ้น เราจะซื้อหุ้น ptt แล้วคราวนี้ขี้เกียจคอยส่งคำสั่ง กับคอยนั่งเฝ้าจอเอง ก็เลยทำเป็นโปรแกรมโดยใส่เงื่อนไขนี้ไว้ ถ้ามันเข้าเงื่อนไขนี้ก็ให้ระบบทำการซื้อหุ้น PTT นี่คือโปรแกรม (ซึ่งก็ต้องอาศัยความรู้พื้นฐานจากการวิเคราะห์กราฟนั่นแหล่ะ)

ความรู้เรื่องกราฟนี่เป็นความรู้ปกติ ไม่ได้เป็นเรื่องหลอกลวงหรือการพนัน เพราะมันก็ math – stat ปกติ เพียงแต่เอามาใช้กับกราฟหุ้น – ทอง – forex (ใช้หลักเดียวกันหมดเลย) ดังนั้นหากอ่านกราฟเป็น เทรดอะไรก็เหมือนๆกัน
เพียงแต่ จะเทรดเก่งไหม ขึ้นกับความเก่งของการวิเคราะห์กราฟของแต่ละคน

มันต้องพยายามพอควร ดังนั้นเลยเจอบ่อยๆที่เขาจะเตือนกันว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ศึกษาข้อมูลก่อนทุกครั้ง อย่าเข้าไปเทรดแบบการพนันที่ใช้แต่ดวง แต่ให้เข้าใจพวกวิธีวิเคราะห์อย่างดีเสียก่อน ไม่งั้นส่วนใหญ่เทรดแล้วขาดทุน

165
หลายคนคงอยากรู้ความแตกต่างระหว่าง forex ตลาด Forex กับตลาด Futures คืออะไร ใช้อย่างไร วันนี้เราจะมาดูกันนะครับ

ค่าธรรมเนียมต่ำ : ถ้าเทียบค่าธรรมเนียมในการซื้อขายของตลาด Forex กับตลาด Futures แล้วนั้น ในส่วนของตลาด Forex ต่ำกว่าค่อนข้างมาก

 

ราคาแน่นอน : ในตลาด Forex สามารถ Match order ที่ราคาแน่นอนทันที ไม่เหมือนกับตลาด Futures และตลาดหุ้น ที่อาจมีการคลาดคลื่นของราคาได้บ้างถ้าหาก Order ฝั่งใดฝั่งหนึ่งเยอะเกินไปจนราคาขยับไปอีกระดับ

การันตีการจำกัดความเสี่ยง : โบรกเกอร์ส่วนมากในตลาด Forex จะกำจัดความเสี่ยงของเทรดเดอร์ไว้ให้เลย ไม่สามารถเทรดได้เกินความเสี่ยงของตัวเองที่เปิดไว้ โดยถ้าหากผิดทาง และจำนวนเงินในพอร์ตเหลือไม่พอ Order จะถูกสั่งปิดทั้งหมด ต่างจาก Futures ที่จะไม่ปิด แต่จะเป็นการเรียกให้เติมเงินเข้าพอร์ตเพิ่ม

 

                                    Forex   Futures
24 ชั่วโมง                           ใช่   ไม่ใช่
ค่าธรรมเนียมต่ำ                      ใช่   ไม่ใช่
Leverage ได้ถึง 500 : 1          ใช่   ไม่ใช่
ราคาแน่นอน                          ใช่   ไม่ใช่
การันตีการจำกัดความเสี่ยง        ใช่   ไม่ใช่

จะเห็นได้ว่าการเทรดในตลาด Forex มีข้อดีเยอะกว่าตลาด Futures แทบจะทุกข้อ ทำให้ตลาด Forex เป็นสถานที่ในการเทรดที่ดี

ตลาด Forex กับตลาด Futures คืออะไร
 

เรามาดูว่าข้อดีของตลาด Forex นั้นเมื่อเปรียบกับตลาด Futures นั้นมีอะไรบ้าง ทำไมถึงต้องเลือกที่จะเทรดในตลาด Forex

 

สภาพคล่อง : ในตลาด Forex นั้นมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ … ย้ำนะครับว่า หมื่นล้าน ซึ่งเป็นตลาดการซื้อขายที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ ซึ่งด้วยขนาดที่ใหญ่นี้สามารถรับรองปริมาณการซื้อขายอย่างมหาศาล ไม่ต้องกลัวเรื่องสภาพคล่องเลย และถ้าไปเทียบกับตลาด Futures ที่มีปริมาณการซื้อขายอยู่ที่เพียง 30 เพียงพันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ซึ่งคนละเรื่องกับตลาด Forex เลย

 

เปิด 24 ชั่วโมง : เริ่มตั้งแต่เช้าวันจันทร์เวลาประมาณตี 3 ตามเวลาบ้านเรา เป็นช่วงที่ตลาดออสเตเรียเปิดทำการและไปปิดที่ราวตี 3 ของคืนวันศุกร์ ตามเวลาบ้านเรา ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดสหรัฐปิดทำการ และในระหว่างนั้นตลาด Forex เปิดทำการตลอด ไม่มีการปิดทำการ ซึ่งต่างตลาด Futures ที่มีเวลาเปิด ปิดทำการเป็นช่วงๆ

 

หน้า: 1 ... 9 10 [11] 12 13 14
SMF 2.0.15 | SMF © 2011, Simple Machines
SMFAds for Free Forums